เพลิงรักราชสำนักแค้น

297.0K · จบแล้ว
Goodnight
150
บท
1.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ในราชวงศ์ฉินอันรุ่งเรือง ลู่ชิงหยวน บุตรสาวขุนนางชั้นสูงจากตระกูลหลิน ชีวิตพลิกผันเมื่อครอบครัวถูกใส่ร้ายว่าสมคบคิดกบฏโดยศัตรูเก่าอย่างตระกูลหวัง เธอสูญเสียทุกอย่าง—บ้านถูกเผา ครอบครัวถูกประหารต่อหน้าตา—และถูกขายเข้าวังหลวงในฐานะสาวใช้ต่ำต้อยในตำหนักเย็นที่หนาวเหน็บ ท่ามกลางความลำบาก การกลั่นแกล้งจากสนมและสาวใช้ ทว่าโชคชะตานำพาเธอพบกับหลี่เจิ้ง องค์รัชทายาทผู้ลึกลับที่ปลอมตัว เข้ามาช่วยเหลือเธอจากอันตราย ความผูกพันค่อยๆ ก่อตัวเป็นรักต้องห้าม ท่ามกลางศึกการเมืองในวัง—ก๊กองค์ชายกบฏ ไทเฮาที่มีอำนาจล้น และขุนนางใหญ่ผู้บงการ ลู่ชิงหยวนใช้ความเฉลียวฉลาดต่อสู้ล้างแค้นให้ตระกูล ช่วยพระเอกต่อกรกับศัตรูทั้งในและนอกวัง ผ่านการหักหลัง วางยาพิษ สงครามชายแดน และปฏิวัติในวัง สุดท้าย เธอขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา ท่ามกลางเลือดและน้ำตา รักนิรันดร์ที่อมตะ แม้ต้องแลกด้วยความสูญเสีย

นิยายจีนโบราณฮ่องเต้องค์หญิงแก้แค้นจีนโบราณวังหลังนิยายย้อนยุคความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนแข็งแกร่งพึ่งพาตัวเอง

ตอนที่ 1: มรดกแห่งตระกูลสูงส่ง

แสงอรุณแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิอาบไล้ลงบนหลังคากระเบื้องเคลือบสีเทาอมเขียวของจวนตระกูลหลิน สาดส่องให้เห็นความโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูลที่หยั่งรากลึกในราชสำนักต้าหยวนมานานกว่าสามชั่วอายุคน จวนแห่งนี้มิได้เป็นเพียงที่พักอาศัย แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ เกียรติยศ และความภักดีที่ตระกูลหลินมีต่อฮ่องเต้เสมอมา สวนหินที่จัดวางอย่างประณีต สระบัวที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ และศาลาริมน้ำที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ล้วนบ่งบอกถึงรสนิยมอันสูงส่งและฐานะที่มั่นคงของผู้เป็นเจ้าของ

ณ ศาลากลางสวน ‘ลู่ชิงหยวน’ กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้ากู่ฉินเจ็ดสาย เครื่องดนตรีคู่ใจของนาง นางในวัยสิบหกปีบริบูรณ์งดงามราวกับภาพวาดของเทพธิดา ดวงหน้าเรียวรูปไข่ขาวผ่องละเอียดลออ คิ้วโก่งดั่งใบหลิวใต้เรือนผมสีดำขลับที่เกล้าขึ้นอย่างเรียบง่าย ปักปิ่นหยกขาวสลักลายดอกเหมยเอาไว้ ริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบแย้มยิ้มบางเบาขณะที่ปลายนิ้วเรียวงามกรีดกรายไปบนสายกู่ฉิน บรรเลงบทเพลง ‘เมฆาลอยน้ำไหล’ ได้อย่างนุ่มนวลและพลิ้วไหว เสียงดนตรีของนางใสกระจ่างดุจเสียงหยกกระทบกัน กังวานไปทั่วบริเวณ ดึงดูดให้เหล่านกน้อยในสวนพากันหยุดส่งเสียงร้องเพื่อเงี่ยหูฟัง

ลู่ชิงหยวนคือไข่มุกอันล้ำค่าแห่งตระกูลหลิน นางถือกำเนิดจากบิดาผู้เป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ ‘หลินเจิ้งเฟิง’ ขุนนางตงฉินผู้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ และมารดา ‘ฮูหยินหลิน’ สตรีจากตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถ นางเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรัก การทะนุถนอม และการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะพึงได้รับ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สี่ศิลป์ ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษร หรือการวาดภาพ ล้วนแตกฉานเกินวัยไปไกลนัก กิริยามารยาทก็งดงามอ่อนช้อยสมเป็นธิดาแห่งตระกูลสูงศักดิ์

“คุณหนูเจ้าคะ เสียงเพลงของคุณหนูไพเราะจับใจยิ่งนัก ข้าฟังแล้วราวกับได้เห็นสายน้ำไหลเอื่อยและปุยเมฆล่องลอยอยู่ตรงหน้าจริงๆ” ชิงเหอ สาวใช้คนสนิทเอ่ยชมพลางรินชาดอกเก๊กฮวยอุ่นๆ ลงในถ้วยกระเบื้องเนื้อดีส่งให้นายสาว

ลู่ชิงหยวนหยุดบรรเลงเพลง ยกยิ้มที่มุมปาก “เจ้าช่างปากหวานนัก ชิงเหอ ข้ายังต้องฝึกฝนอีกมากนักจึงจะเทียบเท่าท่านแม่ได้”

ชีวิตของนางเปรียบได้กับผ้าไหมเนื้อดีที่ถูกถักทอขึ้นอย่างประณีต ทุกเส้นใยคือความสุข ความสมบูรณ์พร้อม และอนาคตที่สดใสราวกับผืนฟ้าไร้เมฆา นางไม่เคยรับรู้ถึงคลื่นใต้น้ำอันเชี่ยวกรากที่ซัดสาดอยู่ในราชสำนัก ไม่เคยเข้าใจถึงสายตาอิจฉาริษยาที่ขุนนางฝ่ายอื่นมองมายังตระกูลของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตระกูลหวัง

เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นขัดจังหวะความสงบในยามเช้า หลินจื่อเซวียน พี่ชายคนเดียวของนางก้าวเข้ามาในศาลา เขาสวมชุดฝึกซ้อมสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายสูงใหญ่กำยำบ่งบอกถึงการเป็นรองแม่ทัพองครักษ์รักษาพระองค์ แม้ใบหน้าจะหล่อเหลาคมคายคล้ายบิดา แต่แววตากลับมุ่งมั่นและแข็งกร้าวสมชายชาตินักรบ

“ชิงหยวน เสียงพิณของเจ้าทำเอาข้าเกือบจะเคลิ้มหลับระหว่างฝึกดาบเลยนะ” เขาเอ่ยหยอกเย้าน้องสาวพลางทรุดกายนั่งลงข้างๆ

“ท่านพี่!” ลู่ชิงหยวนแสร้งทำหน้ามุ่ย “หากท่านพ่อได้ยินเข้าคงต้องบอกว่าท่านไม่มีสมาธิเป็นแน่”

หลินจื่อเซวียนหัวเราะเสียงดัง เขาหยิบพัดในมือเคาะศีรษะน้องสาวเบาๆ “เจ้านี่นะ... วันนี้ข้าเข้าเวรในวัง ได้ยินข่าวว่าอีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงใหญ่เฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ท่านพ่อคงจะบอกเจ้าแล้วหรือไม่”

ดวงตาของลู่ชิงหยวนเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “เจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกว่าปีนี้ข้าโตพอที่จะติดตามท่านพ่อท่านแม่เข้าวังไปร่วมงานได้แล้ว”

“ดีแล้ว” หลินจื่อเซวียนพยักหน้า แต่รอยยิ้มของเขาจางลงเล็กน้อย แววตาฉายความกังวลออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว “ในวังหลวงมีผู้คนมากหน้าหลายตา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าได้ไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะพวกขุนนางจากตระกูลหวัง เข้าใจหรือไม่?”

คำเตือนของพี่ชายทำให้นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เหตุใดหรือเจ้าคะ ท่านลุงหวังไม่ใช่สหายร่วมราชสำนักของท่านพ่อหรอกหรือ?”

หลินจื่อเซวียนถอนหายใจ “ในราชสำนัก ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรหรอกนะชิงหยวน เสนาบดีหวังผู้นั้น...เหิมเกริมขึ้นทุกวัน คิดแต่จะสร้างอิทธิพลขยายอำนาจฝ่ายตน ท่านพ่อเป็นคนซื่อตรง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก จึงกลายเป็นหนามยอกอกของเขา จำคำพี่ไว้ อย่าได้เข้าใกล้คนของตระกูลหวังเป็นอันขาด”

ลู่ชิงหยวนรับคำอย่างว่าง่าย แม้จะไม่เข้าใจความซับซ้อนของการเมืองในวังหลวงอย่างถ่องแท้ แต่เมื่อเป็นคำสั่งของพี่ชาย นางก็พร้อมจะทำตามเสมอ

ยามบ่ายของวันนั้น ขณะที่นางกำลังช่วยมารดาปักผ้าเช็ดหน้าลายกล้วยไม้ในเรือนพัก ฮูหยินหลินก็มองบุตรสาวด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใย

“ชิงเอ๋อร์” นางเรียกบุตรสาวด้วยชื่อเล่น “งานเลี้ยงในวังคราวนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะได้เปิดตัวต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและเหล่าเชื้อพระวงศ์ แม่เตรียมชุดผ้าไหมปักดิ้นทองลายหงส์ไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าจะต้องงดงามที่สุดในงานเป็นแน่”

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่”

ฮูหยินหลินลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แต่ลูกต้องจำไว้ วังหลวงเปรียบเสมือนกรงทองที่งดงามแต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวัง ทุกคำพูดต้องไตร่ตรอง อย่าได้แสดงความสามารถจนโดดเด่นเกินไป และอย่าได้ทำตัวอ่อนแอจนถูกผู้อื่นรังแก”

คำสอนของมารดาคล้ายคลึงกับคำเตือนของพี่ชาย ทำให้ลู่ชิงหยวนเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างที่มองไม่เห็น มันเป็นเหมือนเงาดำทมึนที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านแห่งความรุ่งโรจน์ของตระกูลหลิน รอคอยเวลาที่จะปรากฏกายออกมา

ตกเย็น เสนาบดีหลินกลับมาจากราชสำนักด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าทุกวัน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม ระหว่างมื้อค่ำที่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว บรรยากาศกลับเงียบงันผิดปกติ ไม่มีเสียงหัวเราะหรือบทสนทนาที่สนุกสนานเหมือนเช่นเคย มีเพียงเสียงกระทบกันของตะเกียบและถ้วยชามเท่านั้น

หลังอาหารค่ำ หลินเจิ้งเฟิงเรียกบุตรชายเข้าไปพบในห้องหนังสือเป็นการส่วนตัว ลู่ชิงหยวนแอบมองผ่านช่องประตูที่แง้มไว้ เห็นบิดานำม้วนสาส์นฉบับหนึ่งออกมายื่นให้พี่ชาย สีหน้าของทั้งสองเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จื่อเซวียน เจ้าจงรับสิ่งนี้ไปเก็บไว้ให้ดี” เสียงของบิดาดังลอดออกมา “นี่คือฎีกาที่พ่อเตรียมจะทูลเกล้าฯ ถวายฝ่าบาท เป็นหลักฐานการทุจริตรับสินบนของหวังจินซานและพรรคพวก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อ...เจ้าต้องหาทางนำฎีกานี้ขึ้นถวายให้จงได้”

“ท่านพ่อ!” หลินจื่อเซวียนอุทานด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ ราวกับว่า...”

“ไม่มีอะไรหรอก” ผู้เป็นพ่อตัดบท “แค่เตรียมการไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น การเมืองในราชสำนักช่วงนี้ไม่สู้ดีนัก ฝ่าบาทเริ่มคล้อยตามคำยุยงของหวังจินซานมากขึ้นทุกที ตระกูลหลินของเรารับใช้แผ่นดินมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่ความซื่อสัตย์นั้นกลับกลายเป็นหอกที่ทิ่มแทงเราในสายตาของคนชั่ว”

บทสนทนานั้นทำให้หัวใจของลู่ชิงหยวนชาวาบ นางไม่เคยเห็นบิดาแสดงความอ่อนแอหรือกังวลใจเช่นนี้มาก่อน เขามักจะเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งและมั่นคงให้ครอบครัวเสมอมา ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางตระหนักว่า เมฆหมอกแห่งภัยอันตรายกำลังก่อตัวขึ้นรอบกายพวกเขาอย่างช้าๆ และเงียบเชียบ

คืนนั้น ลู่ชิงหยวนนอนไม่หลับ นางลุกขึ้นมานั่งที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์ทรงกลดที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาเบาๆ หอบเอากลิ่นหอมของดอกราตรีเข้ามาในห้อง แต่กลับไม่สามารถทำให้จิตใจของนางสงบลงได้เลย

พลันสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติที่มุมสวนใต้ต้นหลิวใหญ่ เงาดำสองสามสายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบกริบราวกับภูตผี พวกมันไม่เหมือนยามตรวจการณ์ของจวน การเคลื่อนไหวของพวกมันแฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่น่าขนลุก หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว นางอยากจะส่งเสียงร้อง แต่ลำคอกลับแห้งผากจนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

เงาเหล่านั้นหายวับเข้าไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความหวาดระแวงในใจของลู่ชิงหยวน

นี่คือลางร้าย... ลางร้ายที่เด่นชัดและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าด้ายที่ขาดหรือแจกันที่ร้าว มันคือสัญญาณเตือนว่าค่ำคืนอันเงียบสงบของตระกูลหลินกำลังจะหมดสิ้นลง

ลู่ชิงหยวนกอดตัวเองแน่น พยายามข่มความกลัวที่เกาะกุมหัวใจ นางมองดูจวนที่งดงามและอบอุ่นซึ่งเป็นบ้านของนางมาทั้งชีวิต มองดูสวนสวยที่นางเคยวิ่งเล่นในวัยเยาว์ ภาพความทรงจำอันแสนสุขไหลบ่าเข้ามาในห้วงคำนึง ทั้งรอยยิ้มของท่านแม่ คำสอนของท่านพ่อ และเสียงหัวเราะของท่านพี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกทั้งใบของนาง...

นางไม่รู้เลยว่า อีกไม่นานเกินรอ โลกที่สมบูรณ์พร้อมใบนี้จะถูกทำลายจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี และตัวนางจะต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้ายที่แม้แต่ในฝันร้ายที่สุดก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้เลย