ตอนที่4.
“คุณกอบลาภเป็นลมอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ค่ะคุณเรย์! ”พิ้งผู้จัดการสปาโทรบอกเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“แล้วพี่ไรอันเขาจัดการอะไรหรือยัง”รวินท์รู้สึกเป็นห่วงพี่ชายขึ้นมา
“คุณไรอันหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ ที่นี่วุ่นวายกันไปหมด พวกพนักงานเขาไม่กล้าทำอะไร รอคุณเรย์มาจัดการค่ะ”
“รีบพาคุณกอบลาภส่งโรงพยาบาลก่อน ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อรวินท์มาถึงสปา กอบลาภได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว พิ้งผู้จัดการสปากับพนักงานกะดึก ยืนออกันเต็มหน้าพิพิธภัณฑ์ ชายหนุ่มรีบเข้าไปสำรวจด้านใน สภาพห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของยังอยู่ที่เดิมไม่มีชิ้นไหนหายไป นอกจากกล่องไม้ใบนี้ตกอยู่บนพื้น หน้าต่างห้องเปิดอ้า แสงจันทร์สาดส่องลอดซี่ลูกกรงเหล็กดัด ต้องจี้ห้อยคอโบราณเป็นประกายวาววับ รวินท์หยิบจี้ห้อยคอขึ้นมาดู แต่ต้องสะบัดทิ้งความร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ ลวกมือเขาจนพอง ชายหนุ่มรีบออกมาจากห้องนั้น พยายามสงบสติอารมณ์สั่งให้พนักงานเข้าไปทำความสะอาด หลังจากเหตุการณ์สงบลงเขานำกล่องกับจี้ห้อยคอมาเก็บไว้ที่เดิม โดยวางโชว์ร่วมกับวัตถุโบราณชิ้นอื่นในพิพิธภัณฑ์
ด้านกอบลาภนอนนิ่งเป็นเจ้าชายนิทราไม่ยอมฟื้นจนถึงบัดนี้ ส่วนไรวัตหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย รวินท์พยายามตามหาพี่ชายไปทุกแห่ง ที่คิดว่าไรวัตจะไป แต่ไม่มีใครพบเห็นพี่ชายของเขาเลย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นปริศนา
“พี่ไรอัน... พี่หายไปไหน...”
รวินท์ซบหน้าลงกับอุ้งมือพร้อมกับระบายลมหายใจออกแรงๆ รู้สึกเหนื่อยล้ากับภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น เขาเข้ามาดูแลสปาแทนไรวัต พร้อมกับดูแลกิจการโรงแรมไปพร้อมกันเพื่อให้งานในสปาดำเนินต่อไปได้ ช่วงนี้เป็นหน้าท่องเที่ยวหรือช่วงหน้าไฮซีซั่น มีนักท่องเที่ยวจองทำทรีทเม้นท์ไว้เต็มทุกวัน เป็นช่วงทำเงินให้สปาซึ่งปีๆหนึ่งจะมีเวลาแบบนี้เพียงไม่กี่เดือน สปาของเขาติดอันดับสปาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีบริษัททัวร์ในประเทศนำนักท่องเที่ยวมาใช้บริการอยู่เรื่อยๆ ไรวัตทำแผนประชาสัมพันธ์ไว้ดีเยี่ยม ทำให้รวินท์สานงานต่อจากไรวัตได้ง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างไรชายหนุ่มอยากให้พี่ชายกลับมาทำหน้าที่นี้เองมากกว่า
เสียงแกรกกรากของใบไม้ดังอยู่นอกหน้าต่างคล้ายกับมีคนกำลังเดินไปมา รวินท์เงยหน้าขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงนั้น เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่ได้หูฝาด ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างสอดส่ายสายตาส่องดูบริเวณโดยรอบ ดวงจันทร์ในคืนเพ็ญสาดแสงอาบผืนดินแลเห็นเพียงเงารางๆของต้นหญ้า ปลายยอดไม้ส่ายไหวตามแรงลม กลางสวนใต้ต้นลีลาวดี มีเงาร่างคนๆหนึ่งยืนอยู่
ร่างนั้น...คุ้นตาเหลือเกิน
รวินท์เพ่งมองฝ่าความมืด เมื่อร่างนั้นเคลื่อนจากจุดเดิมเดินตัดผ่านกลางสนามหญ้า แสงไฟจากโคมไฟดวงใหญ่บนแนวกำแพง สาดส่องกระทบใบหน้ามองเห็นชัดเจน ชายหนุ่มตาโตรีบวิ่งออกไปหาเจ้าของร่างนั้นทันที
“พี่ไรอัน พี่ไรอัน! ”
เสียงเรียกทำให้ร่างนั้นชะงัก ก่อนจะหันหลังวิ่งหายไปยังแนวรกทึบของสวนดอกไม้ด้านหลังสปา รวินท์เร่งฝีเท้าออกวิ่งตาม ไรวัตวิ่งผ่านพุ่มไม้หนาข้างกำแพง พลัน!ร่างสูงโปร่งก็กระโดดขึ้นบนขอบกำแพงราวกับติดสปริงไว้ที่เท้า รวินท์หยุดวิ่ง เขายืนนิ่งอยู่กับที่ห่างจากจุดที่ไรวัตยืนอยู่ราวสิบเมตร สายตาเบิกค้างมองร่างบนแนวสันกำแพง ไรวัตโดดผลุบลงไปเมื่อวิ่งจนสุดแนวกำแพง
รวินท์เข่าอ่อนทิ้งร่างลงนั่งแปะกับพื้นหญ้า หัวใจเต้นรัว ใบหน้าซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาเบิ่งค้างแววตาตื่นตระหนก ไหลกาฬไหลเต็มตัว ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น ในขณะที่ไรวัตกระโดดขึ้นบนกำแพง ราวกับจอมยุทธ์ผู้มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ แสงนวลของดวงจันทร์สาดส่องต้องร่างนั้น ผิวกายของไรวัตมีแสงสีเขียวเรื่อเรืองเคลือบอยู่ เมื่อนึกถึงตอนนี้ขนทุกเส้นในร่างกายของรวินท์พร้อมใจกันลุกชันขึ้นมา
“ไม่นะ...ต้องไม่ใช่เรื่องจริง! ”
รวินท์ร้องเสียงดัง ร่างหนาฟุบลงกับพื้นหญ้ามือจิกต้นหญ้าจนแหลกคามือ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น ปลายเล็บจิกบนอุ้งมือจนเจ็บแปลบ ตอกย้ำความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ รวินท์ซบหน้ากับท่อนแขน หลับตานิ่งด้วยความสับสน
เบื้องบนกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมท้องฟ้าบดบังรัศมีของดวงจันทร์ บริเวณโดยรอบหม่นสลัวลงมีเพียงแสงไฟจากโคมไฟส่องสว่างเพียงนวลตา
ในมุมมืดแสงสีน้ำเงินใสสว่างวาบขึ้น แลเห็นเงารางๆของร่างๆหนึ่ง ยืนกอดอกมองคนบนพื้นหญ้าเงียบๆ ลมเย็นพัดมาบางเบา... เย็นยะเยือก... ราวกับหัวใจอ้างว้างเหน็บหนาวของคนบนพื้น สายตาทอดมองมาอย่างอาทร กลิ่นหอมของดอกไม้ยามราตรีลอยตามสายลม แสงจันทร์สาดส่องลงมาอาบพื้นดินอีกครา... เงารางเลือนจางหายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมกรุ่นกำจายอบอวลในอณูอากาศ คล้ายต้องการปลอบโยนเจ้าของร่างบนผืนหญ้านั้น...
รถโฟล์คเต่าสีขาวเลี้ยวเข้าจอดบริเวณที่จอดรถของภูวันดาสปา ประตูรถด้านคนขับเปิดออก ร่างสูงเพรียวสวมกระโปรงสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเข้ารูป ลงมายืนข้างรถมือข้างหนึ่งเท้าเอว แล้วหมุนซ้ายหมุนขวา มองเงาของตัวเองในกระจกข้างรถ เอียงใบหน้าที่ตบแต่งมาอย่างดี ส่องกระจกเงา แล้วหยิบตลับแป้งมาซับหน้าให้ผ่องขึ้น พร้อมกับหยิบลิปสติกมาแต้มริมฝีปาก
“สวยแล้วค่ะ... คุณเนตรดาว”เสียงใสๆดังมาจากอีกฝั่งของรถ
คนที่โดยสารมาด้วยเกาะหลังคอรถ มองท่าทางของเพื่อนสาวด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนจะส่ายหน้าระอา เนตรดาวเสียเวลาเมคอัพและแต่งตัวร่วมชั่วโมง กว่าจะยุรยาตรออกมาได้ ส่วนนลินดาแค่รวบผมกับเติมหน้าอีกเล็กน้อยก็พร้อมเดินทาง
“อ่ะ... เสร็จแล้ว สวยครบสูตรแล้ว พร้อมลุย”เนตรดาวกดปุ่มปิดรถ แล้วเดินนำหน้านลินดาเข้าไปด้านในด้วยท่าทีมาดมั่น
สองสาวเดินมาตามเส้นทางเก่า นลินดามองหาคุณป้าใจดี ที่เคยพาเธอและเนตรดาวไปส่งที่ออฟฟิศเมื่อคราวก่อน หากไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสูงวัยใจดีคนนั้น
“มองหาใครเหรอลิน”เนตรดาวถามขึ้นมา
นลินดาหันมามองหน้าเพื่อน “ฉันอยากเจอคุณป้าน่ะ เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อ ไม่รู้ว่าทำงานอยู่แผนกไหน”
“ฉันว่าเรารีบเดินดีกว่านะ จวนได้เวลานัดแล้ว”เนตรดาวเร่ง สาวเท้าเดินเร็วขึ้น มองไปรอบๆด้วยสายตาหวาดๆ เมื่อนึกถึงสตรีปริศนาคนนั้น ขนแขนพร้อมใจกันลุกชันขึ้นมา
เมื่อมาถึงด้านหน้าออฟฟิศ เลขาสาวคนเดิมเปิดประตูออกมาต้อนรับ ในห้องนั้นมีคนมารอการสัมภาษณ์ก่อนหน้าสองสาวอยู่สามคน นลินดากับเนตรดาวนั่งรอคิวสัมภาษณ์อย่างใจเย็น
“ท่าทางเก่งๆกันทั้งนั้น เราจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”นลินดากระซิบกระซาบกับเพื่อนคู่หู
“เราน่าจะผ่านการคัดเลือกสักคน ฉันมั่นใจ”เนตรดาวกวาดสายตา มองคนที่มาสัมภาษณ์คนอื่นอย่างประเมิน
ผู้มาสัมภาษณ์ทยอยกันเข้าไปทีละคน จนคนสุดท้ายเข้าไปจวนจะถึงคิวของสองสาว เลขาหน้าห้องเดินมาหาคนที่เหลืออยู่
“อีกสักครู่ คุณรวินท์จะสัมภาษณ์คุณทั้งสองคน ไม่ทราบว่าพร้อมหรือเปล่าคะ”เลขาสาวหน้าแฉล้มถามอย่างอารี
“พร้อมค่ะ! ”สองสาวประสานเสียงตอบพร้อมกัน ท่าทางกระตือรือร้น
“ถ้าอย่างนั้นดิฉัน ขอตัวนำเอกสารไปส่งให้คุณรวินท์ก่อนนะคะ พวกคุณก็เตรียมตัวให้พร้อม สักครู่ดิฉันจะเชิญไปพบท่าน”
เลขาสาวหยิบเอกสารการสมัครงานของทั้งคู่ เดินหายเข้าไปในห้อง ครู่ต่อมาก็เปิดประตูออกมา พร้อมกับคนที่เข้าไปสัมภาษณ์งานก่อนหน้า แล้วกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง สองสาวมองประตูห้องพร้อมกับเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน
“คุณคะ...ท่านให้เข้าไปพบค่ะ”เลขาหน้าแฉล้ม เปิดประตูออกมาเรียก
สองสาวลุกขึ้นพร้อมกันแต่ถูกท้วงเสียก่อน “เข้าไปทีละคนค่ะ”
“ฉันไปก่อนนะ เธอจะได้มีเวลาหายใจ”เนตรดาวขยิบตาให้เพื่อนสาว ตบบ่าแรงๆก่อนจะปรับสีหน้าให้มาดมั่นเดินตามเลขาสาวเข้าไปในห้อง
ครู่ต่อมาร่างสูงเพรียวของเนตรดาวก็ออกมา มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ท่าทางราวกับคนเคลิ้มฝัน เลขาสาวเดินตามออกมามองอาการของผู้สัมภาษณ์งานคนแรก ก่อนจะยิ้มบางๆแววตาคล้ายขบขันแกมเอ็นดู
“เชิญค่ะ...” เสียงเรียกทำให้นลินดาสูดลมหายใจแรงๆ แล้วลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน
