บทที่ 2-1
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูบ้านทำให้ชมหวายสะดุ้ง ชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัวก็เห็นเงาคนยืนอยู่ด้านนอกประตูกระจก ผ้าม่านโปร่งอำพรางใบหน้าของคนที่มาเยือน ชมหวายคิดว่าเป็นกวินจึงรีบวิ่งออกไป แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ คนที่อยู่ด้านนอกเป็นใครไม่รู้ เขายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
“คุณหวายใช่มั้ยครับ ผมกฤษณ์เป็นผู้จัดการไร่และผู้ช่วยที่ภูเคียงฟ้ารีสอร์ต คุณกวินให้ผมเอาข้าวของพวกนี้มาให้คุณ” ว่าแล้วก็เห็นคนงานช่วยกันขนลังกระดาษลงจากท้ายรถกระบะสีน้ำเงิน
คนถูกทักทำหน้างง ชะโงกมองจากประตูโดยไม่ก้าวออกไปข้างนอก รู้สึกระแวงและยังไม่ไว้ใจใคร แม้อีกฝ่ายจะแนะนำตัวแล้วก็ตาม
ชมหวายยืนพิจารณาคนสูงโปร่งตรงหน้าอย่างมีคำถาม การแต่งตัวของเขาดีกว่าชาวไร่แต่ก็ไม่ได้สำอางอย่างนักธุรกิจ คนนัยน์ตาดำราวกับนิลฉายยิ้มให้ เขามีลักยิ้มที่สองข้างแก้มและดูท่าทางเป็นกันเอง
“คุณช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ได้มั้ยคะ?” หญิงสาวถามโดยไม่สนว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย รู้แต่ว่าใครก็ได้ช่วยเอาเธอออกไปจากตรงนี้ที เธอไม่อยากตกอยู่ภายใต้กรงเล็บของปีศาจร้ายในคราบเทพบุตร
“ออกไปไหนครับ?” เขาถาม ชมหวายบอกว่าที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่
แต่เวลานั้นดูเหมือนจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผู้จัดการไร่จึงขอตัวรับสายก่อนจะเดินไปคุยโทรศัพท์ข้างรถ เห็นท่าทางแล้วว่าภรรยาของเจ้านายมีท่าทีแปลกๆ เป็นเหตุให้กฤษณ์ไม่กล้าชวนสนทนาอะไรมาก
เวลานั้นคนที่อยู่ในบ้านก็ยังชะโงกมองเหมือนใคร่รู้ ชมหวายได้ยินเขาเอ่ยกับคนเป็นนายว่างานที่สั่งให้ทำนั้นเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ ผมคงต้องไปก่อนนะครับคุณหวาย คุณกวินโทรตามแล้ว” เขาบอกก่อนจะเปิดประตูรถ
ชมหวายได้ยินก็สำนึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังจะไป จึงเปิดประตูกว้างและเรียกเขาไว้แต่ดันสะดุดพรมเช็ดเท้าหน้าประตูล้มลง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ร่างของกฤษณ์กับลูกน้องก็ขึ้นรถขับออกไปแล้ว ชมหวายวิ่งลงไปที่ลานแต่ไม่ทัน รถคันดังกล่าวพ้นรั้วลวดหนามไปในที่สุด
“โธ่!” นึกเจ็บใจตัวเองที่มัวแต่พิรี้พิไร พลันก้มมองที่เข่าเห็นมีเลือดไหลซิบๆ ถึงว่ารู้สึกแสบ คงเป็นตอนที่หกล้มกระแทกกับขอบประตู เจ้าตัวนึกอยากจะกรีดร้องดังๆ ให้หายโมโหว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา
เวลานั้นเหลือบมองไปที่ลังกระดาษตรงชานโล่ง คนบาดเจ็บกะเผลกเข้าไปนั่งตรงม้านั่งข้างแนวพุ่มไม้ ที่แน่ๆ ลังแบนๆ ที่มีโลโก้คุ้นตานั่นต้องเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ว่าแล้วก็รีบเปิดลังที่เหลือทันที ปรากฏว่าในนั้นมีทั้งข้าวสารและอาหารกระป๋อง
“ไข่!” ชมหวายตาโตอย่างกับเจอเพชรเมื่อเห็นว่ามีไข่เป็นกระบะอยู่ในลังใบหนึ่ง เจ้าตัวรีบวิ่งไปเอาหม้อต้มน้ำเตรียมทำบะหมี่ก่อนอย่างแรก หิวจนไส้จะขาดแล้วตอนนี้ อันที่จริงโล่งอกตั้งแต่เห็นลังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว นึกขอบใจว่าอย่างน้อยกวินก็ยังมีความเป็นคนอยู่บ้าง
พ้นช่วงวิกฤตมาแล้วก็ดูจะค่อยมีแรงขึ้นอีกหน่อย เป็นครั้งแรกที่ทานบะหมี่หมดไปถึงสองซอง แถมใส่ไข่อีกสองฟองเพื่อเพิ่มโปรตีนและคุณค่าทางสารอาหาร
คนมีแรงทยอยลากและขนลังข้าวของเข้าไปในบ้าน อันที่จริงยังมีอีกหลายลังที่ยังไม่ได้แกะ ทว่ายิ่งดีใจใหญ่เมื่อเจอเส้นสปาเก็ตตี้และมักกะโรนีอยู่ในนั้นด้วย มีซุปกระป๋องและปลาทูน่า มีเห็ดในน้ำเกลือและอีกหลายอย่างที่คิดว่าจะประทังชีวิตไปได้อีกหลายสัปดาห์
“เดี๋ยวนะ นี่ใจคอจะขังฉันไว้แบบนี้เป็นเดือนเลยรึไง” พูดแล้วก็นึกแค้น
พออิ่มหนำแล้วก็เริ่มลงไปสำรวจบริเวณนอกบ้านต่อ ลานซักล้างมีกะละมังซักผ้าและผงซักฟอก มีไม้ถูกพื้นและอุปกรณ์ครบครัน เปิดประตูห้องเก็บของขนาดใหญ่ก็เห็นอุปกรณ์ช่างและอะไหล่เยอะแยะมากมาย แค่เปิดเข้าไปก็ได้กลิ่นน้ำมันเครื่องและจาระบีอวลติดปลายจมูก แต่เวลานี้ยังไม่มีแก่ใจจะเข้าไปรื้อค้น
พอได้ยืนๆ นั่งๆ อยู่แบบนี้ก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย หลายเดือนที่เสียใจเรื่องของธาราจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น ทว่าเวลานี้ความเสียใจมันข้ามขั้นมาแล้ว คนเคยทำงานแต่ต้องมาเดินไปเดินมามันน่าหงุดหงิด โทรทัศน์หรือเครื่องเสียงอะไรก็ไม่มีสักอย่าง สามีตัวแสบเล่นถอดออกและยกไปเก็บเสียหมด
“อีตาบ้า!” คิดๆ แล้วก็แค้น พอดีเหลือบไปเห็นดงดอกมะลิจึงนึกอะไรออก ชมหวายวิ่งเข้าไปหยิบตะกร้าใบเล็กในครัวมาเก็บดอกไม้เอาขึ้นไปวางให้ทวีบนหิ้ง
“ถ้าพ่อหวายเคยทำไม่ดีไว้กับคุณอา หวายขอโทษนะคะ คุณอาจะว่าอะไรมั้ยถ้าหวายจะเชื่อในคำพูดของคุณพ่อ” เธอเอ่ยกับรูปภาพของผู้ตาย เวลานี้ความกลัวมันแทบจะหายไปจนหมดแล้ว แต่ชมหวายก็ยังไม่แน่ใจว่าถ้าถึงตอนกลางคืนมันจะกลับมาอีกหรือไม่
ระหว่างเก็บข้าวของในครัวก็เห็นตู้เมนไฟอยู่ตรงผนัง มีแผงคอนโทรลและคัทเอาท์อยู่ด้วย ชมหวายเริ่มเอะใจและเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในใจนึกตำหนิตัวเองขึ้นมาทันที กวินร้ายกาจมาก เขาสับคัทเอาท์ไว้ทำให้ไฟฟ้าในบ้านใช้การไม่ได้
“ลวงโลก!” ว่าแล้วก็สับคันโยกขึ้น ชมหวายลองเปิดสวิทซ์ไฟในครัวก่อนอันดับแรก ปรากฏว่ามันเงียบ ก่อนจะกะพริบถี่และสว่างไสวในที่สุด คนร่างระหงเผยยิ้มอย่างดีใจราวกับได้แก้ว
“คืนนี้ได้อยู่อย่างสว่างๆ ซะที” ทีนี้ความกลัวก็จะเหลือน้อยลงไปอีก
ร่างระหงนึกโล่งอกเป็นอย่างมาก เล่นเดินไปเปิดไฟเสียจนสว่างไสวรอบบ้าน ทั้งข้างในและข้างนอก ประหนึ่งว่าเจ้าตัวผลิตกระแสไฟฟ้าได้เองก็มิปาน
“เสียดายที่นายถอดเอาแอร์กับเครื่องทำน้ำอุ่นออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะเปิดมันทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนเลย ให้จ่ายค่าไฟหัวบานไปเลย” เจ้าตัวโพล่งอย่างนึกโมโห นี่ใจคอคงหมายจะให้เธออยู่อย่างลำบากยากเข็ญ แต่ฝันไปเถอะ ติดขัดแค่นี้ทำอะไรชมหวายไม่ได้หรอก
เป็นอีกคืนที่ต้องอยู่กับความเงียบเหงาและอ้างว้าง ชมหวายรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองเธอตลอดเวลา ซึ่งนั่นทำให้คนร่างระหงรู้สึกหวาดระแวง กวินไม่โผล่หน้ามาเลยหลังจากเมื่อวานนี้ แต่ชมหวายก็ไม่เคยคำนึง ดีเสียอีกที่ไม่ต้องเห็นหน้าเขา ถ้าขืนต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอีก เธอขออยู่อย่างตกระกำลำบากแบบนี้ดีกว่า
เริ่มดึกอากาศกลับเริ่มร้อนอบอ้าว คนแบบบางหมกตัวอยู่ในห้องบนเตียงนอนนุ่มๆ ก่อนจะคิดได้ว่ากวินอาจพาผู้หญิงอื่นมานอนบนเตียงนี้แล้ว ทันใดนั้นแผ่นหลังบางก็ดีดตัวขึ้นโดยพลัน
ในห้องอากาศไม่ถ่ายเทเหมือนด้านนอก พอไม่มีเครื่องปรับอากาศแล้วรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ตัดสินใจหอบผ้าห่มมาปูนอนหน้าห้องโถง แต่พอเหลือบเห็นรูปภาพของทวีแล้วก็เปลี่ยนใจย้ายที่เขยิบมานอนตรงมุมห้องใกล้ประตู กะว่าเผื่อมีอะไรจะได้วิ่งพรวดเดียวออกไปข้างนอกเลย
คืนนี้ค่อยใจชื้นเพราะมีแสงไฟสว่างไสวรอบบ้าน ตะเกียงน้ำมันจะมีประโยชน์อีกครั้งก็ต่อเมื่อไฟดับ อาศัยเปิดหน้าต่างแง้มไว้ให้ลมผ่านเข้ามาพอเย็นสบาย แต่กำลังจะเคลิ้มหลับกลับได้ยินเสียงโหยหวนดังขึ้นอีกแล้ว ชมหวายผุดลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ดีที่ว่าวันนี้มีแสงไฟ แต่เสียงร้องดังกล่าวยิ่งดังเมื่อเธอเปิดหน้าต่างไว้
หญิงสาวตัดสินใจลุกไปปิดหน้าต่างและปิดม่านตามเดิม บรรยากาศมันน่ากลัวก็ตอนที่มองออกไปข้างนอกแล้วเห็นแต่เงาทะมึนของพุ่มไม้ไกลๆ เกือบจะทำใจไม่ให้ฟุ้งซ่านได้แล้ว แต่จู่ๆ รูปของทวีก็ดันตกลงมาที่พื้น
“ว๊าย!” ชมหวายทะลึ่งพรวดอย่างสุดตัว มองไปบนหิ้งแต่ไม่กล้าลุกขึ้นไป ยกมือไหว้ขอขมาถ้าหากเธอทำอะไรที่ไม่เหมาะสม
จังหวะเดียวกันนั้นได้ยินเสียงขลุกขลักบริเวณโกฐ ทีนี้หัวใจหล่นวาบไปถึงตาตุ่ม มือไม้อ่อนระทวยเหมือนคนไม่มีเอ็น สวดมนต์อาราธนาคุณพระไล่มาตั้งแต่เชียงรายกระทั่งถึงพิษณุโลก ข่มตานอนพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเช้า
รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะหลับไปได้ราวสองชั่วโมง ตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะแสงสว่างและความอุ่นของอากาศ รูปของทวียังคงคว่ำหน้าอยู่เหมือนเดิม ชมหวายสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าหิ้ง
เป็นไงเป็นกัน หญิงสาวก้มลงหยิบรูปบานดังกล่าวที่พื้นขึ้นมา สภาพคือกระจกแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ดูเหมือนสายคล้องด้านหลังจะขาดจึงทำให้กรอบรูปตกลงมา ชมหวายยกภาพที่อยู่ในกรอบไม้เปล่าๆ ไปวางบนเก้าอี้ริมผนัง นั่งเก็บเศษกระจกและเอาไม้กวาดมาเก็บทำความสะอาดบริเวณนั้นให้เรียบร้อย
ช่วงที่เอื้อมไปหยิบถาดดอกมะลิสัมผัสถึงอะไรนุ่มๆ ดิ้นอยู่ใต้มือ คนตกใจรีบชักมือกลับแล้ววิ่งไม่คิดชีวิตไปเกาะอยู่ตรงขอบประตูบ้าน สายตาใคร่รู้มองไปที่หิ้งตลอดเวลา ได้ยินเสียงตกกระทบพื้นดังแปะ พร้อมเห็นลำตัวนุ่มนิ่มของจิ้งจกตัวหนึ่งวิ่งเข้าไปใต้เก้าอี้
“ไอ้เจ้าบ้า! ตกใจหมด” มือเล็กยกทาบอกที่กระเพื่อมแรง เห็นทีคงช็อคตายเข้าสักวันแน่หากขืนมีอะไรให้ระทึกขวัญทุกวันแบบนี้
ถึงท้องฟ้าสว่างไสวแล้วแต่ชมหวายก็ยังเปิดไฟทิ้งไว้แบบนั้น ใครจะว่าเธอไม่ช่วยชาติอนุรักษ์หรือประหยัดพลังงานก็ตามแต่ นาทีนี้ต่อให้ต้องผลาญทรัพยากรธรรมชาติให้หมดประเทศก็จะทำ
ว่าแล้วก็ผุดความคิดที่จะรดน้ำต้นไม้ คนเจ้าความคิดเดินลากสายยางมาจากหลังบ้านเตรียมจะเปิดน้ำ สภาพตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนรับใช้เลยสักนิด ตอนเธอทำแปลงเกษตรที่ชมธารารีสอร์ตยังรู้สึกว่ามีสง่าราศีกว่านี้อีก
จู่ๆ แว่วเสียงตะโกนดังมาตามลม ชมหวายเงี่ยหูฟังและจับทิศทางที่มาของสิ่งที่ได้ยิน แสดงว่าพ้นจากไร่อ้อยข้างหน้านี้ไปคงมีคนงาน ทีนี้หัวสมองผุดความคิดโลดแล่นขึ้นมาทันที
ร่างระหงทิ้งสายยางและตัดสินใจเดินออกไปนอกรั้วลวดหนาม แต่ลืมว่าตัวเองเปิดน้ำทิ้งไว้ ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะปล่อยเลยตามเลยดีหรือไม่ แต่สำนึกของพลเมืองดีทำให้นิ่งดูดายไม่ได้ สุดท้ายต้องวิ่งกลับไปปิดน้ำ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายออกไปตามทางลูกรังที่รถของกวินวิ่งไปคืนนั้น
ปรากฏว่าต้องผิดหวัง ไม่เห็นจะมีบ้านเรือนหรือเงาของสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างนอกจากยอดใบอ้อยสูงท่วมหัว จุดที่ยืนอยู่เป็นทางซึ่งเว้นไว้เป็นช่องสัญจรขนาดรถยนต์ผ่านเข้าออกได้ เสาไม้ขึงด้วยลวดกั้นไว้เป็นระยะตลอดแนว ความหนาแน่นสองฝั่งชนิดที่เรียกได้ว่าเงยหน้าก็เห็นแต่ท้องฟ้า ชั่งใจอยู่ว่าจะเดินหน้าหรือย้อนกลับไปทางเก่าดี เพราะนี่ก็เดินมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นจุดหมายปลายทาง
แต่ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเดินต่อไปอีกสักครึ่งค่อนชั่วโมงจะเจออะไรบ้าง
ระหว่างนี้คนอวดเก่งเริ่มพักเหนื่อยกลางทาง เสียงตะโกนที่ก่อนหน้าเคยได้ยินก็เงียบหายประหนึ่งไม่เคยปรากฏ ประมาณการณ์จากระยะทางนี่คงไม่ต่ำกว่าสามกิโลเมตร ตอนนี้เริ่มหมดแรงจริงๆ แล้ว ร่างระหงไม่สนใจอะไรนั่งจ๋องไปกับพื้นลูกรังขรุขระอย่างหมดสภาพ
“นี่นายจะจับฉันมาฆ่าหมกป่าอ้อยรึไงนายกวิน!!” คนหงุดหงิดตะโกนลั่นอย่างหัวเสีย นึกถึงหน้าตาถมึงทึงนั่นแล้วอยากจะจับมาบีบคอให้ตายคามือ รู้แบบนี้เปิดน้ำทิ้งไว้ก็ดี ให้มันท่วมไร่อ้อยตายไปให้หมดเลย
คิดแล้วก็ส่ายหน้าอยากจะร้องไห้ รู้อยู่ว่ามันเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี ต่อให้เปิดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืนมันก็ไม่มีทางท่วมไร่อ้อยที่ยาวเป็นร้อยๆ ไร่นี้ได้หรอก
“โอ๊ยอยากบ้า!!” ชมหวายอยากเสียสติให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร
แต่วินาทีนั้นเอง ได้ยินเสียงรถเครื่องแล่นมาจากทิศทางไหนสักแห่ง ซ้ำมีเสียงคนตะโกนคุยกันด้วย เชื่อแน่ว่าข้างหน้าจะต้องมีคนงานหรือไม่ก็บ้านเรือน
คนมีหวังตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่เดินมาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงจึงจะเริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้าง อารมณ์นี้เหมือนกับนักแสวงหาที่เจอแหล่งน้ำอันกว้างใหญ่ ร่างระหงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดวิ่งพรวดไปอย่างไม่คิดชีวิต สุดท้ายก็พ้นแนวไร่อ้อยในที่สุด
ทัศนียภาพตรงนี้ราวกับคนละโลกกับเมื่อชั่วโมงก่อน มีเทือกเขามีสิ่งปลูกสร้างและคนงานเดินไปมา ที่สำคัญคือเริ่มได้กลิ่นไหม้ลอยปะปนมากับกระแสลม เหมือนบริเวณไกลลิบนั้นจะเริ่มลงมือตัดอ้อยเข้าโรงหีบกันแล้ว แต่กว่าจะถึงตรงบริเวณที่เธออยู่ก็คงใช้เวลาอีกร่วมสัปดาห์
“เอ้า! มาใหม่หรือเราน่ะ?” มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้คนฟังสะดุ้งเล็กน้อย
ชมหวายหันกลับไป พบว่าเป็นเสียงของหญิงสาวซึ่งน่าจะเป็นคนงานในไร่ ลักษณะของหล่อนคือสวมหมวกปิดหน้าลายสก็อตตั้งแต่หัวถึงคอ เหลือให้เห็นแต่ดวงตาที่มองมาอย่างแปลกใจ
“ปะเปล่าจ้ะ ฉันไม่ใช่คนงานที่นี่หรอก”
“อ้าว! แล้วมายืนเกะกะอะไรตรงนี้ล่ะ” หล่อนถาม ยืนเท้าเอวคุยกับชมหวายตามประสาชาวบ้าน
“คือฉันก็ไม่รู้จะไปไหนน่ะ ไม่เคยมาที่นี่...เอ่อ ที่นี่คือที่ไหนเหรอ?”
“โอ๊ะ! แม่นี่ถามอะไรแปลกๆ ก็ไร่คุณกวินน่ะสิ ไร่ภูเคียงฟ้า...เอ๊ะ! ปกติดีรึเปล่าเราเนี่ย?” หล่อนหัวเราะเยาะ พินิจใบหน้าชมหวายกับการแต่งตัวแล้วดูขัดกันชอบกล
เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่ยืนใบ้ คนถูกมองเป็นตัวตลกลอบถอนใจเบา
“นี่เขาพักเที่ยงกันแล้ว ไม่ไปกินข้าวรึไง ไปสิ เดี๋ยวก็ไม่เหลืออะไรให้กินกันพอดี” หญิงสาวคนเดิมพูดพลางจูงมือชมหวายไปด้วย รายนี้งงแต่ก็เดินตามไปหน้าตาเฉย
หญิงคนงานไร่อ้อยดังกล่าวแนะนำตนเองว่าชื่อหิ่งห้อย เพิ่งจะมาทำงานในไร่นี้ได้ไม่กี่วัน หล่อนเป็นเพื่อนกับมยะหนี่แม่บ้านของที่นี่ และที่ที่หล่อนจะพาชมหวายไปก็คือโรงครัว คนงานทุกคนจะมาทานอาหารกันที่นี่เพราะกวินจะสั่งจันทราแม่บ้านอาวุโสทำกับข้าวมาส่งให้ทุกวัน
“ว่าแต่เราล่ะเป็นใครมาจากไหนเนี่ย คุยตั้งนานยังไม่รู้เลย แล้วแดดแรงๆ แบบนี้ไม่ใส่เสื้อแขนยาวเดี๋ยวก็ดำกันพอดี อ้อ! หรือถือว่าตัวเองขาว?” พูดจบก็หัวเราะอีก
ชมหวายอยากเอามือกุมขมับ เห็นทีคนที่ไม่ปกติท่าจะเป็นแม่นี่มากกว่า หาเรื่องค่อนแคะได้ตลอดทางสิน่า
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันไม่มีเสื้อแขนยาวหรอก มีแต่เสื้อยืดกับกางเกงสี่ส่วนนี่แหละ” หญิงสาวพูดไปตามความเป็นจริง เพราะที่กวินโกยลงกระเป๋ามาให้มีแต่ชุดลำลองทั้งนั้น ขนาดกางเกงยีนยังไม่มีสักตัว
เวลานั้นเห็นหลังคาโรงครัวแล้ว มีรถกระบะกับรถอีแต๋นบรรทุกคนงานหลายสิบคนมาลงตรงด้านหน้า จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปต่อคิวเป็นแถวด้านใน ที่นี่มีลักษณะคล้ายกับโรงอาหารเล็กๆ มีโต๊ะยาวตั้งเป็นแถวคู่กันสองฝั่ง
หิ่งห้อยดึงมือชมหวายไปสมทบกับเพื่อนของหล่อนคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนตรงโต๊ะไม้ เป็นครั้งแรกที่ชมหวายได้เห็นผู้คนเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ถ้าประเมินจากสายตาที่เห็นนี่ก็น่าจะราวๆ ห้าสิบคนได้
หลายคนเห็นเธอเป็นคนแปลกหน้าก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้า บางรายเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เดินเป็นกลุ่มเหมือนเจ้าถิ่น พอเห็นหญิงสาวหน้าใหม่ก็เพ่งพินิจด้วยสายตาที่ส่อไปในทางไม่บริสุทธิ์ใจ ชมหวายไม่กล้าสบตาคนพวกนั้น กระทั่งหิ่งห้อยโพล่งขึ้นมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมองสำรับอาหาร
“โห วันนี้มีขาหมูพะโล้ด้วยแฮะ คุณกวินนี่ใจดีชะมัดเลย” หล่อนชื่นชม ชมหวายทำยิ้มเจื่อนเออออ แต่จะทานไม่ลงก็เพราะประโยคที่อีกฝ่ายเยินยอสามีให้ฟังนี่เล่า
“นี่! ตกลงวันนี้จะรู้มั้ยเนี่ยว่าเธอเป็นใครน่ะ” หิ่งห้อยเหลือกตามองโดยมือยังยกช้อนจ่ออยู่ที่ปาก
ชมหวายบอกชื่อและแนะนำตัวเองว่าเป็นภรรยาของกวิน เท่านั้นเอง เห็นหิ่งห้อยกับบรรดาเพื่อนของหล่อนขำกันงอหงาย ดีที่คนอีกกลุ่มซึ่งนั่งถัดไปไม่ได้ใส่ใจฟัง ไม่งั้นก็คงรวมหัวกันหัวเราะเยาะเธอไปด้วย
“แหม่ ตลกนะเรา ใครเชื่อก็ปัญญาอ่อนแล้ว”
“แต่ฉันพูดจริงๆ นะ ฉันเป็นภรรยาเขา” ชมหวายเริ่มรู้สึกอาย ไม่มีใครเชื่อเธอไม่ว่า แต่ละคนยังทำหน้าเหมือนหญิงสาวเป็นคนลวงโลก ทว่าตัวหิ่งห้องเองดูไม่ได้ถือสาเท่าไหร่นัก ต่างจากเพื่อนของหล่อนที่ทำมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ซึ่งร่างระหงเองก็พอจะรู้ตัวว่าสารรูปเธอมันน่าสมเพชขนาดไหน
“ไม่เอาๆ เลิกพูดเล่นสักทีแม่ชมหวาย เกิดเมียคุณกวินมาได้ยินเข้าได้เป็นเรื่อง” หิ่งห้อยตัดบท เพื่อนเธอที่นั่งข้างๆ ก็ด้วย รายนี้ก็เพิ่งเข้ามาใหม่พร้อมกับหิ่งห้อย แต่พวกหล่อนก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
“เมื่อกี๊หิ่งห้อยว่าไงนะ เมียคุณกวิน?” ชมหวายสะดุดตรงประโยคนี้ คนพูดถึงพยักหน้ายืนยัน บอกว่าลูกและภรรยาตัวจริงของกวินอยู่ที่เรือนใหญ่เชิงเขาโน่น
“ฉันเคยเห็นตอนมาวันแรก เมียเขาออกจะสวยอย่างกับนางฟ้า ลูกก็น่ารัก แหม แล้วเธอยังจะกล้ามาโอ่ ไม่อายบ้างเลยเนอะ” พูดจบหิ่งห้อยก็หัวเราะร่วนอีกรอบ คราวนี้ชมหวายทั้งอายทั้งเจ็บจนพูดไม่ออก
ตอนชมหวายลุกไปแล้ว มยะหนี่หรือมณีสาวใช้ประจำเรือนใหญ่ก็เดินเข้ามาถามหิ่งห้อย ทุกวันหล่อนและจันทราจะต้องทำกับข้าวและเดินทางมาตักให้คนงานที่นี่ รายนี้สังเกตเห็นชมหวายตั้งแต่หญิงสาวมานั่งที่โต๊ะตัวดังกล่าวแล้ว พอได้ยินหิ่งห้อยบอกว่ารายนั้นอ้างตัวเป็นภรรยาของกวินก็เริ่มมองหา แต่ทว่าตอนนั้นชมหวายหายตัวไปแล้ว
“อย่าไปสนใจเลยแม่มณี ดูท่าเหมือนจะไม่ค่อยปกติ” หิ่งห้อยกล่าวกับสาวใช้ชาวพม่าวัยยี่สิบห้าปี แต่เพราะข้อมูลที่ได้รับทำให้มยะหนี่นิ่งเฉยไม่ได้
สาวผิวขาวเหลืองขอตัวกลับไปเก็บหม้อเก็บจานที่โต๊ะยาว พลางในหัวก็คิดเรื่องผู้หญิงที่ชื่อชมหวายไปด้วย
“เป็นอะไรไปล่ะแม่มณี?” จันทราถามสาวใช้ที่อายุห่างจากนางถึงสิบห้าปี คนกำลังใช้ความคิดจึงเดินกลับมาพร้อมมองหน้าหญิงวัยกลางคนอย่างตั้งคำถาม
“ป้าจัน ป้าเชื่อมั้ยว่าผู้หญิงแปลกหน้าเมื่อกี๊นี้คือคุณหวาย?” หล่อนถาม เพราะอยู่ประเทศนี้มานานทำให้มยะหนี่พูดสำเนียงไทยได้ชัดกว่าแม่บ้านอีกคน
จันทราส่ายหน้า บอกว่าตนไม่ทันได้สังเกตเห็นคนที่สาวพม่าพูดถึง
“โธ่ป้า ก็ผู้หญิงที่มากับหิ่งห้อยไง ที่นั่งข้างๆ กันนั่นน่ะ”
“โอ๊ย! ฉันไม่ได้สนใจหรอก ใครจะไปสอดรู้สอดเห็นเหมือนหล่อนล่ะแม่มณี” จันทราลากเสียงยาว
สาวรุ่นลูกถึงถอนใจทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่
“ไม่ต้องมาค้อนเลยย่ะ เอาข้าวไปให้ตาสง่าได้แล้วไป เดี๋ยวรายนั้นก็หิวจนอาละวาดอีกหรอก” นางไล่กลายๆ
มยะหนี่ทำหน้าล้อเลียนแล้วเดินไปคว้าปิ่นโตที่โต๊ะ จันทราหันมาเห็นเข้าก็เม้มปากหมั่นไส้
“อ้อ! แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ดีๆ ล่ะ เกิดตกคันนาไปจะยุ่ง” เสียงแม่บ้านกำชับด้วยความเป็นห่วง
“จ้า” มยะหนี่ขานรับเสียงหวาน ก่อนคว้าจักรยานยนต์คันเก่งขี่มุ่งไปทางลัดเช่นทุกวัน
แต่คล้อยหลังสาวใช้ร่างเล็ก จันทรากลับเอาคำพูดของมยะหนี่มาคิด ความจริงนางเห็นชมหวายตั้งแต่แรกเดินเข้ามาแล้ว และรู้จากกัญญามาก่อนว่ากวินแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อนี้
“นี่แสดงว่าคุณมุกคงจะยังไม่เห็นสินะ” นางเดา เพราะไม่เห็นนายหญิงของบ้านจะถามถึง
ที่น่าแปลกคือการปรากฏตัวของชมหวายและสภาพของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเจ้าของไร่ หล่อนควรจะสวยสง่าและมีราศีกว่านี้ไม่ใช่หรือ ไฉนสิ่งที่เห็นผ่านสายตามันช่างค้านกับความคิดเสียเหลือเกิน
