บท
ตั้งค่า

บทที่ ๘ : ล่อลวงไปสังหาร 2

“ผมต้องไปแล้วนะครับ ถ้าคุณอยากออกไปไหนก็ตามสบายเลย แต่มีข้อแม้ว่า...”

“ต้องไม่ไปตามลำพังและมีบอดี้การ์ดไปด้วยเสมอ คุณบอกแบบนี้ทุกวันจนฉันจำขึ้นใจแล้วค่ะ” นันดินียิ้มหวาน

“ถ้ารู้แล้วก็อย่าดื้อล่ะ ผมรู้สึกเป็นห่วงคุณมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถ้าจะให้ดีวันนี้อย่าออกไปไหนเลยนะครับ”

“วันนี้ฉันคงอยู่กับเนห์รู ไม่ออกไปไหนหรอกค่ะ” หญิงสาวรับปาก

“ขอบคุณนะที่เชื่อผมเสมอ อ้อ...ถ้าเนห์รูอาการไม่ดีโทรบอกผมด้วยนะ เดี๋ยวผมจะสั่งให้หมอประจำตระกูลเข้ามาตรวจอาการให้ที่นี่ แต่ผมว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก น่าจะเพราะอากาศที่ขึ้นๆ ลงๆ มากกว่า คุณเองก็ระวังจะไม่สบายด้วยเหมือนกันนะ ผมเป็นห่วง” รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาทำให้นันดินียิ้มตอบ ดวงตาคู่สวยที่ดูจะออดอ้อนตามธรรมชาติทำให้ชากีร์ยัฟอดไม่ได้ที่ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร แล้วเดินอ้อมมาจุมพิตที่ข้างแก้มเธอ ไม่สนใจโมบารัคห์ทำหน้าตื่นอยู่ใกล้ๆ เลยสักนิด

“มันเป็นธรรมเนียมของคนไทย นายไม่รู้หรอกโมบารัคห์” เขาอ้างอย่างไม่สะทกสะท้าน กระแอมเบาๆ พลางขยับสูทตัวนอกให้เรียบร้อยกว่าที่เป็น ก่อนจะเดินลิ่วนำออกไปทันที ทิ้งให้คนสนิทคว้ากระเป๋าเอกสารและแฟ้มงานตามออกไปอย่างทุลักทุเล

เมื่อชีคหนุ่มกับคนสนิทออกไปจากกรอบสายตา นันดินีก็ยกน้ำขึ้นดื่มถือเป็นการจบอาหารมื้อเช้า สาวใช้ที่ยืนรออำนวยความสะดวกพากันเก็บกวาดจานชาม ขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะขึ้นไปข้างบนเพื่อดูอาการเนห์รู แต่สวนเข้ากับมาวีด้าที่วิ่งกระหืดกระหอบลงมาพอดี

“ท่านหญิง!”

“เป็นอะไรไปมาวีด้า ทำไมหน้าตาดูตื่นตกใจขนาดนี้” นันดินีขมวดคิ้วสงสัย

“ก็คุณหนูราน่าน่ะสิคะ! คุณหนูราน่า...” มาวีด้ามัวแต่อ้ำอึ้ง

“ฉันจะขึ้นไปดูเอง” หญิงสาวสรุปพร้อมกับเดินกึ่งวิ่งผ่านร่างสาวใช้ไป แต่ถ้าหันกลับมาสักนิดคงทันได้เห็นรอยยิ้มร้ายกาจของอีกฝ่าย

นันดินีตรงไปที่ห้องนอนของราน่าแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่คิดจะขออนุญาต ภาพที่เห็นคือราน่ากำลังเงื้อมีดคมกริบในมือขึ้น เตรียมจะจรดมันลงบนข้อมือบาง ทว่ายังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด นันดินีก็พุ่งเข้าไปยื้อแย่งมีดมาได้สำเร็จทันเวลา ราน่ามองตัวต้นเรื่องด้วยสายตาสิ้นหวัง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นพรมกลางห้อง แล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ

“เธอมายุ่งกับฉันทำไม ฮือๆๆ เธอมาห้ามฉันเพื่ออะไร!”

“คุณทำแบบนี้ทำไมกันคะ รู้ไหมว่าการทำร้ายตัวเองมันเป็นบาปแค่ไหน” นันดินีทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าเคียงข้าง

“ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ชากีร์ยัฟเขาทำกับฉันเกินไปแล้วนันดินี” ราน่าร้องไห้ไม่หยุด

“มันเกิดอะไรขึ้นคะ”

“ฮือๆ...เอามีดมาให้ฉัน เอามาสิ!” คนที่คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวพยายามไขว่คว้าหามีด แต่นันดินีขว้างมันไปใต้เตียงเพื่อตัดปัญหา แล้วกุมมือที่สั่นเทาของราน่าไว้แน่น

“บอกฉันสิคะว่าเขาทำอะไรคุณ ถ้าช่วยได้ฉันยินดีทำทุกอย่าง”

“ไม่...ฮึก...ถึงฉันบอกไปเธอก็คงไม่เชื่อฉันอยู่ดี”

“เชื่อสิคะ ฉันจะเชื่อคุณ เพราะคุณคงไม่มีเหตุผลต้องโกหกอยู่แล้ว...จริงไหมคะ” คำพูดที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจทำให้ราน่าเริ่มหยุดฟูมฟาย ดวงตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าอ่อนโยนของนันดินี แล้วโผเข้ากอดอย่างคนเสียขวัญ

“เมื่อคืน...เขา...เขาขืนใจฉัน!” ราน่าสารภาพ “ฮือๆๆ...ชากีร์ยัฟทำร้ายฉันจนเจ็บไปทั้งตัวทั้งใจ ช่วยฉันด้วยนะนันดินี ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาเห็นฉันเป็นของเล่นที่ไร้ค่าอีกแล้ว ช่วยฉันทีเถอะนะ!” แล้วร้องไห้อย่างน่าเวทนาอีกระลอก

นันดินีตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ บอกตามตรงว่าสิ่งที่ราน่าเอ่ยออกมานั้นเหนือความคาดหมายเกินไป สุภาพบุรุษที่เคร่งในศาสนาอย่างชากีร์ยัฟน่ะหรือที่จะหักหาญน้ำใจผู้หญิง จริงอยู่ที่เขาเคยเผลอทำแบบนั้นกับเธอมาก่อนเหมือนกัน แต่มันก็เป็นเหมือนความผิดพลาด และเขาก็สามารถหยุดตัวเองได้ด้วยสามัญสำนึกส่วนดี

นันดินีไม่พูดอะไรเลยนอกจากยกมือขึ้นลูบไหล่ลูบหลังราน่าอย่างปลอบโยน สมองของเธอกำลังคิดหาเหตุผลของสิ่งที่ราน่าบอก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนรับประทานอาหารเช้า ชากีร์ยัฟเป็นคนพูดเองว่าเมื่อคืนเขาก็ได้เจอกับราน่า ทั้งที่รู้มาจากจาฮีดาว่ากว่าเขาจะกลับถึงคฤหาสน์ก็ดึกมากแล้ว

‘คุณมองหาเนห์รูเหรอ’ ชากีร์ยัฟถามพลางจิบชาอย่างอารมณ์ดี

‘เปล่าค่ะ เนห์รูปวดหัวนิดหน่อยเลยอยากพักผ่อนต่อ’ นันดินีสบตากับเขา

‘งั้นคงมองหาราน่าล่ะสิ ผมว่าคุณอย่าสนใจนักเลย เธอคงไม่หิวถึงไม่ยอมลงมาร่วมโต๊ะกับเรา’ ชายหนุ่มดูไม่ค่อยสนใจนักเวลาที่นันดินีพูดถึงราน่า

‘บางทีเธออาจจะไม่สบายก็ได้นะคะ’

‘เธอสบายดี เมื่อคืนผมยังเจอเธออยู่เลย’

หัวใจของนันดินีห่อเหี่ยวเมื่อคิดว่าบางทีราน่าอาจจะพูดความจริง ไม่มีเหตุผลที่ต้องนำเรื่องแบบนี้มาโกหกเพื่อให้ตัวเองเสื่อมเสีย ยิ่งนึกถึงความเจ็บปวดจากแววตาของราน่าในตอนที่เธอคิดจะกรีดข้อมือตัวเอง นันดินีก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอคงไม่ได้สร้างเรื่องโกหก

“เธอต้องช่วยฉันนะนันดินี วันนี้ชากีร์ก็นัดฉันให้ออกไปหาที่เขตโอเอซิส ฉันกลัวเหลือเกินว่าเขาจะลอบทำร้ายฉันที่นั่น เขาเห็นเราสนิทกันก็คงกลัวว่าเธอจะรู้เรื่องนี้แล้วเป็นฝ่ายขอถอนหมั้น เขาอาจจะต้องการปิดปากฉันก็ได้นะ ฮือๆๆ เธอต้องช่วยฉันนะ ถ้าเธอยอมจากไป เขาจะต้องกลับมาเมตตาฉันอีกครั้งแน่” ราน่าผละออกจากอ้อมกอดของหญิงสาว สีหน้าเว้าวอนทำให้นันดินีนึกสงสารจับใจ

“ถ้าเลือกได้ฉันจะไม่ทำให้ใครเจ็บปวดหรอกค่ะ ถ้าเรื่องของเขากับฉันมันไม่มีอะไรซับซ้อน ฉันคงขอถอนหมั้นแล้วกลับไปเมืองไทยซะ แต่...ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ฉันจะไปจากเขาไม่ได้จนกว่า...”

“จนกว่าเขาจะฆ่าฉันใช่ไหม!” ราน่าตะคอกใส่เมื่อเห็นหญิงสาวยังดื้อด้านไม่ยอมหลีกทางเสียที

“ไม่ต้องห่วงค่ะ บอกมาได้เลยว่าเขานัดคุณที่ไหน ฉันจะไปพบเขาแทนเอง”

“อย่าไปนะ ถ้าเขาคิดว่าเธอเป็นฉัน เธออาจจะโดนลูกหลงก็ได้ ฉันเป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะไม่พลาดท่าง่ายๆ แน่ บอกมาเถอะนะคะว่าโอเอซิสที่ว่านั่นอยู่ไหน แล้วฉันจะสามารถไปที่นั่นได้ยังไงบ้าง” นันดินียืนยันที่จะไปพบกับชากีร์ยัฟแทนราน่า โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่กับดับของหญิงลวงโลกเสียแล้ว

“เธอแน่ใจเหรอ” คนวางแผนแสร้งถามซ้ำ

“ฉันแน่ใจค่ะ” ดวงตาของนันดินีแสดงออกถึงความจริงจัง

“ถ้างั้นเธอต้องปลอมตัวเป็นสาวใช้ แล้วเดี๋ยวคนที่ไว้ใจได้จะมารับเธอเอง” ราน่าพูดพลางลอบยิ้มอย่างผู้มีชัย นึกสมเพชในความเป็นคนดีของนันดินีเหลือเกิน โง่เง่าเสียจนเป็นภัยแก่ตัวเอง

ทันทีที่ไปถึงเขตโอเอซิสกลางทะเลทราย ร่างของนันดินีจะถูกถ่วงให้จมอยู่ในนั้นตราบนานเท่านาน ให้มันรู้เสียบ้างว่าการบังอาจมาลองดีกับราน่า ฮามาน คาน มันผู้นั้นจะต้องพบจุดจบที่เลวร้ายเพียงใด ที่สาแก่ใจไปกว่านั้นคือชากีร์ยัฟจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าผู้หญิงที่เขารักหนักหนาได้หายตัวไปที่ไหน...และหายไปเพราะใคร

หลังจากนำเสื้อผ้าของมาวีด้ามาให้นันดินีเปลี่ยนแล้ว ราน่าก็โทรศัพท์ไปสั่งให้คนขับรถของตระกูลคานที่ชื่อว่าทาบันมารอรับหญิงสาวที่ตลาดผ้าพื้นเมือง แถวนั้นผู้คนพลุกพล่านและต่างคนต่างก็ไม่มีเวลามาสนใจกัน ทาบันถูกกำชับมาเป็นอย่างดีว่าห้ามบอกเรื่องนี้แก่ใครทั้งสิ้น รวมทั้งย้ำเตือนกับนันดินีด้วยว่าหากเกิดอะไรขึ้น ไม่ควรพาดพิงถึงคนของเธอ เพราะทาบันมีหน้าที่แค่เพียงรับรถไปส่งและรอรับกลับ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรกับการนัดหมายของชากีร์ยัฟเลย ซึ่งนันดินีก็ยินดีตอบตกลง ต่อให้ราน่าไม่ขอร้อง หญิงสาวก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ดึงใครเข้ามาเกี่ยว เพราะเป็นคนเลือกที่จะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เอง

ทาบันจอดรถไว้ที่ซอยแคบๆ ใกล้ตลาด หลังจากนั้นราวสิบนาทีนันดินีที่ขึ้นรถสามล้อถีบมาจากคฤหาสน์ราฮัลก็มาถึง หญิงสาวดึงส่าหรีสีครีมคาดแดงที่เป็นเครื่องแบบของสาวใช้ขึ้นคลุมศีรษะ ก่อนจะเดินไปยังจุดนัดพบแล้วขึ้นรถของทาบันมุ่งหน้าไปยังเขตทะเลทรายที่ห่างไกลออกไปเกือบเก้าสิบกิโลเมตร ระหว่างเธอมีโอกาสได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมอันงดงามของเมืองยาฮาห์เพื่อคลายความตึงเครียดไปด้วย แต่เมื่อรถจอดนิ่งสนิทในที่เส้นทางที่น้อยคนนักจะสัญจรผ่าน ใบหน้างามก็เริ่มแสดงออกถึงความหวาดหวั่น

“ตรงนี้ไม่ใช่จุดบริการนักท่องเที่ยว ฉะนั้นก็เลยไม่มีม้าหรืออูฐพาคุณเดินทางต่อไป ถ้าคุณต้องการไปที่โอเอซิส คุณต้องเดินทางด้วยเท้าห่างออกไปประมาณสิบกิโลนะครับ” ทาบันอธิบาย

“แล้วนายพาฉันไปตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวไม่ได้เหรอ” นันดินีถามอย่างมีความหวัง

“ไม่ได้ครับ คุณหนูราน่าสั่งให้ผมมาส่งคุณถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น”

“มันจะไม่ใจร้ายเกินไปเหรอ ถ้านายไปส่งฉันที่จุดบริการนักท่องเที่ยวไม่ได้ นายก็น่าจะขับรถพาฉันไปให้ถึงโอเอซิสนั่นหน่อย ไม่รู้ล่ะ...ถ้านายไม่ไปส่งก็โทรศัพท์ไปบอกคุณหนูราน่าเถอะว่าฉันขอถอนตัว” หญิงสาวไม่ใช่คนมากเรื่อง แต่ถ้าจะให้เดินเท้าเข้าไปอีกตั้งสิบกิโล เธอคงเหนื่อยจนเป็นลมตายอยู่กลางทะเลทรายกันพอดี หนำซ้ำยังไม่มีน้ำดื่มติดมาสักขวดเลยด้วย

“เอ่อ...” ทาบันดูอึดอัดใจ เพราะราน่ากำชับมาแล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องให้นันดินีเข้าไปที่เขตโอเอซิสให้ได้ แม้ไม่รู้ว่านายสาวกำลังคิดจะทำอะไรกับคู่หมั้นคนสวยของชีคหนุ่ม แต่ทาบันก็ต้องคำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

“ตกลงจะเอายังไง จะขับรถพาฉันเข้าไปหรือจะพาฉันกลับ” เธอทวงถามคำตอบ

“ได้ครับ ถึงมันจะทุลักทุเลอยู่สักหน่อย แต่ผมจะขับรถเข้าไปส่งคุณให้ถึงที่เอง” ว่าแล้วสารถีผิวสีแทนก็ขับรถมุ่งหน้าต่อไปทันที

นันดินียึดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น เพราะพื้นทรายที่รองรับอยู่ด้านล่างทำให้รถลื่นและโคลงเคลงจนเวียนหัว ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็พบเพียงทะเลทรายสีทองที่เวิ้งว้างทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ทาบันยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดรถลงเมื่อแลเห็นโอเอซิสขนาดใหญ่

“เชิญครับ ผมส่งได้แค่นี้ คุณเดินเข้าไปใกล้ๆ เองเถอะ” ทาบันหันมาบอก

“ขอบใจมาก ว่าแต่ช่วงเวลาแบบนี้ทำไมถึงไม่มีพวกพ่อค้าหรือกองคาราวานแวะพักแถวโอเอซิสเลยล่ะ ฉันว่ามันดูเงียบผิดปกตินะ” ถึงจะย้ายไปปักหลักที่เมืองไทยหลายสิบปี แต่เธอก็รู้ว่าโอเอซิสที่สมบูรณ์และกว้างใหญ่ขนาดนี้ มักเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์ด้วย อีกทั้งยังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการค้าหรือการขนส่งผ่านทะเลทราย พวกกองคาราวานจำเป็นที่จะต้องแวะพักยังโอเอซิสเพื่อสะสมน้ำและอาหารในการเดินทางต่อไปเสมอ แต่ในวันนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีสัตว์สักตัวหรือแม้แต่ใครสักคนจนผิดสังเกต

“ช่วงนี้มีการประกาศเตือนพายุทะเลทรายน่ะครับ พวกพ่อค้าเลยเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น ส่วนพวกสัตว์ก็คงพากันเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณของมันนั่นแหละ ผมว่าคุณเองก็ควรรีบนะครับ ถ้าเจอพายุทะเลทรายขึ้นมาคงหาทางรอดยาก” ทาบันกำลังทำนอกเหนือคำสั่ง เพราะราน่าสั่งห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้บอกเรื่องพายุทะเลทราย แต่ชายหนุ่มเห็นว่าถึงอย่างไรก็ต้องใจร้ายทิ้งนันดินีไว้ที่นี่อยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรเตือนให้เธอรู้บ้างว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น

“พายุทะเลทรายงั้นเหรอ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองแล้วอดใจหายไม่ได้ ในเมื่อทุกคนแถบนี้ต่างก็รู้หมดว่ากำลังจะมีพายุทะเลทรายเกิดขึ้น ฉะนั้นในฐานะชีคปกครองเมือง ชากีร์ยัฟก็ย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน แล้วทำไมถึงได้อุตรินัดให้ราน่ามาพบที่โอเอซิสนี่ หรือเขาตั้งใจจะหลอกราน่ามาทำร้ายอย่างที่พูดจริงๆ

“มองหาโขดหินที่สูงใหญ่เอาไว้บ้างก็ดีนะครับ ถ้าเกิดคนของคุณมารับไม่ทัน คุณจะได้หาทางป้องกันตัวเองได้บ้าง” ทาบันเอ่ยขึ้น แล้วสตาร์ตรถยนต์เสียงดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง

“นายไม่ได้รอกลับพร้อมกันหรอกเหรอ แล้ว...นายว่าใครจะมารับฉันนะ” นันดินีกำลังต้องการคำตอบ

“ก็คนของคุณนั่นแหละครับ ผมไม่รู้หรอกว่าใคร แต่อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมีคนตามมารับคุณ รีบลงไปเถอะครับ ผมต้องรีบกลับไปรับใช้ตระกูลคาน ถ้าหายไปนานพวกเขาอาจจะไม่พอใจผมก็ได้” ทาบันขอร้องแกมบังคับให้อีกฝ่ายรีบลงจากรถเสียที

นันดินีคิดว่าสถานการณ์มันดูแปลกประหลาดชอบกล แต่รู้ดีว่าต่อให้ซักถามแค่ไหนทาบันก็คงไม่มีคำตอบให้หายข้องใจ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงมา ถอยห่างออกหลายก้าวเพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งเข้าใส่ตัวเอง ขณะที่ทาบันพยายามขับรถห่างออกไป เจ้าของร่างระหงยังคงยืนมองอยู่ที่เดิมจนกระทั่งรถคันสีดำพ้นไปจากกรอบสายตา

ไอร้อนที่ลอยฟุ้งขึ้นจากทรายและแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เธอต้องหรี่ตาลง สองมือยกชายผ้าขึ้นเล็กน้อยขณะก้าวตรงไปยังทิศทางที่มองเห็นโอเอซิสขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่รอบๆ มีต้นหญ้าแปลกตาและต้นไม้น้อยใหญ่ที่เธอไม่รู้จักขึ้นสลับกันเป็นทิวแถวล้อมรอบโอเอซิสเอาไว้ แม้จะต้องเดินต่อไปอีกไม่ไกลนัก แต่ความร้อนระอุที่กระจายอยู่รอบตัวก็ทำให้เหงื่อกาฬไหลซึมจนชุดที่สวมอยู่อับชื้นขึ้นมาทันใด

นันดินีเดินดิ่งตรงไปที่โอเอซิสและยิ้มออกมาเมื่อเห็นน้ำใสแจ๋ว หญิงสาวก้าวลงไปให้ใกล้ที่สุดด้วยความระมัดระวัง ก่อนย่อกายนั่งลงเพื่อใช้มือวักน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย สายตาสอดส่องมองหาร่างของชากีร์ยัฟ เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าเธอก็สรุปเอาเองว่าชายหนุ่มคงจะยังมาไม่ถึง

ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ริมขอบโอเอซิสเพื่ออาศัยเงาต้นไม้ในการบังแดด นันดินีก็มองเห็นร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านหลัง เงาที่สะท้อนกับน้ำบอกได้แค่เพียงว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างเพรียวบางเหมือนผู้หญิง บนใบหน้ามีผ้าสีดำพันโพกไว้เหลือให้เห็นเพียงแค่ดวงตาที่ดูเลือดเย็น หญิงสาวกำลังจะผุดลุกขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้า ทว่าไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายออกแรงผลักเธออย่างแรงจนเสียหลักตกลงไปในน้ำทันที

ตูม!!!...

น้ำที่อุ่นจัดทำให้ดวงตาของคนที่พยายามตะเกียกตะกายอยู่ใต้น้ำเบิกโพลงขึ้น นันดินีถีบเท้าสุดแรงเพื่อดันตัวเองให้โผล่พ้นขึ้นไป ความพยายามดูจะไม่ไร้ประโยชน์นัก เพราะไม่นานตัวเธอก็ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ได้หายใจเอาอากาศเข้าไปปอดไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ร่างทั้งร่างก็จมดิ่งสู่ก้นบึ้งของโอเอซิสอีกครั้ง

นันดินีดิ้นรนรุนแรงมากขึ้นเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ สติที่เริ่มพร่าเลือนลงทุกขณะย้ำเตือนเพียงแค่ว่าเธอมาที่นี่เพื่อรับเคราะห์แทนราน่า ตอนแรกเธอคิดว่าคนที่ผลักเธอให้ตกลงมาในน้ำคงเป็นชากีร์ยัฟ แต่เมื่อพิจารณาถึงรูปร่างกับแววตาแล้ว ความคิดส่วนหนึ่งก็แย้งขึ้นมาทันทีว่านั่นไม่มีทางใช่เขาอย่างเด็ดขาด

ร่างที่เคยดิ้นอย่างทุรนทุราย ตอนนี้เริ่มสงบลงจนเกือบกลายเป็นนิ่งเฉย ทว่าก่อนที่จะสติและพลังเฮือกสุดท้ายจะหมดลง ใครอีกคนก็พุ่งลงมาในน้ำ ว่ายแหวกเข้ามาใกล้เพื่อโอบเอวบางไว้มั่น แล้วรีบนำร่างที่กำลังจะขาดอากาศหายใจขึ้นฝั่งได้อย่างทันท่วงที

..................................................................................................................................................................

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel