บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

“ให้ตายเถอะท่านรอง ทำแบบนี้ฆ่าผมเลยดีกว่า” ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ขณะยืนรอลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจึงก้าวเข้าไป แต่จังหวะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมหมวกปิดบังใบหน้าก้าวออกมาจากลิฟต์สวนกับชนาธิปพอดี ชายคนดังกล่าวดูจะชะงักนิดหน่อย ยามเห็นชนาธิป แต่ก็ยังคงทำตัวไม่สะดุดตานัก จังหวะที่เดินสวนกัน นายตำรวจหนุ่มได้กลิ่นคาวเลือดแต่เหมือนจะช้าเพราะประตูลิฟต์ได้ปิดลงและเคลื่อนตัวลงชั้นล่างตามที่เขากดไว้เมื่อครู่

แต่ความที่เอะใจกับกลิ่นคาวเลือดนั้น ชนาธิปจึงจะกลับขึ้นไปดูที่ชั้นยี่สิบห้าอีกครั้ง แต่ความเร็วของลิฟต์ก็ทำให้ชายหนุ่มลงไปถึงชั้นที่สิบเจ็ดแล้ว ชนาธิปเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดหนีไฟ เพื่อกลับขึ้นมาชั้นที่เขาอยู่เมื่อครู่ เพราะไม่อยากเสียเวลารอลิฟต์อีกตัว นายตำรวจหนุ่มเดินจ้ำอ้าวก้าวยาวๆ ตรงไปยังชั้นยี่สิบห้าและเลี้ยวซ้ายไปยังห้องของปาร์คเฮริมทันที แต่สิ่งที่เขาคิดก็ถูกเมื่อหน้าประตูห้อง 2509 ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและข้อความภาษาเกาหลีที่เขาอ่านไม่ออก

“คลาดกันจนได้” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงที่ได้ยิน

กรี๊ด!!

เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นของปาร์คเฮริมภายในห้อง ทำให้ชนาธิปตกใจไม่น้อย ชายหนุ่มเคาะประตูห้องติดกันหลายครั้งหวังให้เธอเปิด แต่กลับยังเงียบเพราะหญิงสาวคิดว่าคนที่เคาะประตูห้องตอนนี้เป็นคนร้ายที่ส่งจดหมายเลือดซึ่งร่วงลงจากมือเธอไปกองอยู่กับพื้นตอนนี้นั่นเอง

“เฮริม...เปิดประตู ผมเองเฮริม” เสียงของชนาธิปที่ดังอยู่นอกห้อง ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ เธอเดินไปยังประตูด้วยขาที่สั่นเทาแทบไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเปิดประตูให้ชายหนุ่ม แล้วบอกเขาเสียงสั่น

“มะ…มันตามฉันมาถึงที่นี่”

“บ้าชิบ” ชนาธิปก้าวเข้าไปในห้อง จดหมายที่เป็นกระดาษเอสี่ มีอักษรที่เขียนด้วยเลือดวางอยู่บนพื้น ตัวอักษรถ้ามองไม่ผิดมันเหมือนกับจดหมายฉบับก่อนที่เขาเห็น

“ทำไงดี ฉันกลัว”

“ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม ตั้งสติหน่อย” ชายหนุ่มเขย่าตัวหญิงสาวที่ตอนนี้ร่างทั้งร่างสั่นเทาแรงๆ จนศีรษะเธอสั่นคลอนไปมา แต่สีหน้าของปาร์คเฮริมก็ยังคงซีดเผือด ตามเนื้อตามตัวเธอเย็นเฉียบไปหมด ขืนเธออยู่ที่นี่ต้องไม่ดีแน่ เพราะเลือดที่กองเต็มห้องแบบนั้นผู้คนต้องสงสัย

“มันตามฉันมาถึงเมืองไทยได้ไง ฉันไม่ได้บอกใครนะว่าจะมาที่นี่”

“รีบไปเก็บของ เราต้องออกไปจากที่นี่”

“จะไปไหน”

“บอกให้ไปเก็บของหรืออยากรอมันเข้ามาฆ่าเธอในห้องหรือไง รีบไป” คำขู่ของชนาธิปได้ผล ปาร์คเฮริมลนลานกลับเข้าไปในห้องและเก็บข้าวของทันที มือของเธอสั่นจนหยิบนั่นนี่หล่นพื้นเป็นว่าเล่น นายตำรวจหนุ่มจัดแจงช่วยเธอเก็บข้าวของรวมทั้งหลักฐานทุกอย่างที่จะชี้ไปยังคนร้าย พอก้าวออกจากห้องหญิงสาวก็ต้องชะงักกับกองเลือดที่เห็น จนแทบก้าวขาไม่ออก แต่ชนาธิปก็จูงมือเธอให้เดินตามเขาไป ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาว่ามันปลอดภัยจริงๆ แล้ว จึงเดินนำหน้าเธอไปยังรถที่จอดอยู่หน้าคอนโดมิเนียม

ชนาธิปให้หญิงสาวเข้าไปรอในนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังคอนโดมิเนียมอีกครั้ง แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ขึ้นไปทำความสะอาด เขาอยากได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดของชั้นที่ยี่สิบห้า เพราะเขานั้นเดินสวนกับคนที่ทำเรื่องนี้แน่ๆ แต่มันกลับหนีไปได้ ไม่นานภาพจากกล้องวงจรปิดก็ตกอยู่ในมือเขา เพราะเป็นตำรวจแถมวันนี้ยังแต่งตัวเต็มยศเสียด้วย มีแต่คนเกรงใจ ชนาธิปได้ภาพพวกนั้นติดมือมาก่อนจะเดินกลับมายังรถและขับออกไปจากคอนโดมิเนียม คอยสังเกตว่ามีใครขับรถตามมาหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีถ้ามันกล้าตามมาทั้งๆ ที่เขาเป็นตำรวจแบบนี้ก็เก่งเกินไปแล้ว

ภายในมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ตอนนี้กำลังคึกคักด้วยเหล่านิสิต ปาณิสราเองก็เพิ่งเลิกเรียน วันนี้เธอมีเรียนแค่ภาคเช้าเท่านั้น หลังจากนี้คือการเตรียมตัวสอบเทอมสุดท้ายของการเป็นนิสิต ตอนบ่ายกะว่าจะไปเล็งของขวัญวันเกิดที่ห้างสรรพสินค้าให้พี่ชายสักชิ้น เพราะตอนนี้ยังตัดสินใจเลือกไม่ได้เลยว่าซื้ออะไรให้พี่ชาย เสื้อ กางเกง นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด และอีกสารพัดเธอก็ซื้อให้พี่ชายคนนี้มาจะครบแล้ว

“มีน...บ่ายนี้จะไปไหนหรือเปล่า”

“ไป…ทำไมเหรอพราว” ปาณิสราหันมาตอบนาริฐา เพื่อนสนิทเพศเดียวกับเธอ เพราะในคณะส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายบ้าพลังทั้งนั้น แต่ท่าทางเหมือนลูกคุณหนูของนาริฐาไม่น่าจะมาเรียนวิศวะฯ มากกว่าเธอเสียอีก เพราะเธอดูบอบบาง เพราะเธอนั้นยังดูลุยๆ หน่อย

แต่นาริฐานี้แทบตรงข้าม เพราะเธอเล่นหิ้วกระเป๋าใบละเป็นหมื่นมาเรียน ตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียกได้ว่ามีแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น เหตุผลที่เธอเลือกเรียนคณะวิศวะฯ เพราะคิดว่าถ้าจบจากคณะนี้เธอต้องมีงานดี มีเงินเดือนสูงลิ่วไม่แพ้คนเป็นหมอนั่นเอง ใจจริงอยากเรียนหมอด้วยซ้ำแต่เธอกลัวเลือดจึงเบนเข็มมาทางนี้แทน

“เปล่า...ก็แค่กะจะชวนไปซื้อของหน่อย”

“จะซื้ออะไร” คนถูกชวนเอ่ยถาม แต่ใบหน้านั้นกำลังสงสัยอยู่ในที

“กระเป๋า...คอลเลคชั่นใหม่เพิ่งออกเมื่อเช้า วันนี้กะจะไปถอยสักใบสองใบน่ะ” นาริฐาเอ่ยบอกมั่นใจ สีหน้าดูมีความสุขเป็นที่สุด

“กระเป๋าอีกแล้วเหรอ” ปาณิสราทำเสียงสูงเพราะจำได้เมื่อวันก่อนก็เห็นว่านาริฐาหิ้วกระเป๋าใบใหม่มาเรียนไม่ใช่หรือไง วันนี้จะไปซื้ออีก

“อื้อ…ก็เราอยากได้อีกแล้วนี่ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ นะๆ” คนชวนไม่ปฏิเสธ ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกต่างหาก

“ดะ…ได้ เพราะเราเองก็มีของที่อยากไปดูเหมือนกัน” หญิงสาวไม่ค้าน เพราะถึงนาริฐาไม่ชวนเธอก็ต้องไปเดินดูของอยู่ดี

“ขอบใจนะ” นาริฐาเข้ามาเกี่ยวแขนปาณิสราไว้ ก่อนจะเดินไปยังรถของเธอที่จอดอยู่หน้าตึกเรียน นาริฐาดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ลูกค้ากระเป๋าหนัก เธอจึงมีเงินใช้มากมายขนาดนี้ ประจวบเหมาะกับเงินมันร้อน ต้องรีบจับจ่ายเสียหน่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel