บท
ตั้งค่า

บทที่ ๘ : ล่อลวงไปสังหาร 1

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาชากีร์ยัฟพยายามทำตัวให้ว่างมากที่สุด มีงานใดที่เร่งด่วนก็มักจะออกไปจัดการให้แล้วเสร็จเสียตั้งแต่เช้าตรู่ บางวันก็ทดแทนเวลาด้วยการอยู่ทำงานที่บริษัทจนดึกดื่น เพียงเพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่หมั้นสาวสวย ก่อนจะถึงกำหนดการแต่งงานในอีกสามเดือนข้างหน้า

โชคดีที่ชากีร์ยัฟมีหน้าที่แค่เพียงเข้าร่วมประชุม ตัดสินใจและอนุมัติเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกเพชรน้ำงาม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูลราฮัลเท่านั้น ส่วนธุรกิจอื่นในเครือไม่ว่าจะเป็นโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุด ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์แบรนด์ดังและอื่นๆ อีกมากมาย ได้ถูกจัดสรรให้คนเก่าแก่ในตระกูลช่วยกับดูแลบริหาร แต่ชายหนุ่มก็ต้องเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองทุกครั้งที่ถึงสิ้นปีของทุกๆ ปี แม้จะสามารถไว้ใจคนอื่นได้ ทว่าในฐานะผู้ปกครองสูงสุดของตระกูลราฮัลในขณะนี้ ทำให้เขาจำเป็นต้องรอบคอบกับทุกฝ่าย ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องมากลุ้มใจทีหลัง

คืนนี้กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ก็ปาเข้าไปจวนจะห้าทุ่มแล้ว เพราะมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ยอดการส่งออกเพชรทะลุเป้าไปอย่างเหนือความคาดหมาย ชายหนุ่มต้องร่วมดื่มกับรัฐมนตรีและตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี กว่าจะแยกตัวกลับมาได้ก็ทำเอามึนหัวไปเลยเหมือนกัน

ราน่าเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อเรียกหาสาวใช้ อากาศหนาวแบบนี้หากได้ดื่มนมอุ่นสักแก้วคงทำให้หลับง่ายขึ้น นับตั้งแต่นันดินีเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์ราฮัลในฐานะว่าที่ชีคคาคนใหม่ หญิงสาวก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ยังคงทำตัวเหมือนเพื่อนที่แสนดีตามแผนของมาวีด้าต่อไป เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเลยที่พบว่าไม่มีใครประจำอยู่หน้าห้องเช่นทุกวัน ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องช่วยเหลือตัวเอง

เจ้าของร่างบางเดินนวยนาดออกมาจากห้อง แต่ยังไม่ทันได้ดึงประตูให้ปิดลงตามหลัง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นชากีร์ยัฟกำลังเดินขึ้นบันไดมาชั้นบนเสียก่อน ริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มยินดีกึ่งประหลาดใจ ก่อนจะรุดเข้าไปช่วยประคองร่างที่ซวนเซให้เดินต่อไปอย่างมั่นคงมากขึ้น แม้ใบหน้าขาวคมสมบูรณ์แบบจะแดงก่ำ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินความพอดี ทว่าเขาก็ไม่ได้ขาดสติจนลืมไปว่าคนข้างกายคือราน่า

“ยังไม่นอนอีกเหรอราน่า” คนเมาถามเสียงดังแต่ฟังไม่ชัดเจนนัก

“ฉันนอนไม่หลับค่ะ แล้วนี่ดื่มหนักเลยสินะคะ ถึงได้เมาขนาดนี้” หญิงสาวถามพลางมองหาโมบารัคห์ น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีเขาคอยเคียงข้างเจ้านายเช่นทุกครั้ง “แล้วนี่โมบารัคห์ไปไหนคะ ทำไมละเลยหน้าที่ปล่อยให้คุณขึ้นมาเองแบบนี้ ถ้าพลาดตกบันไดไปจะแย่เอานะคะ”

“หมอนั่นเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมสั่งให้ไปพักผ่อนเองแหละ แล้วบอดี้การ์ดข้างล่างก็มีมากมาย ถ้าผมตกบันไดลงไปพวกนั้นคงช่วยพาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลาอยู่แล้ว” ชากีร์ยัฟพูดกลั้วหัวเราะ

“งั้น...แวะที่ห้องฉันหน่อยไหมคะ ฉันจะช่วยทำให้คุณหายเมาเอง รับรองเลยว่านังนันดินีของคุณเทียบฉันไม่ติดฝุ่นแน่ ฉันคิดว่าฉันสามารถปรนเปรอคุณได้ดีกว่า เพราะตระกูลของฉันสอนมาเป็นอย่างดีว่าควรทำอย่างไรให้ว่าที่สามีพึงพอใจ” ราน่าขยับเข้าแนบชิด ยกมือบางขึ้นลูบไล้อกกว้างที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้สูทตัวนอกและเสื้อเชิ้ตสีครีมอย่างปลุกเร้า

ชากีร์ยัฟทำหน้านิ่งเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วยกมือหนาขึ้นกุมทับมือซุกซนของอีกฝ่ายเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าใกล้ทีละน้อย หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นเตรียมรับจุมพิตที่เฝ้ารอมานาน แต่ความหวังอันน้อยนิดกลับพังลงอย่างไม่เป็นท่า เมื่อชายหนุ่มไม่ได้จูบเธอ ทว่าเลื่อนใบหน้าไปกระซิบชิดริมหูแทน

“ขอบคุณที่หวังดี แต่ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น” แล้วคนพูดก็ยืดตัวยืนเต็มความสูง ดวงตาที่ปรือเยิ้มในตอนแรกดูสว่างสดใสขึ้นทันตาเห็น ทำราวกับว่าสามารถสั่งตัวเองให้เมาและสร่างเมาได้ตามที่ใจต้องการ

“นี่คุณ...” ราน่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้เมามายอย่างที่แสดงออก

“ผมแค่เล่นละครน่ะราน่า คุณน่าจะรู้ว่าผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมาจนถึงขั้นต้องมีคนช่วยประคอง นี่แหละเป็นเหตุผลที่โมบารัคห์ไม่ต้องขึ้นมาพร้อมกับผม”

“คุณแกล้งฉัน!” หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น

“เปล่าเลย ผมไม่ได้แกล้งคุณ ผมแค่เห็นคุณยังไม่นอนเลยอยากทดสอบอะไรนิดหน่อย ความจริงคุณน่าจะเสนอตัวพาผมไปส่งที่ห้องก็พอนะ การพูดจาเชิญชวนทั้งที่ผมกับคุณยังไม่ได้เป็นอะไรกัน มันจะทำให้ตัวคุณดูไม่ดี ว่าแต่...ตระกูลคานสอนเรื่องแบบนี้ให้กับคุณเร็วเกินไปหรือเปล่า อันที่จริงผู้หญิงควรรู้เรื่องพวกนี้ก่อนคืนส่งตัวในวันวิวาห์มากกว่านะ” ชากีร์ยัฟตำหนิเสียงเขียว

“อย่ามาพาดพิงถึงตระกูลของฉันนะชากีร์!” เธอตะคอกกลับ

“กรุณาเรียกผมว่าท่านชีค แล้วลดความรุนแรงในน้ำเสียงของคุณด้วย ครั้งนี้ผมจะถือว่าไม่ได้ยินนะราน่า แต่ครั้งหน้าผมจะทำให้คุณไม่กล้าตะคอกใส่ผมอีกเลย!” ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เพียงคำขู่ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพูดจารุนแรงกับผู้หญิง ไม่เคยคิดจะหักหาญน้ำใจใครด้วยถ้อยคำร้ายกาจ แต่สำหรับคนตรงหน้าถือเป็นกรณีที่ต้องห้ามปรามกันเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ คงพากันหมดความศรัทธาในตัวเขา

เมื่อก่อนชากีร์ยัฟยอมราน่ามากเสียจนเธอกล้ากำแหงโดยไม่สนใจอะไร และเขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นฝ่ายผิดที่พานันดินีเข้ามาในฐานะคู่หมั้นตัวจริง สิ่งนี้ทำให้ราน่าเจ็บช้ำใจมาก แต่เขาก็อุตส่าห์ชดใช้ความผิดด้วยการสัญญาว่าจะยกย่องเธอเป็นอนุภรรยาเพียงคนเดียว ทั้งที่ในหัวของเขาไม่เคยนึกอยากมีภรรยามากเกินกว่าหนึ่งคนเลยด้วยซ้ำ หลายวันที่ผ่านมาการกระทำของราน่าอยู่ในสายตาเขามากเป็นพิเศษ เธอมักจะแกล้งทำดีกับนันดินี แต่ลับหลังนั้นแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนต้องการจะฆ่าเสียให้ตาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสรุปว่าราน่ากำลังคิดไม่ซื่อ

ราน่านิ่งอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าชีคหนุ่มจะกล้าขู่ตะคอกใส่แบบนี้ ชากีร์ยัฟจ้องมองใบหน้าที่สวยจับใจด้วยความว่างเปล่า มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว หัวใจของเขาไม่เคยมีราน่าอยู่เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาหัวใจเขาถูกปิดตายเหมือนกำลังรอคอยใครสักคน จนกระทั่งถึงวันที่ได้พบกับนันดินี เขาจึงรู้สึกถึงความมีเลือดมีเนื้อในร่างกายของตัวเองอีกครั้ง

“ถ้าไม่อยากกลับไปอยู่ที่ตระกูลคานตามเดิม คุณควรปรับปรุงตัวเองบ้าง แล้วเรื่องที่คุณพยายามใส่หน้ากากเข้าหานันดินี อย่าคิดนะว่าผมดูไม่ออก” ชายหนุ่มเตือน ก่อนจะเดินเลี่ยงผ่านร่างระหงไปอีกทาง ตั้งใจจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนของตัวเอง แต่ก้าวต่อไปได้เพียงแค่สองสามก้าว ราน่าก็ปราดเข้ามาสวมกอดเขาจากทางด้านหลังเสียก่อน

“ฉันทำทุกอย่างเพราะรักคุณนะคะ” หญิงสาวแนบใบหน้าซุกซบลงบนแผ่นหลังกำยำ

“ปล่อยผม” เขาพยายามดึงมือที่รัดแน่นอยู่ตรงเอวออก

“มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ ฉันเจอคุณก่อน ได้รักคุณก่อน แต่สุดท้ายนันดินีกลับมาแย่งคุณไปจากฉัน” ราน่าตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“ไม่มีใครแย่งผมไปจากคุณได้หรอก เพราะผมไม่ได้เป็นของคุณมาตั้งแต่ต้นแล้ว ที่สำคัญผมเองต่างหากที่พยายามไล่ตามนันดินี ผมรักเธอและต้องการเธอเพียงคนเดียว ต่อให้เธอไม่ใช่คู่หมั้นของผม ผมก็เลือกที่จะรักเธออยู่ดี รู้แบบนี้แล้วคุณยังจะดันทุรังอีกเหรอราน่า คุณมั่นใจแน่แล้วเหรอว่ารักผมเพราะตัวผม ไม่ใช่เพราะเกียรติยศและเงินทองมากมายมหาศาลของตระกูลผม” คำพูดที่ทิ่มแทงลงกลางใจทำให้มือที่เกาะแน่นคลายออกโดยอัตโนมัติ ชากีร์ยัฟหันกลับมามองคนที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างหลัง ยกมือทั้งข้างขึ้นบีบไหล่เธอเบาๆ

“ผมไม่ได้รักคุณ แต่อนาคตอาจจะรักได้ ถ้าคุณยอมรับความจริงแล้วอยู่ที่นี่อย่างสันติ ถ้าคุณต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเป็นมิตรกับนันดินี คุณไม่ต้องทำร้ายใจตัวเองขนาดนั้นก็ได้ แค่ต่างคนต่างอยู่ผมก็พอใจแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจจะหันหลังกลับมามองอีกเลย

ราน่าโกรธเคืองจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน มือบางกำแน่นเข้าหาจนปลายเล็บที่จิกลงบนผิวเนื้อทำให้ฝ่ามือถึงกับเลือดซึม ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างกว่าปกติและดูแข็งกร้าวจนน่าใจหาย หลังจากยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมพักหนึ่ง มาวีด้าที่เพิ่งกลับขึ้นมาข้างบนเพื่อคอยปรนนิบัตินายสาวก็รีบตรงเข้ามาหา

“อ้าว ท่านหญิงมายืนทำอะไรตรงนี้คะ” สาวใช้คนสนิทถามขึ้น

“ตามฉันไปที่ห้อง ฉันมีบางอย่างให้แกทำ” ราน่าไม่ตอบ เธอเพียงแค่ออกคำสั่งแล้วเดินนำกลับไปที่ห้องทันที

นันดินีตื่นแต่เช้าตรู่และทันได้รับประทานมื้อเช้าร่วมกับชีคหนุ่ม เพราะวันนี้เขามีงานที่ต้องทำในช่วงสาย จึงไม่ต้องรีบออกจากบ้านเหมือนทุกวัน หญิงสาวมองหาราน่าด้วยความเป็นห่วง สายขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมลงมารับประทานอาหารเช้า บางทีอาจจะไม่สบายโดยที่ไม่มีใครรู้ก็ได้

“คุณมองหาเนห์รูเหรอ” ชากีร์ยัฟถามพลางจิบชาอย่างอารมณ์ดี

“เปล่าค่ะ เนห์รูปวดหัวนิดหน่อยเลยอยากพักผ่อนต่อ” นันดินีสบตากับเขา

“งั้นคงมองหาราน่าล่ะสิ ผมว่าคุณอย่าสนใจนักเลย เธอคงไม่หิวถึงไม่ยอมลงมาร่วมโต๊ะกับเรา” ชายหนุ่มดูไม่ค่อยสนใจนักเวลาที่นันดินีพูดถึงราน่า

“บางทีเธออาจจะไม่สบายก็ได้นะคะ”

“เธอสบายดี เมื่อคืนผมยังเจอเธออยู่เลย”

“แต่ว่า...”

“ทานอาหารต่อเถอะครับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องสนใจ ถ้าเธอไม่สบายเดี๋ยวมาวีด้าก็รีบมารายงานเอง” เขาตัดบทพร้อมกับก้มหน้าก้มตาสนใจอาหารตรงหน้าต่อไป เธอเม้มปากแน่นเมื่อเห็นถึงท่าทีเย็นชาที่เพิ่มขึ้นจนน่าประหลาดจากสีหน้าของคู่หมั้นหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้กวนใจอะไรอีกนอกจากนั่งร่วมโต๊ะไปเงียบๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยถามบางอย่างขึ้นมา

“จริงสิ ผมว่าจะถามตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้โอกาสสักที คุณคงไม่ถือนะถ้าผมจะถามเรื่องสำคัญบนโต๊ะอาหารแบบนี้” ชากีร์ยัฟเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนจะเพ่งไปสายตาไปยังข้อมือทั้งสองของหญิงสาว นับตั้งแต่มาลิคเตือนเรื่องของหมั้นที่สภาผู้อาวุโส ชายหนุ่มก็ยังไม่มีโอกาสได้ถามถึงเสียที

“เชิญเลยค่ะ คุณจะถามอะไรเหรอคะ”

“ตั้งแต่ผมมาที่นี่ ผมยังไม่เห็นกำไลเพชรสีชมพูเลย มันเป็นของหมั้นระหว่างเราสองคนเมื่อครั้งที่คุณยังเด็ก กำไลนั่นเป็นของมีค่าที่ท่านแม่ของผมมอบให้คุณ ส่วนแหวนวงนี้...ท่านพ่อของคุณเป็นคนมอบให้ผมเองกับมือ” ชายหนุ่มชูมือขึ้นเพื่อให้นันดินีได้เห็นสมบัติชิ้นที่มีค่าที่สุดของบิดาเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม

“คุณใส่มันไว้ด้วยเหรอคะ”

“ไม่ใช่แค่ใส่ไว้นะ แต่ผมไม่เคยถอดเลยแม้ว่าตอนนั้นมันจะหลวมจนเกือบหลุดหายอยู่บ่อยๆ ก็ตาม ท่านพ่อเคยขอมันไปเก็บไว้เอง แล้วจะมอบให้ผมเมื่อถึงเวลา แต่ผมไม่ยอม เพราะตอนนั้นผมแก่แดดมาก แอบชอบสาวน้อยนันนี่ทั้งที่ตัวเองอายุแค่สิบห้าปี ส่วนคุณก็ยังอายุแค่เจ็ดปีอยู่เลย” ชีคหนุ่มหัวเราะขบขัน และถือเป็นครั้งแรกที่เล่าเรื่องในวัยเยาว์ให้เธอฟัง

“จริงเหรอคะ ฉันจำคุณไม่ได้เลยสักนิด” หญิงสาวทำตาโต

“แหงล่ะ ก็คุณเคยชายตามองผมซะที่ไหนกัน สนใจผมก็แค่ตอนที่ผมมีตุ๊กตามาให้เท่านั้นแหละ ทุกครั้งที่ผมตามท่านพ่อไปที่บ้านของคุณ คุณไม่เคยสนใจอะไรเลย นอกจากนั่งเก็บตัวเงียบอยู่ในมุมที่มีแต่ของเล่น จะว่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกันนะที่ของทุกอย่างถูกเผาอยู่ในบ้านหลังนั้น คุณมีของเล่นชิ้นโปรดสะสมไว้มากมายเลยล่ะ”

“งั้นเหรอคะ เสียดายจังที่ฉันจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่เยอะนัก” เธอยิ้มขมขื่น

“แต่คุณคงจำกำไลเพชรสีชมพูนั่นได้ใช่ไหม ผมจำได้นะว่าคุณชอบมันมากเลย อีกอย่างถ้าเราจะแต่งงานกัน ผมต้องมีกำไลนั่นเพื่อให้พิธีสมบูรณ์ แต่ถึงจะไม่มีก็คงไม่เป็นไร ทางผู้อาวุโสคงขัดใจนิดหน่อย แต่ผมคงจัดการได้ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ นี่นา” สีหน้าของคนพูดเต็มไปด้วยความหวัง นันดินีพยายามนึกถึงกำไลเพชรสีชมพูที่เป็นของชิ้นสำคัญ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็คิดไม่ออกเสียที

“ฉัน...ฉันจำได้ค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ไหน บางทีมันอาจจะอยู่กับพ่อบุญธรรมของฉัน หรือไม่ก็อาจจะหายไปพร้อมกับกองเพลิงที่เผาบ้านฉันจนวอดวายเมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ได้”

“เพชรสีชมพูทนทานต่อไฟและแรงระเบิด ผมจะลองให้คนสืบหาดูครับ เผื่อว่ามันจะตกไปอยู่ในมือของใครสักคน แต่ก่อนอื่นผมว่าคุณควรโทรศัพท์ไปถามคุณพ่อบุญธรรมของคุณก่อนดีกว่า บางทีท่านอาจจะเก็บไว้ให้ก็ได้” ชากีร์ยัฟเสนอ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถตามหาของหมั้นชิ้นสำคัญเจอ เหตุผลแรกก็เพราะมันคือสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านแม่ของเขารักมากที่สุด และเหตุผลข้อที่สองคือการมีของหมั้นปรากฏต่อสายตาคนอื่น จะทำให้ไม่มีใครกล่าวหาว่านันดินีคือคู่หมั้นตัวปลอมอีก โดยเฉพาะคนที่คอยขัดคออย่างมาลิค

“ก็จริงค่ะ บางทีพ่อฉันอาจจะเก็บเอาไว้โดยที่ไม่รู้ว่ามันคือของหมั้นก็ได้” หญิงสาวพูดปลอบใจตัวเอง รวมทั้งอีกฝ่ายด้วย ยอมรับว่ารู้สึกผิดไม่น้อยที่ละเลยของที่มีคุณค่าทางจิตใจแบบนั้นไป ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่ยืนยันว่าสวมแหวนหมั้นที่ได้จากท่านพ่อของเธอเอาไว้ไม่เคยถอดเลย

“จัดการหาโทรศัพท์ไว้ให้นันดินีกับเนห์รูด้วยนะโมบารัคห์ ฉันลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปเสียสนิทเลย” ชากีร์ยัฟหันไปสั่งกับคนสนิทที่ยืนนิ่งเหมือนไร้ตัวตนอยู่นาน

“เรื่องนั้นผมจัดการแล้วครับ โทรศัพท์เครื่องใหม่อยู่ในห้องของท่านหญิงนันดินีกับคุณเนห์รูตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ตอนนี้ผมว่าท่านรีบไปดีกว่าครับ ถ้าช้าเดี๋ยวจะประชุมไม่ทัน” โมบารัคห์มองดูนาฬิกาบนข้อมือแล้วเอ่ยเตือนตามหน้าที่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel