บทย่อ
“คุณชากีร์ยัฟคะ! นี่คุณจะทำอะไร” ดวงหน้างามซีดเผือดไร้สีเลือด“เรียกผมว่าชากีร์”“ฉันถามว่าคุณจะทำอะไร!” หญิงสาวยังคงถามในคำถามเดิม แต่เขาไม่ตอบอะไร นอกจากก้าวเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พอลูกกวางน้อยที่น่ารักตั้งท่าจะวิ่งหนีไป ราชสีห์ตัวใหญ่ก็กระโดดไปคว้าตัวเข้ามากอดได้สำเร็จ ร่างบางถูกยกตัวให้ลอยละลิ่วขึ้นสู่อ้อมแขน และคนต้นเรื่องก็ไม่สนใจเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของเธอเลยสักนิด“อยากรู้จริงเหรอว่าผมจะทำอะไร” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยถามพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก“ไม่นะคะ! คุณเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงคิดจะขืนใจฉันล่ะ” เธอแหวใส่อย่างเหลืออด แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกเขาวางลงบนเตียงนอน“ผมเป็นสุภาพบุรุษและยังคงเป็นมาตลอด แต่ทันทีที่ผมเจอคุณ...ผมก็อยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนป่าเถื่อนที่สามารถพรากพรหมจรรย์ผู้หญิงได้โดยที่ไม่รู้สึกผิด” ดวงตาของชากีร์ยัฟเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมา
บทที่ ๑ : พันธะสัญญา 1
สาวน้อยวัยสี่ยิบสามปีนั่งกอดเข่าอยู่ตรงระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาทางหน้าบ้าน ดวงตาสีเขียวปนเทาเหม่อมองสวนหย่อมขนาดเล็กที่มีรูปปั้นกามเทพพ่นน้ำยิ้มร่าอยู่ตรงกลางลานน้ำพุ เช้านี้สายลมเย็นสบายและอากาศก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวนัก แต่นั่นช่างตรงข้ามกับอารมณ์ของหญิงสาวอย่างที่สุด เพราะเวลานี้เธอร้อนรุ่มไปหมดหัวใจ นั่งถอนหายใจออกมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว มันคงยากที่จะปล่อยวางในเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากของปากบิดา
เรื่องที่เธอต้องถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเพื่อแต่งงานตามประเพณี...
นันดินี บัลลาเดวา คือชื่อสกุลที่บ่งบอกว่าเธอไม่ใช่เพียงแค่บุตรสาวบุญธรรมของเศรษฐีวาฮิด ซึ่งย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทยกับภรรยาชาวไทยตั้งแต่เธออายุได้เพียงแค่เจ็ดขวบ ความจริงนันดินีเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนาวอบ [1] ซิมรานกับหญิงสูงศักดิ์อย่างท่านหญิงปาราวตี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ปล้นฆ่าเผาเมืองของกลุ่มโจรที่ผู้คนต่างหวาดกลัว บิดามารดาของเธอก็เสียชีวิตลง โชคยังดีที่เพื่อนบ้านอย่างเศรษฐีวาฮิดพาเธอหนีตายมาด้วยกัน ก่อนตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยอย่างถาวรหวังจะลืมเรื่องเลวร้ายทั้งหมด
นับตั้งแต่นั้นมานันดินีก็อยู่ในโอวาทและการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของเศรษฐีวาฮิด อติฟาห์กับคุณศศธรมาโดยตลอด ชีวิตในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครคงมีความหมายต่อนันดินีมากกว่านี้ หากเธอได้รับอิสรภาพจากบิดามารดาบุญธรรมบ้าง ไม่ใช่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แม้กระทั่งเรียนหนังสือก็ยังต้องขึ้นรถไปกลับทุกวัน ห้ามค้างที่ไหนแม้ว่าจะมีกิจกรรมหรืองานหนักก็ตาม แล้วพอเรียนจบมายังไม่ทันครบปี เศรษฐีวาฮิดก็มีคำสั่งให้เธอแต่งงานอีก นันดินีแทบร้องไห้เมื่อได้ยินว่าชีวิตเธอกำลังถูกกดดันจนเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว
“มานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอนันนี่ ได้เวลาอาหารค่ำแล้วนะ”
เนห์รู วาเซ็ม สาวสวยวัยเดียวกันที่เป็นลูกบุญธรรมอีกคนของเศรษฐีวาฮิดเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส หญิงสาวเป็นคนสวยที่มีผู้ชายหมายปองมากมาย ผิวสีน้ำผึ้งเช่นเดียวกับดวงตาทำให้เสน่ห์ในตัวเธอเบ่งบานเสมอ เธอส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับคนที่รักใคร่กลมเกลียวกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงใกล้กันแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบไหล่บางไว้หลวมๆ
“ตามสบายเถอะเนห์รู ฉันทานไม่ลง” นันดินีปฏิเสธ
“ไม่ได้หรอก พ่ออาจจะโกรธได้นะ ถ้าเธอพยายามต่อต้านด้วยวิธีนี้” เนห์รูเตือนสติ
“นั่นสินะ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจด้วยจมูกของตัวเองด้วยซ้ำ”
“อย่าคิดแบบนั้นสิ ถ้าไม่มีพ่อบุญธรรม ป่านนี้เธอคงถูกโจรฆ่าตายไปแล้ว ส่วนฉันก็คงตายอยู่ในกองไฟที่คนพวกนั้นเผาบ้านเมืองของเรา ฉันอยากให้เธอรู้ไว้นะว่าเธอยังมีฉัน ตลอดเวลาสิบหกปีที่เราอยู่ด้วยกันมา ฉันเคยรักเธอยังไง ฉันก็จะเป็นแบบนั้นเสมอ” เนห์รูยิ้มหวาน
“ขอบใจมากนะเนห์รู ฉันเองก็รักเธอ แต่ถ้าพ่อจะให้ฉันแต่งงาน เราคงต้องแยกจากกัน”
“ไม่หรอก ฉันคุยกับพ่อแล้วว่าฉันจะกลับไปฮัรดิสถานกับเธอ”
“เนห์รู…” นันดินีหันมามองเพื่อนสาวที่รักยิ่งกว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ดวงตากลมโตคลอรื้นด้วยน้ำสีใสที่เตรียมหลั่งไหลออกมาได้ทุกเมื่อ ซึ้งใจสุดคณานับเมื่อได้ยินว่าเนห์รูจะตามไปด้วยกัน
“อย่าทำหน้าซึ้งนะ ไม่งั้นฉันจะเปลี่ยนใจ”
“ขอบใจนะเนห์รู ฉันละอายใจเหลือเกินที่ทำให้เธอต้องพลอยลำบากไปด้วย”
“ไม่ลำบากหรอก ฉันแอบได้ยินพ่อแม่คุยกันว่าผู้ชายที่เธอต้องแต่งงานด้วยน่ะเป็นคนที่มีเชื้อสายสูงศักดิ์ แล้วก็ร่ำรวยมหาศาล ฉันว่าเขาคงไม่ปล่อยให้เธอลำบากเด็ดขาด นั่นมันก็หมายความว่าฉันเองก็ต้องพลอยสุขสบายไปด้วยจริงไหมล่ะ”
“จ้ะ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ฉันจะไม่ยอมให้เธอลำบากแน่” นันดินีเริ่มยิ้มออก
“ถ้างั้นไปทานข้าวกันนะ วันนี้มีอาหารเยอะแยะเลย” เนห์รูชวน แล้วรีบเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนเพื่อดึงมือนันดินีให้ลุกตามมา สองสาวเดินจูงมือกันเข้าไปที่ห้องอาหาร เศรษฐีวาฮิดกับภรรยานั่งรอคอยอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่ามันทำให้รอยยิ้มของนันดินีหดหายไปแทบจะทันที
“นั่งลงสิ” วาฮิดพยักหน้าบอกให้ลูกสาวนั่งลงตรงกันข้าม
“พ่อมีอะไรเหรอคะ ทำไมถึงทำหน้าซีเรียสจัง” เนห์รูเป็นคนถามขึ้น เพราะเธอไม่ค่อยเกรงกลัวกับภาพลักษณ์ที่ดูดุดันของบิดาบุญธรรมนัก ด้วยเห็นว่าเป็นเพียงเปลือกนอกที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อให้คนในโอวาทยำเกรง
“พ่อจะพูดเรื่องงานแต่งงาน พ่อรู้ว่านันนี่คงค้างคาใจว่าทำไมพ่อถึงต้องบังคับ” วาฮิดจ้องหน้านันดินี
“ฉันคิดว่าคุณจะไม่พูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหารเสียอีกนะคะ” ศศธรท้วงขึ้น เพราะเกรงว่าถ้าพูดไปแล้วอาจจะทำให้นันดินีกล้ำกลืนฝืนทานอาหารไม่ลงอีกต่อไป
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมว่าตอนนี้ผมควรอธิบายให้ลูกฟัง”
“แต่ฉันว่า...”
“หนูจะฟังค่ะแม่ พ่อพูดมาเถอะค่ะ หนูเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมมันกะทันหันแบบนี้” นันดินีแทรกขึ้น มือเล็กบีบเข้าหากันแนบแน่นหวังจะให้มันช่วยลดความวิตกกังวล แต่เธอกลับพบว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากทำให้ฝ่ามือชื้นเหงื่อไปหมด
“ลูกรู้ใช่ไหมว่าถึงเราจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่พ่อรักลูกมาก ที่ผ่านมาพ่อพยายามเลี้ยงดูลูกอย่างดีเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติ นั่นไม่ใช่เพื่อตัวพ่อกับแม่นะนันนี่ แต่เพื่อตัวลูกกับเชื้อสายของลูกต่างหาก ท่านนาวอบซิมรานกับท่านหญิงปาราวตีคงอยากเห็นลูกสาวเพียงคนเดียวเติบโตขึ้นมาอย่างสง่างาม และนี่พ่อกำลังทำเพื่อเขาอยู่”
“หนูเข้าใจเรื่องนี้ดีค่ะ แต่หนูแค่คิดว่าการแต่งงานยังไม่จำเป็น” หญิงสาวพยายามทำหน้าให้นิ่งเฉยที่สุด
“จำเป็นสิ เพราะลูกมีคู่หมั้นคู่หมายมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“อะไรนะคะ!” คราวนี้นันดินีควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว สีหน้าเธอซีดเผือดจนดูคล้ายคนป่วย
“เรื่องนี้มีคนรู้ไม่เยอะนักหรอก พ่อเองก็รู้เรื่องในคืนที่พ่อของลูกกำลังจะสิ้นใจเหมือนกัน ตอนที่พวกโจรปลิดชีวิตแม่แท้ๆ ของลูก แล้วทำร้ายท่านนาวอบจนบาดเจ็บสาหัส พ่อเองก็กำลังหนีตายออกจากบ้าน แต่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปดู พ่อตกใจมากที่เห็นท่านนาวอบเลือดท่วมไปทั้งตัวแบบนั้น” เศรษฐีสูงวัยว่าพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ถ่ายทอดทุกเหตุการณ์ในอดีตออกมาอีกครั้ง
‘วา...ฮิด ช่วย...ช่วยพา...นันนี่หนีไปที...เธอ…’ นาวอบซิมรานพูดไม่จบเพราะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
‘ท่านนาวอบ! ทำใจดีๆ ไว้นะครับ อีกเดี๋ยวคนของรัฐบาลคงมาแล้ว’ วาฮิดพยายามใช้มือปิดบาดแผลบนอกคนเจ็บไว้เพื่อช่วยห้ามเลือด แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
‘วาฮิด...นันนี่มีคู่หมั้นที่เหมาะสม...แล้ว...แล้วก็สามารถดูแลเธอได้’
‘อะไรกันครับ คู่หมั้นเหรอ...ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย’
‘ตอนนั้นมันยังไม่ถึงเวลาให้คนนอกรู้ แต่...ตอนนี้...คุณต้องรู้ไว้ว่าคนพวกนั้นจะติดต่อไปเองเมื่อถึงเวลา...อึก! พวกเขาจะ...ดูแลเธอได้ทั้งชีวิต!’
‘ท่านนาวอบ! อย่าเพิ่งพูดมากนักสิครับ ห่วงตัวเองบ้างเถอะ’
‘มะ...ไม่ได้...จำไว้นะสหาย ไม่มีใครรู้เรื่องคู่หมั้นต่างศาสนาของลูกสาวผม...นอกจากผม ปาราวตี แล้วก็ฝ่ายนั้นกับคุณ ผมรู้ว่าพวกเขาจะรักษาสัญญา...คุณ...ช่วยดูแลนันนี่แทน…จะได้ไหม ช่วยเลี้ยงดูเธอจนกว่าจะถึงเวลา...ที่เธอต้อง…แต่งงาน’ นาวอบซิมรานหน้าซีดเผือด มือที่เย็นเฉียบบีบมือของวาฮิดแน่น เหมือนต้องการคำมั่นสัญญา และเสียงสะอื้นของเด็กหญิงตัวเล็กที่ดังลอดมาจากใต้โซฟาตัวยาว ทำให้ไม่อาจลังเลใจได้อีก
‘ผมสัญญา ผมจะดูแลลูกสาวคุณเหมือนลูกสาวของผมเอง ผมจะทำให้เธอได้แต่งงานกับคนที่คุณเลือก’
‘พวกเขา...ต้องตามหานันนี่แน่ ผม...มั่นใจ’
‘บอกหน่อยได้ไหมครับว่าพวกเขาเป็นใครกัน’
‘เป็นครอบครัวมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ คู่หมั้นของนันนี่...คือลูกชายคนเดียวของท่าน...เฮือก!’ นาวอบซิมรานกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง “รีบ...รีบไป” เมื่อได้ยินเสียงคนข้างนอกกรีดร้องโหยหวน เขาก็รีบบอกให้วาฮิดพาลูกสาวหนีไปเสีย
‘แต่ว่า...’
‘ไป! ต้อง...หนีให้รอด...หนีไป!’ สิ้นคำพูดนั้น เด็กหญิงนันดินีก็คลานออกมาจากใต้โซฟา ตรงเข้าเขย่าร่างบิดาแล้วร้องไห้จ้า วาฮิดรีบเข้าไปรวบตัวเด็กน้อยขึ้นสู่อ้อมแขน ไม่สนใจว่าเธอจะดิ้นรนผลักไสเพียงใด ในเมื่อรับปากกับคนเป็นพ่อไว้แล้วว่าช่วยดูแลลูกสาวของเขาดุจดั่งลูกสาวของตัวเอง วาฮิดจึงต้องพาเธอหนีไปด้วยให้สำเร็จ
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ที่ผ่านมาครอบครัวบัลลาเดวาก็ดีกับทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงมาตลอด แม้จะร่ำรวยที่สุดในย่านนี้ แต่ก็ไม่เคยอวดเบ่งบารมีหรือรังแกคนจน ซ้ำยังให้ทานแก่คนที่มีชนชั้นต่ำกว่าอยู่ไม่เคยขาด ความดีพวกนี้ทำให้วาฮิดตั้งใจว่าจะทำตามที่คนตายสั่งเสียเอาไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อวาฮิดพานันดินีห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุ ทุกอย่างก็ว่างเปล่าไปในทันที ร่างของนาวอบซิมรานนิ่งสนิทไปพร้อมกับดวงตาที่เบิกค้างอย่างคนมีห่วง แต่ก่อนที่จะสิ้นลมนั้น เขาได้พูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่าก็น่าเสียดายที่วาฮิดไม่ใช่คนที่ได้ยินมัน แต่กลับกลายเป็นใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในมุมมืดพร้อมกับดาบที่เปื้อนเลือด
เขาแสยะยิ้มและเปลี่ยนใจไม่ตามออกไปสังหารวาฮิดกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้น!
“หลังจากนั้นพ่อก็พาลูกหนีตายฝ่าเมืองทั้งเมืองที่ถูกเผาออกมา เนห์รูเองก็เสียพ่อแม่ไปในคืนนั้น เนห์รูแอบวิ่งตามเราสองคนมาตลอดทาง พอพ่อรู้เข้าก็เลยช่วยพาหนีมาอีกคน พวกเราตั้งต้นกันใหม่ประมาณสามเดือน หลังจากนั้นพ่อก็พาลูกๆมาที่เมืองไทย เพราะคิดว่าที่บ้านเมืองเราไม่มีอะไรให้น่าจดจำอีกแล้ว” วาฮิดกลับเข้าสู่ปัจจุบันอีกครั้ง เขาเองก็เศร้าใจไม่น้อยที่ญาติพี่น้องถูกฆ่าตายหมด โชคยังดีที่ทรัพย์สินบางส่วนยังไม่เสียหาย เมื่อหาที่อยู่ให้นันดินีกับเนห์รูได้แล้ว เขาจึงย้อนกลับไปขนทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในห้องใต้ดินออกมาเป็นทุนเริ่มชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
“ตอนนั้นหนูก็เจ็ดขวบแล้ว หนูน่าจะจำอะไรได้บ้าง” นันดินีแปลกใจมาตลอดว่าทำไมถึงไม่รู้สึกถึงความโหดร้ายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนัก ทั้งที่บุพการีถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แต่เธอกลับจำได้แค่เพียงบางส่วน หากคนอื่นมาเจอกับเรื่องสะเทือนขวัญแบบนี้บ้าง คงติดตาติดใจไปจนวันตายเลยด้วยซ้ำ
“ลูกจำอะไรไม่ได้ เพราะเหตุการณ์พวกนั้นมันกระทบกระเทือนใจมาก ลูกไม่พูดไม่จามานานหลายเดือน แต่หลังจากพ่อพาไปพบจิตแพทย์ ลูกก็ดีขึ้น แต่ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์พวกนั้นก็คือ...การที่ลูกสร้างความคิดหลอกลวงตัวเองว่าลูกไม่ได้จำมันฝังใจ คุณหมอบอกว่าเมื่อเจอความทุกข์แสนสาหัสจนไร้ทางออก วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือการสั่งสมองให้ลืมมันซะ แล้วลูกก็ทำได้เร็วเสียด้วย”
“มิน่าล่ะ นันนี่ถึงจำอะไรได้แค่ผิวเผิน” เนห์รูเสริม
“ทำไมพ่อไม่บอกหนูบ้างว่าหนูป่วย” นันดินีขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ถึงขั้นต้องเรียกว่าป่วยหรอก ลูกตั้งใจลืมมันก็ถือว่าดีแล้วนี่ พ่อว่าการรื้อฟื้นภาพอดีตไม่ใช่สิ่งสวยหรูเลยนะ”
“ถ้างั้นพ่อก็ไม่น่าจะรื้อฟื้นเรื่องคู่หมั้นบ้าบออะไรนี่ขึ้นมานะคะ”
“บางเรื่องมันก็จำเป็นนะ ตอนที่ท่านนาวอบฝากฝังลูกไว้กับพ่อ ท่านย้ำตลอดว่าถ้าลูกได้แต่งงานกับคู่หมั้นคู่หมาย ชีวิตลูกจะมีความสุข ท่านนาวอบบอกว่าคนพวกนั้นจะติดต่อมา แต่หลังจากที่เรามาอยู่เมืองไทย พวกเขาก็เงียบหายไปจนพ่อคิดว่าพันธะสัญญาทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว แต่มันก็น่าตกใจเหมือนกันที่เมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเขาติดต่อมาหาพ่อ แล้วทวงสัญญาเรื่องการแต่งงาน” เขาอธิบายให้นันดินีฟัง เผื่อว่าเธอจะยอมเข้าใจอะไรง่ายขึ้นบ้าง
“เขาเป็นใครคะ”
“เขาเป็นผู้ชายที่มีเกียรติและสามารถดูแลลูกไปได้ทั้งชีวิตตามที่ท่านนาวอบเคยพูดไว้ พ่อรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขากำชับว่ายังไม่ให้บอกลูก เพราะเขาอยากจะบอกให้ลูกรู้ด้วยตัวเอง”
“แล้วพ่อก็เชื่อง่ายๆ เหรอคะ หนูหมายถึงว่าเขาอาจจะเป็นพวกหลอกลวงก็ได้”

