บทที่ ๗ : แผนสามลวงให้หลงใหล 1
เช้านี้อาจดูเงียบเหงาเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นทุกวันในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลราฮัล แต่สำหรับชากีร์ยัฟที่นอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืน ยังคงเดินยิ้มออกมาจากห้องแต่งตัว หลังจากทำการละหมาดที่ห้องละหมาดส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานเพียงใด ชายหนุ่มก็ยังคงเคร่งครัดต่อระเบียบปฏิบัติทางศาสนา ไม่เคยละเลยต่อหน้าที่สำคัญของความเป็นชาวมุสลิม โดยจะทำการละหมาดทั้งสิ้นห้าเวลาในหนึ่งวัน ดังนั้นตามบริษัทแทบทุกที่จึงต้องทำห้องสำหรับละหมาดเอาไว้ด้วยเสมอ
วันนี้เขาไม่ได้สวมสูททางการเพื่อออกไปเจรจาธุรกิจ แต่เลือกที่จะสวมชุดกุรตะสีน้ำเงินเข้ม คาดผ้าสีทองเนื้อดีไว้รอบลำคอ ปล่อยชายของมันให้ทิ้งตัวเรียบอยู่บนบ่าทั้งสอง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นกับการเข้าหารือกับบรรดาผู้อาวุโส แต่มันก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะทันทีที่ทุกคนรับรู้ถึงการมีตัวตนของนันดินี นั่นก็เท่ากับว่าราน่าคือคนที่น่าเห็นใจที่สุด
ชากีร์ยัฟต้องสะกดกลั้นความต้องการพบหน้าคู่หมั้นคนสวยเอาไว้ เพราะการที่นอนไม่หลับเกือบทั้งคืนทำให้เขาตื่นสายจนแทบทำอะไรไม่ทัน โมบารัคห์นำชาร้อนหอมกรุ่นเทใส่แก้วกระเบื้องเคลือบลายสวย แล้วยื่นส่งให้เจ้านายที่นั่งไขว้ขาอยู่ภายในรถลีมูซีนคันหรูด้วยสีหน้าอมยิ้มมีเลศนัย
“ท่านดูอารมณ์ดีกว่าทุกวันนะครับ” คนสนิททักขึ้น
“แน่นอน คู่หมั้นของฉันมาอยู่ด้วยทั้งคนจะให้ทุกข์ร้อนไปทำไม”
“แต่ทุกข์ร้อนไว้หน่อยก็ดีนะครับ เพราะผมว่าตระกูลคานต้องไปพอใจมากแน่”
“กฎก็คือกฎนะโมบารัคห์ ในเมื่อคู่หมั้นตัวจริงของฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็ต้องนำเธอกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม เธอตามหาฉันเพื่อรักษาสัญญาของบรรพบุรุษ นายจะให้ฉันผลักไสไล่ส่งเธอ เพียงเพราะมีราน่ามาแทนที่แล้วงั้นน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก อย่าลืมสิว่าถึงยังไงนันดินีก็มาก่อน ฉันประทับใจเธอมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วนะ” ชากีร์ยัฟอธิบายยาว ก่อนจะยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ทว่าแววตาดูฉุนเฉียวเล็กน้อยที่ถูกคนสนิทขัดความสุข
“ครับผม ผมทราบดีว่าท่านมีความคิดที่สมเหตุผล แต่ถ้าจะให้ดีก็เอาไว้ไปรายงานกับผู้อาวุโสดีกว่า โดยเฉพาะกับท่านมาลิค” โมบารัคห์เตือนแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น นี่ถ้าไม่เห็นว่าสนิทกันจนเปรียบดั่งเพื่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก็คงไม่มานั่งเตือนให้ถูกแขวะกลับอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้แน่
ไม่มีบทสนทนาใดดังขึ้นภายในรถอีก เมื่อสารถีนำรถเข้าจอดภายในสถานที่โอ่อ่าไม่ต่างจากคฤหาสน์ราฮัล สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าสภาผู้อาวุโส ทุกคนในตระกูลราฮัลสามารถเข้ามาพักอาศัยได้ทุกเมื่อ แต่สามารถอาศัยได้อย่างถาวรเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่าหกสิบปีขึ้นไป และไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียใดในชีวิต ที่สภาผู้อาวุโสแห่งนี้ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์และขาวสะอาด วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างทนทานต่อไฟและแรงระเบิด มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเลิศ เวรยามหนาแน่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะไม่ได้มีเพียงแค่บุคคลสำคัญมารวมตัวกันเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เก็บหนังสือโบราณและสิ่งล้ำค่ามากมายที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ชีคหนุ่มก้าวลงมาทันทีที่คนด้านนอกเปิดประตูให้ ชายที่มีชื่อว่าอามูโค้งศีรษะลงต่ำถึงระดับอก เมื่อร่างสูงสง่าก้าวย่างผ่านไปพร้อมกับคนสนิท เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตานิ่งเฉยเสียจนน่ากลัว ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น เหล่าบอดี้การ์ดที่ทำหน้าตามตำแหน่งต่างๆ โค้งคำนับให้ทายาทเพียงของเดียวของชีคซัลมานรุสดิน ราฮัลด้วยความเคารพยิ่ง
เมื่อเข้าไปสู่เขตของห้องโถงที่กว้างใหญ่เรียบร้อยแล้ว ชากีร์ยัฟก็เดินเข้าไปทักทายผู้อาวุโสทั้งสามท่านที่นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว พวกท่านกล่าวอวยพรให้พระเจ้าช่วยดูแลชายหนุ่ม ก่อนจะบอกให้นั่งลงที่โซฟาราคาหลักแปดตัวที่ใหญ่ที่สุดในห้องโถง การเจรจาในครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนก ตกใจ รวมทั้งดีใจให้กับผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านไม่แม้แต่จะเอ่ยค้านเลยสักคำ เพียงแต่ถามอย่างห่วงใยว่าจะจัดการอย่างไรกับราน่า ซึ่งชากีร์ยัฟได้ยืนยันไปแล้วว่าจะรับผิดชอบชีวิตและชื่อเสียงของเธอด้วยการแต่งงาน และยกย่องให้มีสถานภาพเป็นอนุภรรยาเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสทุกท่านต่างก็พึงพอใจกับทางออกนี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก
“แต่น้าคิดว่าเธอควรไตร่ตรองใหม่นะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งชีคคาก็ได้”
มาลิค ซูฮา น้องชายบุญธรรมของอดีตชีคคาเฮม่าค้านขึ้น เขาคือชายวัยห้าสิบปีที่มีแต่ความทระนงตนและทะเยอทะยาน เป็นคนที่มีความคิดและหลักการอันดีเยี่ยม แม้จะไม่ใช่คนในตระกูลราฮัล แต่อดีตชีคซัลมานรุสดินก็ให้ความสำคัญกับน้องชายบุญธรรมของภรรยา ด้วยการยอมให้เข้ามามีส่วนร่วมในสภาผู้อาวุโสได้ ทว่ายังไม่สามารถพาครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างสุขสบาย เพราะอายุยังไม่ถึงกำหนดที่ตั้งไว้
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมคิดว่าผมรู้ว่าขีดความเหมาะสมนั้นดูตรงไหน” ชากีร์ยัฟเอ่ยยิ้มๆ
“น้ารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวผู้ดีมีเกียรติ แต่เธอไปอยู่กับบิดาบุญธรรมที่เมืองไทยมานานหลายสิบปี หลานมั่นใจได้ยังไงว่าเธอจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วก็ยังมีความเหมาะสมกับหลานอยู่” คำพูดที่จงใจดูถูกทำให้คนเป็นหลานสบตาเขม็ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"น้าว่าราน่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ทั้งความงาม เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งต้นตระกูลก็ยังดีกว่าเสียอีกนะชากีร์” มาลิคว่าพลางยกมือขึ้นลูบเคราตรงคาง ผู้อาวุโสกว่าทั้งสามท่านยังคงนิ่งเงียบ เพราะในตอนนี้คนที่ปกครองตระกูลราฮัลอยู่ในฐานะผู้นำก็คือชากีร์ยัฟ คนที่จะตัดสินใจเด็ดขาดก็คือชายหนุ่มเพียงคนเดียว
“ผมอาจจะยังไม่ได้พิสูจน์ แต่ผมก็ยืนยันได้ว่าเธอบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งตัว ท่านน้าได้เห็นเธอแล้วคงไม่พูดออกมาแบบนี้ เพราะถ้าต้องมีการจัดโหวตระหว่างนันดินีกับราน่า ผมว่านันดินีของผมต้องชนะขาดลอยครับ”
“น้าไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงที่สวยกว่าราน่าอยู่บนโลกนี้หรอกนะ” มาลิคหัวเราะในลำคอ
“ตอนแรกอาจไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้วครับ อีกหน่อยท่านน้าคงได้พบเธอเอง” ชายหนุ่มเถียง
“หลานจะคิดยังไงน้าไม่รู้นะชากีร์ แต่อย่างน้อยน่าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตระกูลคานบ้าง หลานไม่รู้หรือไงว่าอาจทำให้เกิดปัญหาทางธุรกิจได้”
“เท่าที่ผมรู้คือตระกูลคานเป็นฝ่ายรับผลประโยชน์จากเราครับ อีกอย่างนี่คือกฎที่ท่านพ่อได้ขอไว้ก่อนสิ้นใจ ไม่ว่ายังไงผมก็จะต้องดูแลลูกสาวของท่านนาวอบซิมรานให้ดี ไม่อย่างนั้นท่านพ่อคงไม่วางใจที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนรักไม่สำเร็จ ท่านน้าอยากให้ท่านพ่อรู้สึกติดค้างงั้นเหรอครับ”
“ชีวิตหลังความตายมันไม่มีจริงหรอก หลานคิดมากเกินไปแล้ว”
“ชีวิตหลังความตายอาจจะไม่มีจริง แต่สัจจะของคนเราจะยังคงอยู่แม้ว่าจะหายใจหรือไม่ก็ตาม” คราวนี้หนึ่งในผู้อาวุโสเป็นคนเอ่ยขึ้นเอง และเป็นเหตุผลให้มาลิคต้องค้อมศีรษะลงรับฟัง และไม่อาจโต้เถียงได้อีกต่อไป
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ” ชากีร์ยัฟค้อมศีรษะให้ผู้อาวุโสเช่นเดียวกัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “เอาเป็นว่าในเมื่อท่านผู้อาวุโสเห็นด้วย ผมก็ขอประกาศไว้ ณ ตรงนี้เลยว่านันดินี บัลลาเดวา...คือคู่หมั้นในวัยเยาว์ของผม ตอนนี้ได้พบเจอตัวเธอแล้ว ผมก็ขอคืนตำแหน่งคู่หมั้นให้กับเธอทันที นับจากวันนี้ไปราน่า ฮามาน คาน จะเปลี่ยนตำแหน่งจากว่าที่คู่หมั้น กลายเป็นว่าที่อนุภรรยาของผม ผมจะมีเธอเป็นอนุเพียงคนแรกและคนเดียว เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอ แต่ทั้งนี้จะอยู่ภายใต้ข้อแม้ที่ว่า...ราน่าจะต้องยอมรับในสิ่งที่ผมตัดสินใจอย่างไร้การโต้ตอบที่รุนแรง อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลราฮัล” สิ้นสุดการประกาศนี้ ชายที่นั่งทำหน้าที่ผู้บันทึกข่าวสารการประชุมอยู่ไม่ไกลก็นำเอกสารที่บันทึกไว้อย่างครบถ้วน มาส่งให้ชีคหนุ่มตรวจทาน แล้วลงชื่อกำกับว่าข้อความทั้งหมดคือความเป็นจริง เมื่อผู้อาวุโสทั้งสามท่านลงชื่อเป็นพยานเรียบร้อย ชายคนนั้นก็นำเอกสารออกไปเผยแพร่ให้ทราบทั่วกัน โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากชีคหนุ่ม
เมื่อบอกลาผู้อาวุโสรวมทั้งทุกคนที่เข้าร่วมการรับฟังแล้ว ชากีร์ยัฟก็เดินลิ่วออกมาข้างนอกโดยมีโมบารัคห์ตามประกบข้างกายตลอด มาลิครีบพาร่างอ้วนท้วมเดินกึ่งวิ่งตามหลานชายต่างสายเลือดออกมา ก่อนจะตะโกนเรียกให้หยุดเดินเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนชากีร์!”
“มีอะไรอีกครับ” คนถามชะลอฝีเท้าลง ก่อนหันมาถามอย่างไม่เข้าใจ
“แน่ใจแล้วเหรอเรื่องคู่หมั้น”
“แน่ใจมากและได้ประกาศเป็นทางการออกไปแล้วครับ ท่านน้าควรเปิดใจให้กว้างหน่อยนะ ผมรู้ว่าธุรกิจเพชรของท่านน้าต้องอาศัยบารมีของตระกูลคานเพื่อเจาะตลาดที่ประเทศดูไบ แต่ผมว่าถ้าลองทำอะไรด้วยตัวเองให้มากกว่านี้ ผลสำเร็จจะคุ้มกว่ากันนะครับ” ชายหนุ่มหรี่ตาแล้วพูดอย่างรู้ทัน ทำเอาคนเป็นน้าถึงกับหน้าถอดสี
“นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของน้าหรอกน่า น้าแค่ห่วงกลัวว่าจะถูกหลอกเอา”
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ถ้าไม่อายผมคงนึกอยากเขียนคำว่าผมโตแล้วไว้ที่หน้าผากเหลือเกิน”
“อย่าประชดกันสิ ถ้าน้าไม่ห่วงคงไม่เดือดร้อนแทนหรอก หลานเองก็รู้นี่ว่ามิจฉาชีพมันมากันได้ทุกรูปแบบ”
“ผมรู้ดีเชียวล่ะ เพราะแม้แต่ญาติพี่น้องก็ยังกลายเป็นมิจฉาชีพหวังแย่งชิงผลประโยชน์กันได้ลงคอ ดีนะครับที่ท่านน้าเป็นน้าชายที่หวังดีกับผมเสมอ ผมถึงได้อุ่นใจแบบนี้” คำพูดพวกนี้ต่างหากที่ชากีร์ยัฟเรียกมันว่าประชด โมบารัคห์ต้องกลั้นยิ้มแทบตาย เพราะถ้อยคำแต่ละคำของชีคหนุ่มเล่นทำเอามาลิคถึงกับเหงื่อตก
แม้จะมีประสบการณ์ทางด้านการใช้ชีวิตมาน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชากีร์ยัฟจะโง่จนดูไม่ออกว่ามาลิคจ้องจะแย่งชิงทุกอย่างไปจากเขาเสมอ เคยแม้กระทั่งจ้างคนมาลอบสังหาร ครั้งนั้นเขาแกล้งทำเป็นเชื่อว่ามันคืออุบัติเหตุ แต่ถ้ามีครั้งต่อไปเขาก็พร้อมที่จะลงโทษอย่างสาสม มาลิคคงรู้กระมังว่าเขาเป็นคนเด็ดขาด จากนั้นมาถึงได้ไม่กล้าใช้แผนสกปรกอะไรอีก นอกจากส่งหญิงงามจากทั่วทุกเมืองมาให้ดูตัว หวังว่าจะได้ใช้พวกเธอเป็นสะพานสู่ความสำเร็จ
สำหรับตระกูลคานเองก็เช่นกัน...มาลิคจะต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงอีกตามเคย
“เอาเถอะ วันนี้น้ามีงานต้องทำก่อน คงต้องขอตัว” ชายอ้วนบอกลาพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่ออกจากข้างแก้ม
“ขอพระเจ้าอวยพรครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ส่วนโมบารัคห์ก้มต่ำในระดับอก
“เช่นกันหลานรัก อ้อ...จริงสิ น้าจำได้ว่าแม่ของหลานเคยถามถึงของหมั้น กำไลเพชรสีชมพูที่หมั้นหมายผู้หญิงคนนั้นไว้ตอนยังเด็ก มันราคาสูงมากและมีเพียงแค่ชิ้นเดียวบนโลกนี้เท่านั้นนะ ว่าแต่เธอได้สวมมันไว้หรือเปล่า โตเป็นสาวแล้วคงจะใส่ได้พอดีเชียว นี่เธอได้เอาให้หลานดูหรือยัง แต่ถ้ายัง...ก็ระวังจะเจอคู่หมั้นตัวปลอมนะ” ชายสูงวัยถามเหมือนต้องการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในความคิด
“ต้องมีสิครับ แต่เธอคงแค่ยังไม่ได้ใส่ เพราะแหวนมรกตที่ทางตระกูลบัลลาเดวามอบให้ผมมา ผมเองก็ยังไม่สนใจเลย เพิ่งจะได้หยิบมาสวมก็วันนี้เอง” ชากีร์ยัฟชูมือตัวเองขึ้นเพื่อโชว์แหวนเพชรที่มีมูลค่านับร้อยล้านให้ผู้เป็นน้าได้เห็น มาลิคพยักหน้ารับรู้อย่างเสียมิได้ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ชีคหนุ่มเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ตอนนี้เอง เท่าที่นึกดูแล้วเขาไม่เห็นนันดินีสวมกำไลที่ข้อมือเลยสักข้าง ส่วนที่พูดไปว่าเพิ่งนำแหวนมาสวมในวันนี้ ทุกคนที่ได้พบเขาทุกวันย่อมรู้ดีว่ามันเป็นแค่การโกหก เพราะความจริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วเลย นับตั้งแต่ได้มันมาจากท่านนาวอบซิมราน เขาสวมใส่มันมาตั้งแต่ยังหลวมโพรง ทว่าตอนนี้พอดีเสียจนไม่ต้องห่วงว่าจะหลุดร่วงหายไปไหนอีกแล้ว
“ผมว่าเราควรถามเรื่องกำไลนะครับ เพราะของหมั้นมักต้องนำติดตัวเสมอ ถ้าเธอใช่นันดินีตัวจริง เธอจะต้องบอกได้ว่ากำไลอยู่ที่ไหน” โมบารัคห์แสดงความเห็นบ้าง
“แต่ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก บางทีอาจจะทำหายตอนที่ถูกปล้นก็ได้นะ” ชากีร์ยัฟพยายามคิดในแง่ดี
“หรือไม่ก็อาจจะถูกเก็บไว้ที่พ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ได้ครับ” คนสนิทเอ่ยสนับสนุนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาจะถนัดแต่การค้านขัดคอเจ้านายเท่านั้น
“วันนี้นายค่อยเหมาะที่จะเป็นคนสนิทของฉันขึ้นมาหน่อย” ชีคหนุ่มหันมายิ้มกว้าง “เอาเถอะโมบารัคห์ เรื่องกำไลเดี๋ยวฉันจะถามนันดินีเอง แล้วไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง ฉันก็จะแต่งงานกับเธอให้ได้อย่างที่พูดไว้ให้ได้” พูดจบร่างกำยำในชุดกุรตะสีน้ำเงินสวยก็ก้าวตรงไปที่รถโดยไม่รอช้าอีก
