บทที่ ๗ : แผนสามลวงให้หลงใหล 2
สิ่งที่ชากีร์ยัฟประกาศอย่างเป็นทางการที่สภาผู้อาวุโส ถูกแจ้งให้นันดินีรับรู้ก่อนเป็นคนแรก และรู้ถึงหูของราน่าหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาที หลังจากบิดาโทรมาแจ้งข่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หญิงสาวก็อาละวาดทำลายข้าวของภายในห้องส่วนตัวจนแทบไม่เหลือชิ้นดี บรรดาสาวใช้ก็พลอยโดนหางเลขตามไปด้วย เพียงแค่นั่งนิ่งก็ยังถูกกล่าวหาว่ากำลังยิ้มเยาะในความพ่ายแพ้ของเธอ สุดท้ายก็ต้องถูกไล่ตะเพิดออกไปจนหมด เหลือเพียงมาวีด้าสาวใช้คนสนิท ซึ่งติดตามมาจากตระกูลคานเท่านั้นที่ดูจะรู้ใจท่านหญิงไปเสียทุกเรื่อง
“อย่าใจร้อนสิคะ ท่านชีครู้เข้าอาจจะไม่พอใจได้นะคะ” มาวีด้าให้เหตุผลพลางนวดแข้งนวดขาอย่างเอาใจ
“ถ้าเป็นแก แกจะยอมได้เหรอ!” ราน่าตวาดลั่น “ฉันทำอะไรผิด ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับฉันได้ลงคอ ที่ผ่านมาฉันอยู่ของฉันเงียบๆ มาตลอด ฉันไม่เคยสร้างความวุ่นวายอะไร แล้วนังนั่นมันเป็นใคร กล้าดียังไงถึงโผล่มาแย่งคนรักของฉันไปง่ายๆ แบบนี้ นี่ถ้าไม่มีมัน...ชากีร์ก็ต้องมีฉันแค่คนเดียว!” ใบหน้างามเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่มีหญิงชาวฮินดูนั่น ท่านชีคจะต้องวิวาห์กับท่านหญิงราน่าเพียงคนเดียวแน่ แต่จะโวยวายมากไปก็อาจถูกตำหนิได้ ถ้าเราต้องการตีงูให้ตาย เราก็ต้องค่อยๆ หลอกล่อมัน แล้วกระหน่ำตีเสียให้สุดแรง รับรองเลยว่ามันจะไม่มีทางกลับมาแว้งกัดเราได้แน่” มาวีด้ายิ้มมีเลศนัย
“แกหมายความว่ายังไง มีแผนอะไรใช่ไหม” ราน่าดูสนใจขึ้นมาทันที
“ถ้าท่านหญิงอยากได้ท่านชีคมาเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ท่านหญิงต้องแกล้งทำตัวเป็นมิตรกับนังนันดินีให้สำเร็จนะคะ หลังจากนั้นเราค่อยกำจัดมันออกไปจากชีวิต มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้นังงูพิษนั่นหายไปได้ โดยที่ไม่มีใครสงสัยเรา แต่ถ้าเราทำตัวเป็นศัตรูกับมัน เมื่อเกิดอะไรขึ้นทุกคนก็อาจจะสงสัยเราก็ได้” แผนร้ายที่หลุดออกจากปากสาวใช้ทำให้ราน่ายิ้มพอใจ แม้การตีสนิทกับนันดินีจะเป็นเรื่องที่ต้องฝืนใจเป็นอย่างมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นย่อมคุ้มค่ากว่า
“ฉลาดมากมาวีด้า เอาไว้ฉันจะตบรางวัลให้แกอย่างงามเลยทีเดียว” พูดแล้วร่างระหงก็ลุกจากโซฟาด้วยท่าทีร้อนใจ
“ท่านหญิงจะไปไหนคะ” มาวีด้ารีบถาม
“ก็ไปแสดงความเป็นมิตรกับนังงูพิษนั่นน่ะสิ”
“งั้นให้ดิฉันตามไปรับใช้ด้วยนะคะ เผื่อมีอะไรต้องช่วยเสริมท่านหญิงบ้าง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเคยแสดงละครสร้างภาพออกจะบ่อย เวลาที่ต้องไปงานสังคม แค่แสดงละครตบตานังหัวอ่อนนั่น มันไม่ยากเกินมือฉันหรอก แกมีอะไรก็ไปทำเถอะ อย่าลืมปล่อยข่าวให้ทั่วเลยนะว่าการเปลี่ยนแปลงของท่านชีคทำให้ฉันน่าสงสารแค่ไหน ที่สำคัญไปบอกนังขี้ข้าที่เห็นฉันอาละวาดอยู่ในห้องให้ปิดปากให้สนิทล่ะ ไม่งั้นพวกมันโดนดีแน่” ราน่าดูมั่นใจในตัวเองเกินร้อย จากนั้นเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก
บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ กับสาวใช้ที่เดินผ่านไปมา พากันโน้มกายทำความเคารพนายสาวอย่างนอบน้อม แม้บัดนี้จะกลายเป็นเพียงว่าที่อนุภรรยาของชีคหนุ่มไปแล้วก็ตาม ราน่าเชิดหน้าอย่างถือดีเช่นทุกวัน แต่ทันทีที่เดินไปถึงห้องที่นันดินีพักอยู่ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ไหล่ที่ตั้งตรงลู่ลงเหมือนคนสิ้นหวัง ซึ่งอากัปกิริยาเสแสร้งเหล่านั้นล้วนตกอยู่ในสายตาของจาฮีดาทุกอย่าง
“นันดินีอยู่ข้างในหรือเปล่า ช่วยไปบอกทีว่าฉันมาขอพบ” นับเป็นครั้งแรกที่ราน่าทำตัวมีมารยาท
“ได้ค่ะคุณหนูราน่า เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปเรียนให้ท่านหญิงทราบก่อนนะคะ” สรรพนามที่จาฮีดาใช้เรียกนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม ความจริงข้อนี้ทำให้คนฟังกำมือแน่นด้วยความโกรธเคือง แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมาให้เสียแผน
นันดินีนั่งคุยกับเนห์รูอยู่ในห้องส่วนตัว วันนี้เองที่เพิ่งจะมีโอกาสได้เล่าให้เนห์รูฟังว่าก่อนที่จะเจอชากีร์ยัฟ เธอเคยฝันถึงเขาชัดเจนเพียงใด แต่ก็เลือกที่จะไม่เล่ารายละเอียดในความฝันมากนัก เพราะแค่นึกถึงก็อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ขณะที่สองสาวกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างออกรส เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างผอมบางของจาฮีดา
“ขออภัยที่เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวนะคะ” สาวใช้จอมปลอมเอ่ยอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรจ้ะ มีอะไรเหรอ” นันดินีถามพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน
“คุณหนูราน่ามาขอพบค่ะ ตอนนี้รออยู่หน้าห้องแล้ว” เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ เนห์รูก็หันมาสบตากับพี่สาวทันที
“เชิญเข้ามาได้เลย” เจ้าของห้องตัดสินใจเด็ดขาดในทันที
ดวงตาสีสวยที่ดูงดงามไม่ได้แสดงออกถึงความกังวลใด เพราะยอมรับว่าส่วนหนึ่งตัวเองก็ผิดที่ก้าวเข้ามาทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย เป็นธรรมดาที่ราน่าจะรู้สึกไม่พอใจและโกรธเกลียดเธอ ต่อให้ต้องถูกประณามหยาดเหยียดอย่างไร นันดินีก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบโต้ให้เกิดปัญหา เพราะราน่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสำคัญของเธอเลย
จาฮีดาพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะเดินหายออกไปเพื่อบอกให้ราน่าเข้ามาข้างในได้ สาวสวยในชุดส่าหรีสีชมพูคาดเหลืองดูเย้ายวนสดใสปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม เสียงกำไลข้อเท้าดังก้องอยู่ทุกฝีก้าว และในที่สุดมันก็มานิ่งสนิทอยู่ตรงหน้าสองสาว
“สวัสดีตอนสายค่ะคุณหนูราน่า เชิญนั่งสิคะ” นันดินีลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาว ก่อนจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงกันข้าม ราน่าปรายตามองเนห์รูเล็กน้อย แล้วยอมนั่งลงโดยไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันจัดจ้านดูเศร้าหมองเสียจนนันดินีรู้สึกผิด
“คุณหนูราน่า ฉัน...”
“อย่าได้พูดว่าสงสารฉันเด็ดขาดนะนันดินี อย่าแม้แต่จะขอโทษ เพราะเธอไม่ใช่คนผิด” ราน่าแทรกขึ้น
“คุณ...” นันดินีถึงกับพูดไม่ออก ความจริงแล้วราน่าควรจะเข้ามาเพื่อต่อว่าถากถาง ไม่ใช่นั่งทำหน้าสลดแบบนี้
“ฉันเคยคิดว่าชากีร์...ไม่สิ ฉันควรเรียกเขาว่าท่านชีคเสียมากกว่า” คนพูดแค่นยิ้มเจ็บปวด “ฉันเคยคิดว่าท่านชีคมีใจให้ฉัน แต่มันกลับเป็นแค่ความเข้าใจผิดของฉันเอง ที่ผ่านมาฉันก็เป็นได้แค่ตัวแทนของคู่หมั้นตัวจริงอย่างเธอ เสียดายที่รู้ตัวช้าไป เพราะตอนนี้ฉันรักเขาหมดหัวใจไปแล้ว มันถอนตัวไม่ทันแล้วจริงๆ” ว่าแล้วหยาดน้ำตาก็เริ่มไหลรินออกมาอย่างรู้งาน
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้นะคะ แต่ฉัน...ฉันคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงๆ” เมื่อความจำเป็นบีบบังคับ นันดินีก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เธอจะเห็นแก่ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าไม่ได้ การใจอ่อนจะทำให้เสียงานใหญ่ ข้อนี้แม่เฒ่าของดารัมดาสได้ย้ำเตือนเอาไว้มากที่สุด
“ถึงเธอจะเปลี่ยนแปลงได้ ฉันก็คงไม่ขอให้เธอทำหรอก เพราะเธอมีสิทธิ์ถูกต้องทุกอย่าง ท่านชีคให้ฉันเป็นอนุภรรยาคนแรกและคนเดียวก็นับว่ากรุณามากพอแล้ว ความจริงแค่ส่งฉันกลับตระกูลคานไปก็พอ แต่ท่านชีคก็ไม่ใจร้ายขนาดนั้น นี่ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ฉันคิดว่าเขาเองก็น่าจะมีใจให้ฉันบ้าง” ราน่ายิ้มทั้งน้ำตา มันอาจดูน่าสงสารสำหรับนันดินี แต่เนห์รูกลับคิดว่าหญิงงามตรงหน้าช่างมีกิริยาเสแสร้งเสียจริง
“ฉันขอโทษค่ะ” นันดินีเอ่ยจากใจ
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันบอกแล้วนี่ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ ที่ฉันมาหาเธอก็เพราะอยากปรับความเข้าใจ ยังไงเราสองคนก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ฉันว่าการหันมาปรองดองกันอาจทำให้ท่านชีคสบายใจมากขึ้น เธอรู้ไหมว่าตอนนี้เขาไม่ไว้ใจฉันเลย เขาเห็นฉันเป็นคนร้ายกาจไปแล้ว” ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ ฉันจะบอกท่านชีคให้เองว่าคุณแสนดีแค่ไหน นี่ถ้ารู้ว่าคุณมาขอปรองดองเพื่อให้เขามีความสุข ฉันเชื่อค่ะว่าเขาจะต้องชื่นชมความคิดของคุณมากแน่ๆ หยุดร้องไห้เถอะค่ะ” นันดินีพยายามพูดจาให้กำลังใจ
“แหม จะว่าไปนี่ก็แปลกนะคะ เมื่อวานโวยวายแทบตาย แต่ข้ามคืนกลับกลายเป็นคนละคน” เนห์รูอดแขวะไม่ได้
“อย่าเสียมารยาทสิเนห์รู ใครเจอเรื่องแบบนั้นก็ต้องสติแตกก่อนเป็นธรรมดานั่นแหละ” คนที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวหันมาตักเตือน แล้วถลึงตาใส่เป็นเชิงบอกให้เงียบไปเสีย
“ฉันรู้ว่าพวกเธอคงไม่ไว้ใจฉันหรอก แต่ฉันแค่ไม่อยากถูกท่านชีคเกลียด ฉันถึงต้องยอมรับความจริงง่ายๆ แบบนี้”
“ฉันเข้าใจค่ะ เอาเป็นว่าจากนี้ไปให้คิดเสียว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันนะคะ ทุกฝ่ายจะได้สบายใจ ฉันยินดีปรองดองกับคุณเพื่อให้เกิดความสงบสุข ถ้าคุณหนูราน่าไม่รังเกียจ ขอให้คิดว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งก็ได้” นันดินีจริงใจไร้สิ่งใดเคลือบแฝง แต่คำพูดเหล่านี้กลับถูกราน่าหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ด้วยคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนสูงส่งเหนือคนอื่น การจะเรียกใครว่าเพื่อนนั้นจะต้องอยู่ในชนชั้นเดียวกัน ไม่ใช่เชื้อสายผู้ดีที่ระหกระเหินไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานหลายสิบปีแบบนี้
“จริงเหรอนันดินี” ราน่าดูตื่นเต้นเสียเต็มประดา
“จริงสิคะ”
“ดีจัง รู้ไหมว่าฉันมีเพื่อนน้อยมาก นี่ถ้าเธอยอมเป็นเพื่อนกัน ฉันคงไม่ต้องทนเหงาอีกแล้ว”
“ต่อไปถ้าเหงาหรือมีเรื่องไม่สบายใจ บอกฉันกับเนห์รูได้นะคะ เราสองคนยินดีให้คำปรึกษาเสมอ” นันดินียิ้มหวานให้กับมิตรภาพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เนห์รูเองก็จำต้องฝืนยิ้มตามไปด้วย เพราะถูกพี่สาวบิดเข้าที่บั้นเอวอย่างบีบบังคับ
“ถ้างั้นวันนี้เราไปเที่ยวกันดีไหม เมืองยาฮาห์มีอะไรน่าสนใจมากมายเชียวล่ะ แต่ที่ฉันชอบที่สุดก็คือโรงทอผ้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก มีผ้าสวยๆ ให้เลือกได้มากมายโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว เพราะมันเป็นธุรกิจอีกประเภทหนึ่งของตระกูลราฮัล เราสองคนสามารถเลือกผ้าสวยๆ มาตัดชุดได้ตามใจชอบเลย ท่านชีคเคยบอกกับฉันไว้แบบนั้น” ราน่าเสนอขึ้น
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ ฉันกับเนห์รูเองก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน” ความจริงนันดินีไม่อยากออกไปไหน โดยที่ไม่ได้บอกแก่เจ้าของคฤหาสน์เสียก่อน แต่ในเมื่อราน่าอุตส่าห์เอ่ยปากชวนอย่างมีความหวัง หากจะให้ปฏิเสธก็ทำไม่ลงจริงๆ เนห์รูพยายามจะค้าน แต่ก็ช้ากว่าราน่าที่รวบรัดตัดตอนทันที
“เอาเป็นว่าอีกสิบนาทีเจอกันข้างล่างนะ ฉันขอไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วจะรีบตามลงไป”
“ได้ค่ะ อีกสิบนาทีพบกันนะคะ” นันดินีตอบรับแล้วยิ้มงดงาม นั่งมองจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ถึงได้หันมาสบตากับเนห์รูอย่างเอาเรื่อง
“ทีหลังอย่าทำกิริยาปั้นปึ่งแบบนี้อีกนะเนห์รู เราเองก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย การที่คุณหนูราน่ายอมจบปัญหาด้วยการเข้ามาพูดคุยดีๆ กับเราก่อน มันถือเป็นความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอื่นมากกว่าแผนการที่จะต้องทำ เธอเข้าใจใช่ไหมว่าฉันไม่อยากให้มันเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นอีก”
“ฉันเข้าใจทุกอย่างดีนันนี่ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เพราะฉันรู้ดีแก่ใจว่าแม่คนนั้นไม่จริงใจกับเรา เธอก็แค่เข้ามาตีสนิทเพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาท่านชีคเท่านั้นแหละ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าคนถือดีอย่างราน่าจะอยากเป็นมิตรกับเรา นอกเสียจากจะมีอะไรแอบแฝง” เนห์รูเดาได้ไม่ผิด เพราะฉลาดนักในเรื่องจับผิดคนอื่น นันดินีเองก็ไม่ได้โง่ เพียงแต่มีจิตใจที่ดีงามจนมองไม่เห็นความเสแสร้งของใคร
“ทำไมคิดในแง่ร้ายนักล่ะ”
“ก็นึกถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกสิ ราน่ามองเราแบบไหน เธอลืมไปแล้วเหรอ”
“ไม่ลืมหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอามาเป็นอารมณ์ไปทำไม อย่าลืมสิว่าฉันมาแย่งคนรักของเธอนะ ผู้หญิงหน้าไหนก็ต้องแสดงออกเพราะความหึงหวงกันทั้งนั้นแหละ รีบไปแต่งตัวเถอะน่า อะไรที่มันเป็นแค่เรื่องจุกจิกก็อย่าคิดมากนักเลยเนห์รู” พูดแล้วร่างระหงก็ลุกจากโซฟา เดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่จะสวมใส่ออกไปข้างนอก เนห์รูส่ายหน้าอย่างนึกเบื่อหน่ายในความใจดีเกินควรของนันดินี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตัวเองเงียบๆ
ราน่าพาสองสาวไปดูโรงทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองยาฮาห์ และพากันเลือกซื้อผ้าเนื้อดีที่มีความงดงามตรงความต้องการกันเสียหลายชิ้น ก่อนจะให้คนงานนำผ้าทั้งหมดส่งไปให้ช่างตัดชุดที่มีฝีมือระดับแนวหน้า โดยมีแบบให้เลือกมากมาย ล้วนแต่หรูหราสมหน้าสมตาทั้งสิ้น เนห์รูที่หน้าบึ้งมาตลอดทางดูจะอารมณ์เบิกบานขึ้นบ้างแล้ว หลังจากที่ราน่าพยายามแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ และยังพาไปเที่ยวต่อตามสถานที่สวยงามต่างๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปจนฟ้ามืด กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ต่างคนต่างก็เพลียมาก จึงตัดสินใจแยกย้ายกับกลับเข้าสู่ห้องนอนทันที
นันดินีรู้สึกสดชื่นขึ้นมากเมื่อได้ผ่อนคลายอยู่ในอ่างน้ำอุ่นนานเกือบยี่สิบนาที การที่มีจาฮีดาคอยนวดเท้าและขัดผิวให้อย่างเอาอกเอาใจ ช่วยให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันหายไปเกือบเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวชโลมครีมบำรุงผิวจนทั่วทั้งตัว ก่อนจะสวมชุดนอนสีขาวที่มีความยาวกรอมให้ตัวเอง จากนั้นก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่หน้ากระจกบานใหญ่ ปล่อยให้จาฮีดาสางผมยาวสวยให้เรียบสลวยตามเดิม
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นสามครั้งติดกันทำให้สาวใช้ส่วนตัวรีบผละออกไปดู เมื่อพบร่างคุ้นตาของชีคหนุ่มยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า จาฮีดาก็รีบย่อกายทำความเคารพ แล้วแยกตัวออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่ ส่วนนันดินียังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองสบสายตากับคนที่เดินเข้ามาในห้องนอนของคนอื่นยามค่ำคืนผ่านทางกระจก เมื่อพบว่าหน้าคมเข้มดูถมึงทึงคล้ายกำลังไม่พอใจบางอย่าง เธอก็ลุกขึ้นแล้วหันมาเผชิญหน้าตรงๆ
“คุณดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เป็นอะไรไปคะ”
“เพราะคุณ” ชากีร์ยัฟตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะฉัน?...อะไรกันคะ วันนี้เราเพิ่งจะได้พบหน้ากัน แล้วฉันไปทำให้คุณอารมณ์เสียตอนไหน” หญิงสาวถามพร้อมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“หลังจากที่ผมประกาศถึงความสัมพันธ์ของเรา ผมก็รีบกลับมาที่นี่เพราะต้องการพบหน้าคุณ แต่มันกลับกลายเป็นว่าคุณออกไปเที่ยวข้างนอกโดยที่ไม่สนใจจะบอกผมก่อนด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มกล่าวพลางขยับแขนที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวขึ้นกอดอกเอาไว้ ดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยความดุดันจ้องมองสาวสวยตรงหน้าไม่ยอมละสายตา
“ฉันขอโทษค่ะที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน” นันดินีก้มหน้าลงมองพื้น ไม่กล้าสบตากับเขาอีก
“นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก คุณสามารถออกไปไหนมาไหนก็ได้ตราบใดที่มีบอดี้การ์ดตามไปอารักขา แต่ประเด็นสำคัญคือการที่คุณออกไปกับราน่า คุณอาจถูกทำร้ายได้นะนันดินี” คราวนี้น้ำเสียงของคนพูดไม่ได้เจือความกรุ่นโกรธอีกต่อไป มีแต่ความห่วงใยเท่านั้นที่ส่งผ่านออกมาให้เธอรับรู้
“คุณหนูราน่าก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำไมคุณถึงคิดอะไรในแง่ร้ายนักคะ” นันดินีเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง
“ใช่ ราน่าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ไฟริษยาในใจเธอไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย คุณไว้ใจคนอื่นมากเกินไป”
“ไม่หรอกค่ะ คุณหนูราน่าเป็นคนเข้ามาบอกเองว่าอยากให้ฉันกับเธออยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง เธอพยายามทำเพื่อคุณนะคะ เธอรักคุณมาก เธอยอมเป็นเพื่อนกับฉันเพราะต้องการให้คุณสบายใจ” หญิงสาวพยายามอธิบาย
