บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3: การป้ายสีจากขุนนางใหญ่

รุ่งอรุณของวันใหม่คืบคลานเข้ามา แต่กลับไม่ได้นำพาความสดใสมาสู่จวนตระกูลหลินดังเช่นทุกวัน บรรยากาศภายในบ้านอึมครึมและหนักอึ้งราวกับมีเมฆดำทะมึนลอยปกคลุมอยู่ เสียงนกร้องในสวนที่เคยเจื้อยแจ้วฟังดูแผ่วเบาและโหยหวน เหล่าบ่าวรับใช้ต่างทำงานกันอย่างเงียบเชียบ ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เหตุการณ์ในงานเลี้ยงเมื่อคืนได้ทิ้งร่องรอยแห่งความหวาดกลัวไว้ในใจของทุกคน

ลู่ชิงหยวนตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัวตลอดทั้งคืน นางฝันร้าย...ฝันเห็นจอกหยกแตกกระจายกลายเป็นเศษธุลี และได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของโหรหลวงดังก้องอยู่ในหู นางไม่ปรารถนาที่จะจับกู่ฉินหรือพู่กันเช่นเคย ทำได้เพียงนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง มองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินด้วยความรู้สึกว่างเปล่า โลกที่เคยปลอดภัยและมั่นคงของนาง บัดนี้กลับดูเปราะบางราวกับจะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ

มื้อเช้าของครอบครัวในวันนั้นเต็มไปด้วยความเงียบงัน หลินเจิ้งเฟิงแทบไม่ได้แตะต้องอาหารในชามเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมและแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด เขานั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่หนักแน่น “วันนี้ข้าต้องเข้าประชุมราชสำนักยามเช้าตามปกติ”

ฮูหยินหลินมองสามีด้วยแววตาเป็นห่วง “ท่านพี่...ให้ข้าไปจุดธูปขอพรที่ศาลบรรพชนให้ท่านดีหรือไม่...”

เสนาบดีหลินส่ายหน้าช้าๆ เขาลุกขึ้นยืนและหันมามองหน้าภรรยาและลูกๆ ทั้งสองทีละคน สายตาของเขาอ่อนโยนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความนัยที่น่าใจหาย ราวกับเป็นการสั่งลา “ไม่ต้องหรอก...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าจงจำไว้ว่าตระกูลหลินของเรารับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา จงเข้มแข็งเอาไว้” เขาวางมือบนบ่าของหลินจื่อเซวียน “ดูแลแม่กับน้องสาวเจ้าให้ดี”

สิ้นคำพูดนั้น เขาก็หมุนกายเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกสังหรณ์ใจอันเลวร้ายที่เกาะกุมหัวใจของทุกคนในครอบครัว

ณ ท้องพระโรงในพระราชวังต้องห้าม บรรยากาศการประชุมราชสำนักในยามเช้าตึงเครียดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรด้วยใบหน้าบึ้งตึงเห็นได้ชัด อารมณ์ขุ่นมัวจากคำทำนายอัปมงคลเมื่อคืนยังคงไม่จางหายไป เหล่าขุนนางต่างก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาโดยตรง

เสนาบดีหลินเจิ้งเฟิงยืนอยู่ในตำแหน่งของตนอย่างสง่างาม แม้จะรู้ดีว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะสายตาที่ราวกับมีดสั้นของหวังจินซานและพรรคพวก เขาก็ยังคงยืนหยัดด้วยหลังที่เหยียดตรง ดั่งต้นสนที่ไม่ยอมโอนอ่อนต่อพายุ

การประชุมดำเนินไปอย่างเชื่องช้า มีการรายงานเรื่องไร่นา เรื่องภาษี และปัญหาชายแดนเล็กๆ น้อยๆ แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่ได้สนใจรับฟังเลยแม้แต่น้อย แล้วในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าการประชุมกำลังจะสิ้นสุดลง หวังจินซานก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ

เขายืนอยู่กลางท้องพระโรง โค้งคำนับลงจนศีรษะเกือบจรดพื้น ก่อนจะทูลด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับคนที่แบกรับความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส

“ทูลฝ่าบาท! กระหม่อมมีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดจะกราบทูล! เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยในราชบัลลังก์และเสถียรภาพแห่งราชวงศ์ต้าหยวน! กระหม่อมเจ็บปวดใจนักที่ต้องเป็นผู้เปิดโปงเรื่องนี้ แต่มันเป็นหน้าที่ของข้าแผ่นดินผู้จงรักภักดีพึงกระทำ!”

ลีลาที่ราวกับนักแสดงงิ้วชั้นครูของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้นได้ในทันที ฮ่องเต้ที่กำลังมีหน้าเบื่อหน่ายพลันหันมาจับจ้องเขาเป็นตาเดียว “มีเรื่องอันใดรึ เสนาบดีหวัง? รีบว่ามา!”

หวังจินซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัด “กระหม่อมสืบทราบมาว่า มีคนทรยศแผ่นดินลอบวางแผนสมคบคิดกับแม่ทัพชายแดนเพื่อก่อการกบฏ โค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

เพียงสิ้นเสียงประโยคนั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นในทันที เสียงฮือฮาดังระงมราวกับผึ้งแตกรัง

“บังอาจ!” ฮ่องเต้ทุบมือลงบนที่วางแขนของบัลลังก์เสียงดังลั่น “มันผู้ใดกันที่ช่างอาจหาญถึงเพียงนี้!”

หวังจินซานเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังหลินเจิ้งเฟิงอย่างอาฆาตมาดร้าย ก่อนจะเอ่ยชื่อออกมาอย่างเลือดเย็น “คนผู้นั้น...คือขุนนางที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยมาโดยตลอด...เสนาบดีกรมพิธีการ หลินเจิ้งเฟิงพ่ะย่ะค่ะ!”

ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางท้องพระโรง ทุกอย่างพลันเงียบสงัดลงในบัดดล ทุกสายตาหันไปมองหลินเจิ้งเฟิงเป็นจุดเดียว เขาตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนที่ใบหน้าจะแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะ

“หวังจินซาน! เจ้า...เจ้ากล้าใส่ร้ายป้ายสีข้าต่อหน้าพระพักตร์เชียวรึ! มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!”

“เหลวไหลรึ?” หวังจินซานแค่นเสียงหัวเราะ “ข้ามีทั้งพยานและหลักฐาน! ฝ่าบาททรงโปรดทอดพระเนตร!”

เขาส่งสัญญาณให้ขันทีคนสนิทนำกล่องไม้สลักลายอย่างดีขึ้นมาทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อฮ่องเต้เปิดออกดูก็พบว่าภายในบรรจุจดหมายอยู่หลายฉบับ พระองค์หยิบขึ้นมาฉบับหนึ่ง คลี่ออกอ่านอย่างรวดเร็ว ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งดำคล้ำลงเรื่อยๆ จนน่ากลัว

หวังจินซานกล่าวต่อ “นั่นคือจดหมายที่หลินเจิ้งเฟิงเขียนโต้ตอบกับแม่ทัพหยางเฟยที่ชายแดนภาคเหนือ วางแผนที่จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพของหยางเฟยบุกเข้าเมืองหลวงในวันที่ฝ่าบาทเสด็จไปนอกวังพ่ะย่ะค่ะ!”

หลินเจิ้งเฟิงจ้องมองจดหมายในมือของฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกที่ทั้งโกรธและหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ลายมือนั้นเหมือนของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน! มันถูกปลอมแปลงขึ้นอย่างแนบเนียนจนน่าขนลุก!

“ฝ่าบาท! นั่นไม่ใช่ลายมือของกระหม่อม! เป็นการกุเรื่องขึ้นทั้งสิ้น!” เขาคุกเข่าลงทันที “กระหม่อมรับใช้ฝ่าบาทมาตลอดยี่สิบปี หัวใจของกระหม่อมจงรักภักดีต่อราชวงศ์เสมอมา ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาด้วยเถิด!”

แต่ฮ่องเต้ที่กำลังถูกความโกรธและความระแวงเข้าครอบงำกลับไม่ฟังสิ่งใดทั้งสิ้น คำทำนายของโหรหลวงเรื่อง ‘การทรยศหักหลัง’ ยังคงก้องอยู่ในพระกรรณ หลักฐานที่เห็นตรงหน้าสอดรับกับคำทำนายนั้นอย่างน่าประหลาด ความเชื่อใจที่เคยมีให้ขุนนางคู่ใจมานานปีเริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง

“พยานเล่า? พยานของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ฮ่องเต้หันไปถามหวังจินซาน

หวังจินซานยิ้มเยาะที่มุมปาก “นำพยานเข้ามา!”

ชายสองคนถูกคุมตัวเข้ามากลางท้องพระโรง คนแรกคืออดีตอาลักษณ์ประจำจวนตระกูลหลินที่ถูกไล่ออกไปเมื่อหลายเดือนก่อนเพราะขโมยของ เขาทรุดกายลงร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย

“ทูลฝ่าบาท! บ่าวผิดไปแล้ว! บ่าวถูกเสนาบดีหลินบังคับให้คัดลอกจดหมายกบฏเหล่านี้พ่ะย่ะค่ะ! เขาขู่ว่าจะฆ่าล้างครัวบ่าวหากไม่ยอมทำตาม! บ่าวได้ยินเขาพูดคุยแผนการร้ายกับคนชุดดำหลายครั้งในห้องหนังสือตอนกลางดึก!”

พยานคนที่สองคือทหารยศนายกองที่ประจำการอยู่ชายแดน เขาคุกเข่าลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กระหม่อมเป็นคนรับสาส์นจากคนของเสนาบดีหลิน แต่ด้วยความจงรักภักดี กระหม่อมจึงมิได้นำไปมอบให้แม่ทัพหยางเฟย แต่ตัดสินใจลอบเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเปิดโปงแผนการชั่วร้ายนี้!”

คำให้การของพยานทั้งสองราวกับตะปูที่ตอกฝาโลงให้กับหลินเจิ้งเฟิง ขุนนางฝ่ายหวังจินซานต่างพากันส่งเสียงเรียกร้องให้ประหารคนทรยศทันที ขณะที่ขุนนางฝ่ายที่เป็นกลางและที่ยังเชื่อมั่นในตัวเสนาบดีหลินพยายามจะทูลทัดทาน แต่เสียงของพวกเขากลับเบาหวิวราวกับเสียงกระซิบในพายุใหญ่

หลินเจิ้งเฟิงรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เขามองเห็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะของหวังจินซาน และมองเห็นแววตาที่ว่างเปล่าและเย็นชาของฮ่องเต้ ความภักดีที่เขามอบให้มาทั้งชีวิต บัดนี้กลับไร้ค่าไม่ต่างจากเศษฝุ่น

“หลินเจิ้งเฟิง...” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง “ข้าเคยเชื่อใจเจ้าเหมือนน้องชาย แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าด้วยการคิดคดทรยศ! หลักฐานและพยานมัดตัวเจ้าแน่นหนาถึงเพียงนี้!”

“ฝ่าบาท! มันคือแผนการ! ได้โปรด...ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วย!” เขาโขกศีรษะลงกับพื้นจนเลือดไหลซิบ

แต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า “ความเป็นธรรมรึ? ได้! ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า!” พระองค์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ประกาศิตด้วยเสียงกึกก้อง “ทหารองครักษ์! จับกุมอดีตเสนาบดีหลินเจิ้งเฟิงและคนในตระกูลหลินทั้งหมด! ยึดทรัพย์สินและปิดตายจวน! เราจะทำการไต่สวนพวกมันอย่างละเอียด! อย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

สิ้นเสียงพระบัญชา ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาปลดหมวกขุนนางและเสื้อคลุมตำแหน่งของหลินเจิ้งเฟิงออก เข่าของเขาอ่อนลงจนแทบจะทรุดลงกับพื้น ร่างกายที่เคยสง่างามบัดนี้กลับดูน่าเวทนา เขาถูกทหารลากตัวออกไปจากท้องพระโรงราวกับนักโทษเดนตาย

ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะปิดลง เขาหันกลับมามองเป็นครั้งสุดท้าย สายตาของเขาไม่ได้มองไปที่ฮ่องเต้ผู้โฉดเขลา แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาของหวังจินซาน...แววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความแค้นนั้นสาบานว่า...แม้กลายเป็นผีก็จะขอจองล้างจองผลาญคนชั่วผู้นี้ให้จงได้!

กับดักได้ถูกกางออกและเหยื่อก็ได้ติดกับแล้ว พายุร้ายที่ตั้งเค้ามานานได้เริ่มพัดกระหน่ำ และเป้าหมายแรกของมันก็คือจวนตระกูลหลินที่กำลังจะถูกทำลายลงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้เอง...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel