บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2: ลางร้ายในงานเลี้ยงวัง

เจ็ดวันต่อมา จวนตระกูลหลินก็คึกคักและวุ่นวายตั้งแต่รุ่งสาง บ่าวรับใช้ต่างวิ่งวุ่นจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ ซึ่งนับเป็นงานมหามงคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์จากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางมารวมตัวกันในพระราชวังต้องห้ามเพื่อถวายพระพร

ภายในห้องพักของลู่ชิงหยวน บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมและกำยานชั้นดี นางนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองขัดเงา ปล่อยให้ชิงเหอและบ่าวอาวุโสอีกสองคนช่วยกันบรรจงแต่งกาย วันนี้นางอยู่ในอาภรณ์ที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยสวมใส่มาในชีวิต ชุดผ้าไหมปักดิ้นทองลายหงส์เหินเล่นเมฆาที่ท่านแม่เป็นผู้เลือกให้ด้วยตนเองนั้นขับเน้นผิวพรรณที่ขาวผ่องของนางให้ดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น แขนเสื้อที่ยาวสยายจรดพื้นปักลวดลายมงคลอย่างประณีตทุกฝีเข็ม เรือนผมดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นมวยสูง ประดับด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อและพู่หยกขาวระย้าที่แกว่งไกวเบาๆ ทุกครั้งที่ขยับกาย

ฮูหยินหลินก้าวเข้ามาในห้อง นางมองบุตรสาวด้วยแววตาชื่นชมระคนห่วงใย ก่อนจะประคองปิ่นทองคำสลักลายดอกโบตั๋นอันเป็นของตกทอดประจำตระกูลขึ้นปักบนมวยผมของลู่ชิงหยวนเป็นชิ้นสุดท้าย “จำคำแม่ไว้ให้ดีนะชิงเอ๋อร์ เมื่อเข้าไปในวังแล้ว จงก้มหน้ามองต่ำ สงบปากสงบคำ และทำตามที่พ่อกับแม่บอกทุกอย่าง ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะแสดงออกตามใจชอบได้”

“ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” ลู่ชิงหยวนรับคำ แม้ในใจจะรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของวังหลวงเป็นครั้งแรก แต่ความทรงจำเกี่ยวกับเงาดำในสวนคืนนั้นยังคงตามหลอกหลอน ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด

เมื่อรถม้าประจำตระกูลเคลื่อนตัวออกจากจวนมุ่งหน้าสู่พระราชวังต้องห้าม ลู่ชิงหยวนแง้มม่านหน้าต่างออกมองทิวทัศน์ภายนอก ถนนทุกสายในเมืองหลวงถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดและผ้าแพรหลากสี บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและรื่นเริง แต่เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าใกล้กำแพงวังสีแดงชาดสูงตระหง่าน ความรู้สึกตื่นตาก็ตถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกกดดันและน่าเกรงขาม วังหลวงนั้นใหญ่โตและโอ่อ่ากว่าที่นางจินตนาการไว้มากนัก หลังคากระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์จนสว่างเจิดจ้า ทหารองครักษ์ในชุดเกราะเต็มยศยืนประจำการนิ่งขรึมทุกย่างก้าว สายตาคมกริบของพวกเขากวาดมองทุกคนที่ผ่านเข้าออกราวกับจะมองทะลุไปถึงจิตใจ

ทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดปะทะร่างของนางจนรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก ทั้งที่วันนี้อากาศไม่ได้หนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย นางเห็นบิดา เสนาบดีหลินเจิ้งเฟิง ต้องฝืนยิ้มทักทายกับเหล่าขุนนางที่ทยอยเดินทางมาถึง แม้ใบหน้าจะเปื้อนยิ้ม แต่แววตาของเขากลับปราศจากความยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘หวังจินซาน’ เสนาบดีกรมคลัง ผู้มีอำนาจล้นฟ้าและเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายตรงข้าม

“โอ้ ท่านเสนาบดีหลิน ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านยังดูสง่างามเช่นเคยนะ” หวังจินซานเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายเยาะเย้ยมากกว่าทักทาย สายตาของเขากวาดมองมายังลู่ชิงหยวนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แววตาแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัด “นี่คงเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินสินะ งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ”

“ท่านเสนาบดีหวังกล่าวชมเกินไปแล้ว” บิดาของนางตอบกลับอย่างสุภาพแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชา ก่อนจะรีบพานางและภรรยาเดินเลี่ยงออกมา

ลู่ชิงหยวนสัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่วิ่งผ่านระหว่างบุรุษทั้งสอง นางเหลือบมองตามหลังหวังจินซานไป เห็นบุตรสาวของเขา ‘หวังซูเม่ย’ ยืนอยู่เคียงข้าง หวังซูเม่ยนั้นงดงามโดดเด่นในชุดสีแดงเพลิง แต่สายตาที่นางมองมายังลู่ชิงหยวนนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน

ท้องพระโรงใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงนั้นหรูหราอลังการจนแทบจะทำให้คนตาพร่ามัว เสาทองคำขนาดใหญ่สลักเสลารูปมังกรทะยานฟ้าค้ำยันเพดานที่สูงลิบลิ่ว โคมแก้วเจียระไนหลายร้อยดวงส่องแสงสว่างไสวราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน บนบัลลังก์มังกรทองคำ ฮ่องเต้ประทับอยู่อย่างน่าเกรงขาม ข้างกายคือไทเฮาผู้มีแววตาเฉียบคมและทรงอำนาจอยู่เบื้องหลังราชสำนัก

ตระกูลหลินได้ที่นั่งในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากบัลลังก์มากนัก ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างสูง ลู่ชิงหยวนนั่งตัวตรง สงบเสงี่ยมอยู่ข้างมารดา นางทำตามคำสอนทุกอย่าง ไม่มองสอดส่ายไปทั่ว แต่ใช้เพียงหางตาสังเกตการณ์ บรรยากาศในงานเลี้ยงแม้จะดูชื่นมื่น ทุกคนต่างส่งยิ้มและกล่าวคำถวายพระพร แต่ลึกๆ แล้วนางกลับรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งความยินดีนั้น มันเหมือนกับผิวน้ำที่เรียบสนิท แต่ใต้น้ำนั้นกลับมีกระแสวนอันตรายที่พร้อมจะดูดกลืนทุกสิ่งลงไป

งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น มีการแสดงระบำที่งดงาม ดนตรีบรรเลงไพเราะจับใจ และอาหารเลิศรสจากทั่วทั้งแผ่นดินถูกนำมาตั้งเรียงรายจนเต็มโต๊ะ แต่แล้ว...เหตุการณ์ประหลาดแรกก็เกิดขึ้น

ขณะที่นางรำกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยอยู่ในท่วงท่าที่งดงามที่สุด พลันจอกหยกขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องเสวยของฮ่องเต้ ซึ่งเป็นจอกเปล่าที่รินสุราไว้เพื่อเซ่นไหว้บรรพชน ก็พลันปริแตกออกเสียงดัง

“เพล้ง!”

เสียงนั้นไม่ดังมากนัก แต่ในจังหวะที่ดนตรีหยุดบรรเลง มันกลับก้องกังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรงที่เงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องไปยังเศษจอกหยกที่แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนโต๊ะสีทอง ทุกคนตกตะลึงจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ นางกำนัลและขันทีรีบปรี่เข้าไปเก็บกวาดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อยก่อนจะโบกมือเป็นเชิงว่าไม่มีอะไร แต่บรรยากาศที่เคยครื้นเครงพลันเย็นเยียบลงถนัดตา ลู่ชิงหยวนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีวูบขึ้นมาในอก ภาพแจกันที่ร้าวในห้องโถงที่บ้านซ้อนทับขึ้นมาในความคิด นางกำแขนเสื้อของตัวเองแน่น หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้

งานเลี้ยงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครรู้สึกสนุกสนานอีกแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าขุนนางดูฝืดเฝื่อน บทสนทนาก็แผ่วเบาลง ทุกคนต่างลอบมองหน้ากันด้วยความหวาดระแวง

และแล้ว ลางร้ายที่สองก็ตามมา...

ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อสุราจอกที่สามถูกรินขึ้น โหรหลวงชราผู้รับใช้ราชสำนักมาตั้งแต่รัชสมัยก่อนก็จะถูกเรียกตัวเข้ามาเพื่อทำนายทายทักดวงชะตาของแผ่นดินในปีถัดไป โหรหลวงในชุดสีม่วงเข้มเดินโซเซเข้ามากลางท้องพระโรง ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาซีดเผือดราวกับคนไร้เลือด เขาทรุดกายลงคุกเข่า ก่อนจะจุดธูปและโปรยกระดูกเสี่ยงทายลงบนถาดทองคำ

ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบ รอฟังคำทำนายที่เป็นมงคลดั่งเช่นทุกปี แต่สิ่งที่โหรหลวงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับเสียงลมพัดผ่านสุสานนั้น กลับทำให้ทุกคนต้องขนลุกชัน

“ทูลฝ่าบาท...กระหม่อมเห็น...เงาทมิฬกำลังกลืนกินตะวัน...ดวงดาวแห่งขุนนางผู้ภักดีจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า...แผ่นดินจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด...ราชสำนัก...ราชสำนักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...เกิดจาก...การทรยศหักหลังและการนองเลือด!”

สิ้นเสียงคำทำนายที่น่าอัปมงคล บรรยากาศในท้องพระโรงก็ดิ่งลงสู่จุดเยือกแข็งยิ่งกว่าเดิม ทุกคนกลั้นหายใจด้วยความตกตะลึง หวังจินซานเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เขาหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น “ไร้สาระ! เจ้าแก่เลอะเลือนไปแล้วหรือ กล้าดีอย่างไรมากล่าววาจาอัปมงคลในงานมงคลเช่นนี้!”

สีหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง พระองค์ตบโต๊ะเสียงดังปัง! “สารเลว! ทหาร! ลากตัวโหรหลวงผู้นี้ออกไปโบยแล้วขังคุกหลวงเสีย! บังอาจมาทำนายเรื่องเหลวไหลให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจ!”

ทหารองครักษ์สองนายรีบเข้ามาลากตัวโหรหลวงชราที่เอาแต่พร่ำพูดว่า “มันคือเรื่องจริง...คือสัจธรรมแห่งสวรรค์...” ออกไปจากท้องพระโรง

แม้ฮ่องเต้จะพยายามทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นปกติ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว คำทำนายที่น่าหวาดหวั่นได้ฝังรากลึกลงในใจของทุกคนแล้ว ลู่ชิงหยวนเหลือบไปเห็นสีหน้าของบิดาที่ซีดขาวราวกับกระดาษ มือของท่านสั่นเทาเล็กน้อยขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม ส่วนหวังจินซาน...ในแววตาของเขากลับมีประกายแห่งความสมใจอย่างปิดไม่มิด

ความรื่นเริงได้ตายจากไปโดยสิ้นเชิง งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางความกระอักกระอ่วนใจ

ระหว่างทางกลับจวน ในรถม้ามีเพียงความเงียบงันที่น่าอึดอัด ลู่ชิงหยวนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง นางรู้สึกได้ถึงความกลัวที่จับตัวเป็นก้อนแข็งๆ อยู่ในท้อง ความงดงามอลังการของวังหลวงที่นางเคยตื่นตาตื่นใจในตอนแรก บัดนี้กลับดูเหมือนภาพลวงตาที่ฉาบไว้ด้วยทองคำ แต่เบื้องหลังคือกับดักมรณะที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อทุกเมื่อ

จอกหยกที่แตกสลายโดยไม่มีสาเหตุ...คำทำนายถึงการนองเลือดและการทรยศ...สีหน้าซีดเผือดของบิดา...และแววตาที่สมใจของศัตรู...

ทุกสิ่งทุกอย่างประดังเข้ามาในหัวของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นภาพอนาคตอันมืดมิดที่น่าสะพรึงกลัว ค่ำคืนนี้ ลางร้ายไม่ได้เป็นเพียงแค่เงาอีกต่อไป แต่มันได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม กรีดร้องคำเตือนถึงหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาเยือนตระกูลหลินในอีกไม่ช้า…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel