เพียงรอยอธิษฐาน

220.0K · จบแล้ว
รวิญาดา ผการุ้ง นักเขียน
102
บท
865
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกภพทุกชาติ ทุกแห่งหน” คำอธิษฐาน... สัญญารัก... พันธนาการหัวใจ... ผูกพันหัวใจดวงหนึ่งให้ยึดมั่นในสัจจะแห่งตน ความรักที่มีดุจละอองไอน้ำอันฉ่ำเย็น หล่อเลี้ยงหัวใจให้ดำรงอยู่ หากไร้รักดั่งไร้ความอบอุ่น ใครเล่า...จะยอมปล่อยให้หัวใจตัวเองเหน็บหนาว

นิยายรักโรแมนติกเลขาสัญญาทางรักรักแรกพบแฟนตาซี เศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1.

สายลมพัดเอื่อยมา หอบเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ยามราตรี ฟุ้งกระจายตามสายลม ฟ้ากระจ่างพร่างตา ดวงจันทร์สาดแสงนวลลอดหน้าต่างที่เปิดรับสายลมเย็น แสงจันทร์อาบไล้ใบหน้านวลที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม้สัก หัวเตียงแกะสลักรูปดอกบัวคลี่กลีบบานเคลือบแล็คเกอร์มันวาว มุมเตียงมีเสาสี่ด้านคลุมด้วยมุ้งผ้าฝ้ายบางสีขาวสะอาดตา ด้านหนึ่งม่านกั้นถูกตลบพันไว้ด้านบน สายลมเย็นพัดโชยทำให้ม่านพลิ้วไหวสะบัดไปมา เงารางๆของใครบางคนเคลื่อนผ่านหลังม่านขาว

ร่างนั้นสูงใหญ่แผ่นหลังกว้างสง่างาม แสงจันทร์ต้องผิวกายแลเห็นละอองเรื่อเรืองดุจกำมะหยี่สีทองเคลือบร่างนั้น ศีรษะได้รูปเกล้ามวยสูง สวมอาภรณ์โปร่งบางดุจตาข่ายเนื้อละเอียดสีม่วงใส คลุมทับร่างกายท่อนบน สร้อยสังวาลประดับประดาด้วยอัญมณีคล้ายเพชรคาดเฉียงไหล่ บนคอสวมสายสร้อยประดับด้วยอัญมณีสีม่วง ท่อนเอวคาดด้วยผ้าหนาสีน้ำเงินเข้มรัดทับด้านบนด้วยเข็มขัดทอง ผ้านุ่งสีม่วงเข้มยกรั้งทับกางเกงสีดำยาวเลยเข่าลงมา บริเวณข้อเท้าทั้งสองข้างสวมกำไลข้อเท้าไว้

ในเงาสลัวของแสงจันทร์แลเห็นร่างนั้น ยืนนิ่งทอดสายตามองร่างน้อยบนเตียง ดวงตาคมเหนือจมูกโค้งเป็นสันทอประกายอ่อนเศร้า ริมฝีปากยกขอบคล้ายสตรีเม้มสนิท ร่างหนาหย่อนกายนั่งลงบนขอบเตียง เอื้อมมือไปแตะแก้มนวล รอยสัมผัสนั้นต้องผิวกายละมุน ผะแผ่ว...ดังสายลมพัด ใบหน้าคมเข้มก้มลงชิดข้างหู

“ปทุมทิพยา...” เสียงทุ้มนุ่มนวล กระซิบเรียก

ร่างน้อยบนเตียงขยับตัวพลิกหน้าเอียงซบหมอนนุ่ม มิได้ลืมตาขึ้นมา มือกระชับตุ๊กตาหมีในอ้อมแขนแน่นขึ้น ดวงตาปิดสนิทจนแลเห็นขนตาหนาเรียงเส้นสวยงอนโค้ง จมูกเป็นสันซุกซบขนนุ่มของตุ๊กตาหมี ไม่แสดงอาการรับรู้หรือได้ยินสรรพเสียงใดใด ร่างสูงสง่าทอดถอนใจ

ภาพเหตุการณ์กระจ่างในห้วงคำนึง ดุจสายธารไหลเอื่อย...

“ภพนี้ข้าบุญน้อย ไม่อาจอยู่ร่วมกับท่านนานนัก...”เสียงคร่ำครวญฟังดูแหบโหย รัศมีจากกายทิพย์ของร่างงามระหงอ่อนแสงลงทุกที ใบหน้างามมีหยาดน้ำตาหลั่งรินเป็นสาย

“หากบุพกรรมของเรามีต่อกัน เราต้องได้พบกันอีก”

เทพบุตรหนุ่มโอบร่างของเทวนารีแนบอก วงแขนกระชับแน่นขึ้น

“วาริชเทพบุตร... ข้ารักท่านเหลือเกิน”

ปลายนิ้วเรียวบางแตะใบหน้าคมเข้มผะแผ่ว... ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้างามลออซุกซบอกกว้างนิ่งนาน ดวงตากลมโตหรี่ปิดลง กายทิพย์อ่อนแสงลงทุกขณะ

“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกภพทุกชาติ ทุกแห่งหน”

วาริชเทพบุตรบอกนางอันเป็นที่รัก ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้นเวลาจะนานสักเท่าใด หัวใจดวงนี้จะตามหานางอันเป็นที่รัก คืนกลับสู่อ้อมใจ... เทพบุตรแดนสรวงมั่นใจในสัจจะแห่งตน

เจ้าของกายทิพย์ในอ้อมแขนส่ายหน้าไปมา ปฏิเสธพันธะสัญญาที่อีกฝ่ายมอบให้ ร่างน้อยขืนกายออกห่าง ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าคมนิ่ง

“อย่าผูกพันตัวท่านด้วยพันธะสัญญาใดใด อย่าผูกมัดตัวเองด้วยสัญญานี้เลย”

นางบอกปัดด้วยเสียงอันเย็นชา แววตาหมองเศร้าร้าวรานนัก หยาดน้ำตาคลอคลองเต็มสองนัยน์ตา ร่างบางผละออกห่าง

“ข้ารักท่าน...แต่ข้าไม่ขอผูกมัดท่านด้วยพันธะใดใด...”

สิ้นเสียง! แสงสีทองก็สว่างจ้าขึ้น ล้อมรอบร่างบางนั้น เวลาบนแดนทิพย์ของนางเทพนารีหมดสิ้นลงแล้ว ร่างงามระหงค่อยๆเลือนหายไป...

เวลาล่วงผ่านนานเท่านาน หากสัญญารัก... พันธนาการหัวใจ... ผูกพันหัวใจดวงหนึ่งให้ยึดมั่นในสัจจะแห่งตน

ความรักที่มีดุจละอองไอน้ำอันฉ่ำเย็น หล่อเลี้ยงหัวใจให้ดำรงอยู่

หากไร้รักดั่งไร้ความอบอุ่น ใครเล่า...จะยอมปล่อยให้หัวใจตัวเองเหน็บหนาว มนุษย์หรือเทวามิต่างกัน...

ลมพัดแรงขึ้นยอดไม้ส่ายไหวตามแรงลม เสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันดังแกรกกราก ท้องฟ้าที่กระจ่างสว่างใส บัดนี้กลับถูกเมฆดำคล้ำ ลอยมาบดบัง สายฟ้าแปลบปลาบเป็นประกาย

“แล้วเราจะพบกันอีกนะ...”

ร่างสูงใหญ่ก้มลงแตะริมฝีปากบนหน้าผาก สายตาทอดมองร่างน้อยด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ดุจจะจดจารประทับความทรงจำไว้ในหัวใจให้ลึกซึ้ง

แสงสีม่วงใสเปล่งประกายขึ้นลำแสงจัดจ้าล้อมรอบร่างนั้น ก่อนจะสว่างวาบแล้วพุ่งเป็นสายลอดหน้าต่างหายวับไปบนฟากฟ้ากว้าง กำแพงหินศิลาแลงสีน้ำตาลแดงทอดตัวเป็นแนวยาว ประตูทางเข้าเปิดกว้างแลเห็นทางเดินปูด้วยหินแกรนิตด้านข้างโรยกวาดสีขาวก้อนเล็กๆ ทอดยาวเข้าสู่ตัวอาคาร ซึ่งเป็นตึกสองชั้นหลังใหญ่ทาสีเหลืองนวลหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาทั้งหลัง บริเวณโดยรอบปลูกไม้ประดับและไม้ยืนต้นไว้อย่างเป็นระเบียบ แลดูร่มรื่นเย็นสบายน่าพักผ่อน บนผนังกำแพงด้านหน้ามีตัวอักษรไม้แกะสลักทาสีทองติดไว้ว่า “ภูวันดาสปา”

“ที่นี่เหรอ...ดาว”เสียงใสๆดังขึ้น

เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างเพรียวใบหน้ารูปไข่ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบไว้ด้านหลังเผยให้เห็นลำคอเรียวระหง ดวงตากลมโตจดจ้องตัวอักษรบนกำแพงก่อนที่สายตาจะแลเลยไปยังด้านใน นึกชมในใจว่า สถานที่สวย... บรรยากาศดี สมกับเป็นสปาติดอันดับต้นๆของประเทศ

“ใช่... ที่นี่แหละ ภูวันดาสปา เรามาถูกแล้วยายลิน”

เจ้าของร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด ที่ยืนพิงกระโปรงรถโฟล์คเต่าสีขาวพยักหน้ารับ ในมือถือหนังสือพิมพ์พับครึ่งไว้

“ภูวันดาสปา รับสมัครพนักงานหญิงหลายตำแหน่ง ติดต่อได้ที่ภูวันดาสปาทุกสาขา”

เจ้าหล่อนอ่านทวนข้อความ ในประกาศรับสมัครงานทางหน้าหนังสือพิมพ์ ให้เพื่อนสาวฟัง ดวงตาเรียวยาวเขียนอายไลท์เนอร์สีดำเข้มตัดขอบตาคมกริบ แผงขนตาปัดมาสคาร่าจนงอนโค้ง มองดูป้ายเปรียบเทียบกับข้อความบนหนังสือพิมพ์ให้แน่ใจอีกครั้ง พลางเคาะปลายนิ้วบนกระโปรงรถไปมา

“ไม่รู้เขาปิดรับสมัครหรือยัง”นลินดาหันมามองเพื่อนสาว สายตามองข้อความในหนังสือพิมพ์ “หวังว่าเราสองคนคงจะโชคดีนะดาว”

“จะโชคดีหรือโชคร้าย ก็ต้องลองสักตั้ง”เนตรดาวชูกำปั้น หน้าตาขึงขัง ก่อนจะยัดหนังสือพิมพ์ใส่กระเป๋าผ้าฝ้ายสีสดที่สะพายไหล่ เปลี่ยนท่าทีเป็นกระฉับกระเฉงขึ้น

นลินดายิ้มรับ พยักหน้าตอบ “มาถึงนี่แล้ว ต้องลุยกันให้มันรู้ดำรู้แดง”

หญิงสาวทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆคล้ายต้องการเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน

บริเวณทางเดินวางกระถางดินเผาใบย่อมลอยดอกไม้เรียงรายตลอดทาง นลินดาชะลอฝีเท้าหยุดมองดูอย่างสนใจ พลอยทำให้เพื่อนคู่หูหยุดมองบ้าง ลักษณะการลอยดอกไม้ที่สปาแห่งนี้สวยแปลกตา โดยใช้ใบไม้สีเขียวลอยซ้อนกันเป็นวงกลมตามลักษณะของรูปร่างกระถาง สลับแซมด้วยดอกบัวหลวงสีชมพูอ่อนพับกลีบอย่างประณีต ลอยกระจายเต็มอ่างดูสวยงามสะดุดตา ต้นพลับพลึงปลูกเป็นพุ่มจัดแต่งเป็นระเบียบดูไม่รกเรื้อ เรียงแถวยาวล้อมรอบทางเดิน ออกดอกสีขาวชูช่อพร่างตาส่ายไหวไปมากลางใบอวบใหญ่สีเขียวเข้ม เสียงดนตรีดังแว่วมาเบาๆ ท่วงทำนองนุ่มนวลละมุนโสต ผสานกลมกลืนกับบรรยากาศงดงามของทิวทัศน์รอบกายราวกับอยู่ในสวนสวรรค์ เรียกความสนใจจากผู้มาเยือนทั้งสอง

“เพลงอะไรน่ะลิน ฟังเพลินดีนะ”

เนตรดาวเอ่ยขึ้น ละสายตาจากความงามของกระถางลอยดอกไม้ มองหาต้นเสียงซึ่งหญิงสาวค้นพบว่าดังมาจากลำโพงใบเล็กที่ติดไว้บนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น ลำโพงอีกหลายอันติดอยู่ตามเสาและซอกกำแพง แต่ละอันอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตา เป็นความฉลาดของเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ในการจัดการเทคโนโลยีให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

“ดนตรีบำบัดจ้ะ เขานิยมเปิดในสปาให้ลูกค้ารีแล็กส์ไง”นลินดาให้คำตอบ

“ฉันฟังแล้วง่วงนอน”เสียงหาวมาพร้อมกับคำพูด ทำเอาคนมองยิ้มขำ

“อย่าเพิ่งง่วงตอนนี้ ไปสมัครงานก่อน”นลินดาลากแขนเพื่อนให้เดินต่อ

จากทางเดินเข้าไปไม่ไกลนัก สองสาวพากันมาถึงบริเวณล็อบบี้รับแขกซึ่งเป็นด้านหน้าของตัวตึก สร้างเป็นอาคารหลังเล็กมีทางเชื่อมกับตึกหลังใหญ่ ประตูทางเข้าเป็นกระจกใสบานใหญ่ มองเห็นด้านในชัดเจน

“สวัสดีค่ะ ภูวันดาสปา ยินดีต้อนรับค่ะ”พนักงานต้อนรับในชุดผ้าไหมสีฟ้าสด พนมมือไหว้อย่างชดช้อย พร้อมรอยยิ้มกระจ่างตา

นลินดายิ้มอ่อนๆพลางดึงหนังสือพิมพ์ออกมาชู ปลายนิ้วเรียวชี้ข้อความประกาศรับสมัครพลางบอกจุดประสงค์

“สวัสดีค่ะ เรามาสมัครงานค่ะ”