บทที่ ๖ : แผนสองลวงให้เชื่อใจ 1
ราน่านึกอยากบุกเข้าไปอาละวาดนันดินีถึงในห้องนอน แต่ชากีร์ยัฟรู้ทันจึงสั่งให้สาวใช้จาฮีดามาทำหน้าเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเวลา คืนนี้เนห์รูเองก็ไม่รู้สึกอุ่นใจพอที่จะนอนคนเดียว พอตกดึกจึงเดินออกจากห้องเพื่อมาขอพบพี่สาว จาฮีดายิ้มให้อย่างมีไมตรี แต่ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ลอบสังเกตพฤติกรรมของสองสาวไปในตัว
“นอนไม่หลับเหรอเนห์รู เหมือนฉันเลย” นันดินีอาบน้ำและอยู่ในชุดนอนแล้ว แต่ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาหรู ไม่ได้ขึ้นเตียงไปพักผ่อนอย่างที่ควรทำ
“ใครจะหลับลงกันล่ะ เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน เธอรู้ได้ยังไงว่าชีคชากีร์ยัฟคือคู่หมั้นของเธอ แล้วทำไมเขาถึงโผล่มาที่ตรอกบ้าๆ นั่นทันเวลาพอดี” เนห์รูถามทันทีที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน
“ดารัมดาสเป็นคนจัดฉากทุกอย่างขึ้นเอง เขาให้สายสืบตรวจสอบมาแล้วว่าวันนี้ท่านชีคมีนัดสำคัญที่ไหน ปรากฏว่าก็ใกล้ๆ ตรอกนั่นแหละ พอถึงเวลาที่คาดว่าจะตรงกันก็นัดหมายให้พวกโจรกระจอกออกมาสร้างสถานการณ์ทำร้ายเรา” นันดินีไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีก
“ไม่ใช่เราเลยนันนี่ เธอเจ็บตัวคนเดียวนะงานนี้ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันจริงจังด้วย”
“ก็ถ้าไม่ทำจริงมันก็ไม่สมจริงน่ะสิ”
“ตกลงนี่สรุปว่าเธอรู้มานานแค่ไหนแล้วว่าท่านชีคคือคู่หมั้นของเธอ”
“ดารัมดาสบอกว่าคนที่จะยื่นมือเข้าช่วยฉันจะต้องเป็นคู่หมั้นของฉันเท่านั้น ไอ้โจรบ้านั่นมันคงมั่นใจแหละว่าจะไม่มีใครมาผิดคิว ส่วนตัวฉันก็เพิ่งรู้จากปากชีคชากีร์ยัฟเองว่าตัวเขาเป็นใคร จะว่าไปก็ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าฉันจะมีวาสนาได้เป็นถึงคู่หมั้นคู่หมายของท่านชีคสูงศักดิ์แบบนี้” นันดินีดูจะกลุ้มใจมากกว่าจะนึกพึงพอใจ ให้หลอกลวงคนธรรมดายังไม่รู้สึกผิดมากเท่ากับการต้องลอบทำร้ายคนที่มีอำนาจบารมีมากมาย นี่ถ้าหากเจ้าตัวรู้ว่าถูกลูบคมเมื่อไร ชะตาชีวิตของเธอกับเนห์รูคงมืดมนเกินบรรยาย
“เธอเองก็ใช่ย่อยที่ไหน เป็นถึงลูกสาวท่านนาวอบกับท่านหญิงสูงศักดิ์เชียวนะ...เอาน่านันนี่ ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดมาก แต่ฉันจะอยู่ข้างเธอนะ เราจะผ่านมันไปด้วยกันจ้ะ” น้องสาวต่างสายเลือดยิ้มให้กำลังใจ โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดต่างกัน ทันทีที่มีโอกาสนันดินีจะผลักไสเนห์รูให้ออกห่างจากแผนชั่วนี้ให้มากที่สุด เพราะหากถึงวันที่ความจริงปรากฏ เธอจะได้เป็นคนรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เออ จริงสิ...ฉันลืมบอกไปว่าสาวใช้หน้าห้องเราคือจาฮีดา เวลาทำอะไรต้องระวังด้วยนะ” คราวนี้เนห์รูโน้มตัวมากระซิบข้างหูให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“มิน่าล่ะถึงได้มองฉันแปลกๆ ที่แท้คงลอบสังเกตแล้วเอาไปรายงานดารัมดาสนี่เอง”
“ปล่อยให้จาฮีดาทำตามหน้าที่ไปเถอะ เราเองก็ควรทำหน้าที่ของเราด้วยความระมัดระวังด้วย แล้วนี่เธอคิดไว้หรือยังว่าจะทำยังไงต่อไป ดูท่าท่านชีคจะพอใจเธอมากๆ เลยนะนันนี่ แววตาที่เขามองเธอเหมือนราชสีห์ที่จ้องจะตะครุบเหยื่อไม่มีผิดเลย” คนพูดทำหน้าเพ้อฝันเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาราวกับปั้นแต่งของชีคหนุ่ม
“ฉันยังไม่มีแผนอะไรหรอก แต่ที่แน่ๆ ฉันจะใช้ความสาวความสวยให้เป็นประโยชน์” ดวงตาของนันดินีดูแน่วแน่จนเกือบกลายเป็นแข็งกระด้าง
“เธอคงไม่ได้หมายถึงการเอาตัวเข้าแลกหรอกใช่ไหม!” เนห์รู้ถามด้วยความตื่นตกใจ
“มันก็ไม่แน่หรอกเนห์รู ถ้ามันอับจนหนทางจริงๆ ฉันอาจจะต้องเสียสละตัวเองเพื่อรักษาชีวิตพ่อก็ได้ พ่อเลี้ยงฉันมาตั้งแต่ยังเล็ก ถึงจะไม่ใช่พ่อที่แท้จริง แต่ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาทำร้ายพ่อแน่ๆ แม่ศศธรเองก็จะต้องไม่โชคร้ายเพราะสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้โจรชั่วนั่นทำร้ายคนที่ฉันรักเด็ดขาด”
“แล้วถ้าวันหนึ่ง...เธอเกิดหลงรักคู่หมั้นของเธอเข้าล่ะนันนี่ เธอจะไม่ลำบากใจเหรอที่ต้องทรยศเขา” คำถามนี้ไม่ต่างไปจากมีดที่กรีดลงกลางหัวใจ เพียงแค่ชื่นชมประทับใจยังทำให้รู้สึกเจ็บจุกในอกถึงเพียงนี้ นี่ถ้าวันหนึ่งมันกลายเป็นความรักขึ้นมาจริงๆ นันดินีคงไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการกับมันยังไง
“ฉันจะพยายามไม่รักเขา แม้ว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะรักก็ตาม” ใบหน้างามสลดวูบลง
“เฮ้อ ทำไมชีวิตเราถึงเฮงซวยแบบนี้นะ อุตส่าห์ไปเริ่มชีวิตใหม่ถึงเมืองไทย ชะตากรรมบ้าบอพวกนี้มันก็ยังตามไปดึงเรากลับมาที่นี่ได้อีก”
“ช่างมันเถอะเนห์รู ต่อไปนี้ฉันไม่อยากให้เราโทษชะตากรรมอะไรอีก แค่ทำทุกวันให้มีค่าก็พอ ฉันอยากให้เรื่องนี้มันจบไปให้เร็วที่สุด ยิ่งยืดเยื้อชีวิตของพ่อกับแม่ก็จะยิ่งอันตราย” นันดินีว่าพลางถอนหายใจ ยังไม่ทันที่เนห์รูจะได้พูดต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
สองสาวหันไปมองประตูบานใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน พบร่างสูงกำยำในชุดกูรตะสีขาวที่นิยมใส่เวลาเข้านอนยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ก้าวล่วงเข้าสู่เขตของห้องนอน เพราะเป็นการให้เกียรติสุภาพสตรีตามแบบที่บุรุษควรทำ ทางด้านหลังมีโมบารัคห์ติดตามมาด้วย เรียกได้ว่าเป็นเงาที่ไม่เคยห่างกายเจ้านายเลย ยกเว้นเวลาเข้านอนหรือทำธุระส่วนตัวเท่านั้น
“คิดแล้วเชียวว่าคงนอนไม่หลับ” ชากีร์ยัฟเอ่ยขณะมองดูนันดินีลุกจากโซฟา แล้วเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างๆ ไม่ว่าหญิงสาวจะทำอะไร ทุกอิริยาบถของเธอก็ล้วนดูงดงามในสายตาเขาไปเสียทุกอย่าง นับตั้งแต่เติบโตสมชายชาตรี เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมรักใครได้มากถึงขนาดนี้ จากการครุ่นคิดมาตลอดช่วงหัวค่ำ ทำให้รู้เสียทีว่าชากีร์ยัฟตกหลุมรักเธอเข้าเสียแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันคิดว่าพวกคุณเข้านอนแล้วเสียอีก” นันดินีถามโดยไม่กล้าสบตา
“ผมนอนไม่หลับก็เลยตั้งใจจะมาชวนคุณลงไปเดินเล่นที่สวน เอาผ้าคลุมไหล่ไปด้วยนะครับ อากาศข้างนอกหนาวไม่ใช่เล่นเลยล่ะ” ชายหนุ่มไม่รอให้หญิงสาวปฏิเสธด้วยซ้ำ แน่นอนว่าต่อให้เขาเปิดโอกาส เธอก็จะไม่ปฏิเสธให้เสียเปล่าเหมือนกัน
“ก็ได้ค่ะ” นันดินีพูดพร้อมรวบรวมความกล้าเพื่อให้ตัวเองสบตากับชายหนุ่มตรงๆ แล้วหันมาถามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ไปด้วยกันสิเนห์รู”
“ไม่ดีกว่าจ้ะ เธอก็รู้นี่นาว่าฉันไม่ชอบอากาศช่วงกลางคืน” เนห์รูเข้าใจดีว่าควรเปิดโอกาสให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันให้มาก ฉะนั้นเธอก็ควรกำจัดตัวเองออกให้พ้นทาง รวมทั้งคนสนิทหน้าขรึมด้วยอีกคน “จริงสิ ที่นี่มีห้องสมุดไหมคะคุณโมบารัคห์”
“มีห้องสมุดอยู่ทั้งสามชั้นในคฤหาสน์ครับ มีอะไรหรือเปล่า” โมบารัคห์เลิกคิ้วสูง
“จะเป็นอะไรไหมคะถ้าฉันอยากให้คุณช่วยอำนวยความสะดวกหน่อย นอนไม่หลับแบบนี้ถ้าได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่มคงช่วยให้เบาสมองไปได้เยอะเลย ไม่ทราบว่าท่านจะว่าอะไรหรือเปล่าคะ ถ้าฉันจะขอยืมตัวคุณโมบารัคห์ชั่วคราว” เนห์รูพูดกับหนุ่มหน้าเข้ม แล้วหันมาถามความเห็นของชากีร์ยัฟบ้าง
“ตามสบายเลย โมบารัคห์จะช่วยดูแลคุณเอง” ชีคหนุ่มสนับสนุนทันทีเพราะไม่อยากได้มือที่สามนักเหมือนกัน ไม่มีโมบารัคห์คอยเดินตามสักคน เขาคงรู้สึกมีอิสระมากขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
“แต่ผม...” คนถูกผลักไสขยับจะค้าน
“เชิญค่ะคุณโมบารัคห์ ไปกันเลยดีกว่า” เนห์รูตัดบทแล้วเดินนำออกจากห้องไปทันที ซึ่งมันก็เท่ากับกระตุ้นให้โมบารัคห์ต้องรีบเดินตามไปอย่างเสียมิได้
ชากีร์ยัฟยืนกอดอกมองนันดินีอย่างเปิดเผย ทำเอาคนสวยร้อนวูบวาบไปทั่วดวงหน้า ต้องรีบแสร้งเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ที่วางอยู่บนโซฟามาถือไว้ ชายหนุ่มมองไปที่เตียงนอนแล้วลอบยิ้มกับตัวเอง หากสามารถทำอะไรตามใจชอบโดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง เขาคงเดินเข้าไปข้างใน ปิดประตูลงแล้วล็อกให้แน่นหนา จากนั้นก็รวบตัวเธอขึ้นไปกกกอดอยู่บนเตียงไปแล้ว
รสจูบบางเบาที่เกิดขึ้นไปเมื่อช่วงค่ำทำให้หัวใจคนหนุ่มกระชุ่มกระชวยไม่สร่างซา และยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีกเมื่อคู่หมั้นคนสวยไม่ตัดไมตรีหลังจากถูกเอาเปรียบ การที่นันดินียอมลงไปเดินเล่นที่สวนด้วยกัน ถือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอเองก็พึงพอใจเขา คิดแล้วก็ภาวนาอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ เพราะทันทีที่ผู้อาวุโสรับรู้ถึงการมีตัวตนของคู่หมั้นที่หายไปนานหลายสิบปี เขาก็จะขอให้หาฤกษ์ยามเตรียมจัดพิธีวิวาห์เสียเลย
“ยิ้มอะไรคะ” เสียงหวานใสดึงให้คนตัวโตตื่นจากภวังค์
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าตอนที่คุณไม่แต่งหน้าเลย มันดูสวยธรรมชาติเหลือเกิน” ชีคหนุ่มยิ้มเย้าเพราะอยากเห็นพวงแก้มแดงปลั่งของหญิงสาว แน่นอนว่าคนขี้อายอย่างนันดินีทำให้เขาสมหวังตั้งแต่จ้องหน้ากันแล้ว
“ไปเถอะค่ะ ไม่งั้นฉันอาจจะอยากเข้านอนก่อนก็ได้” พูดแล้วเจ้าของร่างระหงสมส่วนก็เดินออกจากห้องไป ไม่สนใจหันกลับมามองพ่อคนปากหวานที่เดินตามมาติดๆ เลยสักนิด
สาวใช้พากันย่อกายและค้อมศีรษะให้นันดินีและชากีร์ยัฟมาตลอดทาง แม้จะออกไปสู่เขตสวนแล้วก็ยังมีบอดี้การ์ดมากมายคอยประจำการอยู่ตรงจุดต่างๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ชีคหนุ่มอย่างเข้มงวด ความอึดอัดนี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกนัก เพราะเมื่อครั้งที่ยังเยาว์วัย บุพการีของเธอก็สั่งให้สาวใช้และบอดี้การ์ดคอยติดตามแทบทุกฝีก้าวเช่นกัน หลังจากที่เศรษฐีวาฮิดพูดถึงเรื่องพวกโจรชั่วบุกปล้นฆ่าชาวเมืองขึ้นมาอีกครั้ง นันดินีจึงจำได้ว่ามีกี่สิบชีวิตที่ยอมตายเพื่อปกป้องเธอ เธอตั้งใจว่าหากมีโอกาสได้ไปทำบุญ เธอจะไม่ลืมกล่าวขอบคุณพวกเขา
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” ชากีร์ยัฟถามเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าคนข้างตัวดูหม่นเศร้า
