บทที่ ๕ : แผนแรกลวงให้รับรู้ 2
“ไม่จำเป็นต้องปล่อย เพราะคู่หมั้นของคุณนั่งอยู่ตรงหน้าคุณแล้วนี่ไง” ชีคหนุ่มยังคงยิ้มกว้างเช่นเดิม
“อะไรนะคะ นี่มันหมายความว่า...”
“ผมคือผู้ชายที่คุณตามหา ผมเป็นลูกชายคนเดียวในตระกูลราฮัล...ชากีร์ยัฟ ซัลมานรุสดิน ราฮัล คู่หมั้นตัวจริงของคุณเพียงคนเดียว” ถ้อยคำยืนยันที่ออกมาจากปากรูปกระจับทำให้นันดีนีพูดไม่ออก น้ำตาคลอรื้นขึ้นมาในทันทีที่คิดว่าเธอปรากฏตัวมาในครั้งนี้เพื่อหลอกลวงและทำร้ายเขา
ผู้ชายรูปงามที่มีหัวใจงดงามยิ่งกว่ายิ่งใด...
“ชีคชากีร์ยัฟ ซัลมานรุสดิน ราฮัล” เธอทวนชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ใช่ครับ ผมเอง”
“ฉันไม่ยักรู้นะคะว่า...คู่หมั้นของฉันจะเป็นชาวมุสลิม” นันดินียิ้มทั้งน้ำตา
“ถ้างั้นคุณก็ไม่ควรลืมด้วยว่าพ่อแม่คุณกับพ่อแม่ผมก็แต่งงานต่างศาสนากันเหมือนกัน เพราะแบบนี้ยังไงล่ะเราถึงหมั้นหมายกันได้ตั้งแต่เล็กโดยไม่มีปัญหา การที่คนเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนาหรือความเห็นจากพระเจ้า ขอแค่หัวใจสองดวงปรารถนาที่จะเติมเต็มให้กันก็พอ” ชีคหนุ่มอธิบาย พร้อมยื่นมือไปเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล
ราน่าที่เดินตามเข้ามาชะงักฝีเท้าลงทันทีที่เห็นว่าที่คู่หมั้นกับหญิงแปลกหน้านั่งกุมมือกันอยู่บนเตียง โมบารัคห์ลอบผ่อนลมหายใจออกทางปาก เพราะตอนนี้เริ่มมองเห็นศึกชิงชีคหนุ่มขึ้นมาลางๆ เสียแล้ว นันดินีดูนิ่งเงียบไร้พิษสง แต่ราน่านี่ไม่ธรรมดาเลย เธอสามารถทำลายได้ทุกอย่าง หากมันจะทำให้เธอได้ครอบครองชากีร์ยัฟแต่เพียงผู้เดียว
“นี่มันอะไรกัน!”
“ราน่า” ชายหนุ่มหันมามอง แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากนันดินี
“ว่าที่คู่หมั้นยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ คุณยังไม่ยอมปล่อยมือมันอีกเหรอ!” ราน่ากำมือแน่น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตากรุ่นโกรธ เหมือนดั่งลาวาที่พร้อมจะประทุออกมาทำลายล้างทุกสิ่งเบื้องหน้าให้ย่อยยับ
เหมือนความอดทนที่มักจะถูกอีกฝ่ายยกตนข่มอยู่ตลอดจะขาดสะบั้นลง ชากีร์ยัฟประคองนันดินีลงจากเตียง วาดแขนโอบรอบเอวเธออย่างสนิทสนม จ้องมองราน่าด้วยสายตาจริงจัง ก่อนตัดสินใจบอกความจริงว่าในตอนนี้ เขาได้พบตัวคู่หมั้นที่หายสาบสูญแล้ว
“ผู้หญิงคนนี้จะอยู่ที่นี่...ในฐานะคู่หมั้นตัวจริงของผม”
“อะไรนะคะ!” ราน่าหน้าซีดเผือด
“ท่านครับ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ” โมบารัคห์เตือนเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา
“แล้วคนอย่างฉันล้อเล่นกับชีวิตบ่อยนักเหรอโมบารัคห์ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ แต่ฉันเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เองว่านันดินีคือลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านนาวอบซิมรานกับท่านหญิงปาราวตี นายได้ยินแบบนี้คงรู้แล้วสินะว่าเธอมีความหมายยังไงกับฉัน” ชายหนุ่มชี้แจงด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“มันโกหก! มันคงสืบข้อมูลมาเพื่อหลอกลวงคุณ” ราน่าค้านทันควัน
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ นอกจากครอบครัวของผมและเธอ คุณเองก็เพิ่งรู้เรื่องคู่หมั้นที่หายตัวไปของผมจากโมบารัคห์เมื่อไม่นานมานี้เองนี่ราน่า แล้วนันดินีจะไปหาข้อมูลที่ไหนมาหลอกลวงผมได้” ได้ยินแบบนี้นันดินีก็ชักอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้วว่าดารัมดาสรู้ข้อมูลพวกนี้มาได้อย่างไร
“คุณมันเชื่อคนง่าย คุณมันโง่มากชากีร์!”
“หุบปากซะไม่งั้นผมจะตัดลิ้นคุณ!” ชีคหนุ่มตวาดกลับไปบ้าง “ผมเป็นถึงชีคปกครองเมือง คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้าดีมาต่อว่าผมแบบนี้ ที่ผ่านมาผมพยายามเห็นแก่พ่อของคุณมาตลอด แต่ถ้าคุณยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ผมจะเขี่ยคุณออกไปจากชีวิตของผมเดี๋ยวนี้เลย”
“ฮึ! ตอนนี้คุณก็เขี่ยฉันออกจากชีวิตคุณแล้วนี่” ราน่าตัดพ้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ยังหรอกราน่า ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่า ผมจะให้คุณอยู่ในฐานะภรรยารอง...เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเรา วันพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปคุยกับผู้อาวุโสเพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงนี้” ชากีร์ยัฟประกาศชัดเจน ความจริงข้อนี้ทำให้ราน่าหอบหายใจแรงด้วยความเสียใจ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องพักชั่วคราวของนันดินีไปทันที
ความเงียบที่น่าอึดอัดลอยตัวเข้ามาปกคลุมภายในห้องถูกทำลายลงเมื่อเนห์รูเดินเข้ามา เธอเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง โมบารัคห์เหลือบมองสาวน้อยผิวสวยแล้วถอนหายใจ ในเมื่อนันดินีคือคู่หมั้นที่แท้จริงของเจ้านาย เธอก็ไม่ต่างไปจากท่านหญิงของเขาด้วยเหมือนกัน แม้ชากีร์ยัฟจะเชื่อหมดใจ แต่ในฐานะคนสนิทก็จำเป็นต้องแน่ใจกว่านี้เสียหน่อย
“ตามผมมานี่” โมบารัคห์หันมาพูดกับเนห์รู ก่อนจะเดินนำออกไปข้างนอก
ตอนแรกเนห์รูก็ไม่รู้ว่าควรตามไปหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นสายตาของนันดินีที่บอกเป็นนัยว่าควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายซักเสียให้หมดเปลือก หญิงสาวจึงยอมเดินตามออกมา ร่างสูงในชุดสูททางการยืนหันหลังให้อยู่กลางห้องโถงใหญ่ เมื่อรู้ว่าเธอตามออกมาแล้ว เขาถึงได้ยอมหันกลับมาพูดด้วย
“คงจะไม่เป็นการเสียมารยาทนะครับ ถ้าผมจะขอถามอะไรเพิ่มเติม”
“คุณเสียมารยาทจนฉันชินแล้วล่ะคะ ว่าแต่จะถามอะไรล่ะ” เนห์รูยอกย้อน
“ผมกับเจ้านายของผมเพิ่งทราบว่าคุณนันดินีคือคู่หมั้นที่หายตัวไปอยู่ที่เมืองไทยนานหลายปี คุณบอกมาหน่อยได้ไหมว่าพ่อแม่บุญธรรมของคุณชื่ออะไร แล้วคุณเองเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณนันดินีหรือเปล่า” โมบารัคห์รู้มาตลอดว่านาวอบซิมรานมีลูกสาวเพียงคนเดียว เขาจึงต้องการถามให้แน่ใจ
“พ่อแม่บุญธรรมของพวกฉันเศรษฐีวาฮิด อติฟาห์กับคุณแม่ศศธร แล้วฉันก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของนันดินีหรอก แต่เราสองคนรักกันเหมือนพี่น้อง คุณจะถามไปทำไม” หญิงสาวย้อนถามบ้าง
“แล้วทำไมพวกคุณถึงมาตามหาคู่หมั้นที่หายเงียบไปนานหลายปีเอาตอนนี้ ก่อนหน้านี้พวกคุณมัวทำอะไรอยู่” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม แต่ยังคงเป็นฝ่ายถามต่อไป
“ฟังนะคุณ ก่อนหน้านี้พวกฉันก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่หรอก แค่เรียนอยู่แล้วก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัว แต่หลังจากเรียนจบ คุณพ่อก็มีคำสั่งให้นันนี่แต่งงาน เอ่อ...หมายถึงให้มาตามหาคู่หมั้นที่ประเทศฮัรดิสถานน่ะ พวกฉันสองคนก็เลยมาที่นี่” เนห์รูรู้ดีว่าต้องพูดอย่างไรเพื่อให้ผู้ชายหน้านิ่งคนนี้ยอมไว้ใจพวกเธอ
“มาแบบไร้จุดหมายเนี่ยนะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก พ่อบุญธรรมแค่บอกผิดในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็นึกได้ว่าคู่หมั้นของนันนี่เป็นชาวเมืองยาฮาห์ ตอนแรกฉันกับนันนี่ท้อใจมากเลยนะ แต่พ่อของเราอายุมากแล้ว มันก็ต้องมีหลงลืมกันบ้าง” หญิงสาวแสร้งทำหน้ากังวล เมื่อเอ่ยถึงบิดา
“สรุปว่าที่พวกเราเจอกันมันคือความบังเอิญล้วนๆ สินะ” โมบารัคห์เริ่มเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องระแวงสองสาวอีกแล้ว บางทีเขาอาจจะคิดมากจนเกินไปก็ได้ แต่ช่วยไม่ได้จริงที่สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีข่าวออกมาว่ากองโจรดาวาร์ดูเงียบไปจนผิดวิสัย
“บางทีอาจเป็นลิขิตของพระเจ้าก็ได้นะคุณ”
“ลิขิตของพระเจ้างั้นเหรอ” โมบารัคห์ถามซ้ำ
“ใช่แล้วโมบี้ คุณคงไม่เชื่อ แต่ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวเรากำหนดเสมอไปหรอกนะคะ” เนห์รูยิ้มกวนประสาท แต่ในคำพูดของเธอเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไรก็ตาม มันไม่ได้เกิดจากความต้องการส่วนตัว แต่มันคือความจำเป็นที่ต้องทำ
“โมบี้?...เฮ้! ผมชื่อโมบารัคห์นะ กรุณาเรียกผมว่าโมบารัคห์เท่านั้น” ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกประหลาด ชื่อเล่นพวกนี้หากไม่ใช่คนในครอบครัวหรือพ่อแม่ ไม่มีใครกล้าใช้กับเขาหรอก แล้วสาวน้อยตากลมนี่กล้าดียังไงกันถึงมาเรียกด้วยชื่อย่อตามอำเภอใจแบบนี้
“เอาน่าโมบี้ เราคงต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอีกนาน เป็นมิตรกันไว้เถอะ” หญิงสาวทำหน้าเป็น พร้อมยื่นมือเล็กออกมาหวังจะทักทายแบบสากล แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือออกมาสัมผัส ทำให้เนห์รูต้องจัดการด้วยการเอื้อมมือไปดึงมือเขาแล้วบีบแน่น
“ฉันเนห์รู ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ คิดเสียว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำความเดือดร้อนให้คุณ แต่คุณเองก็ต้องเลิกระแวงพวกฉันได้แล้ว อ๋อ อีกอย่าง...ไอ้หนวดเครารุงรังนั่นน่ะ ถ้าคุณโกนออกบ้างคุณคงจะหล่อลากเลยล่ะค่ะ” พูดจบเนห์รูก็ปล่อยมืออุ่นให้หลุดออกไปอยู่ข้างตัวอย่างเดิม ส่งยิ้มเป็นมิตรให้หวังว่าจะตีสนิทกับคนสำคัญของชีคหนุ่ม
โมบารัคห์ถึงกับพูดไม่ออกกับความดื้อด้านของอีกฝ่าย โชคดีที่สาวใช้คนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เขาถึงได้มีโอกาสเลี่ยงที่จะต่อกรกับแม่สาวกล้าหาญผิดวิสัยสตรีคนนี้ต่อไป ชายหนุ่มกระดิกนิ้วชี้เป็นเชิงเรียกให้สาวใช้คนนั้นเข้ามาหา ก่อนจะมีคำสั่งให้พาแขกสาวขึ้นไปพักผ่อนในส่วนของปีกซ้ายภายในคฤหาสน์แห่งนี้
“ช่วยจัดการเรื่องห้องพักให้แขกของท่านชีคด้วยนะ จัดให้อยู่ปีกซ้ายของชั้นสามอย่างสมเกียรติ เพราะคุณนันดินีคือคู่หมั้นของชีคแห่งยาฮาห์ ส่วนนี่คุณเนห์รู...เป็นน้องสาวต่างบิดามารดาของคุณนันดินี” ชายหนุ่มแนะนำให้สาวใช้ได้รู้จัก ก่อนจะหันมาบอกกับเนห์รูด้วยเช่นกัน “ส่วนนี่จาฮีดา สาวใช้ที่อยู่กับเรามานานเกือบสองปีแล้ว เธอไว้ใจได้ ถ้ามีอะไรก็เรียกใช้เธอได้ทุกเวลาเลยนะครับ”
“จาฮีดา...ฝากด้วยนะจ๊ะ ฉันกับพี่สาวคงต้องรบกวนเธอบ่อยๆ แล้วล่ะ” สีหน้าของเนห์รูดูนิ่งไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อของจาฮีดาเต็มสองหู แต่แล้วก็ยิ้มออกมาอีกครั้งและทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง ช่างน่าเห็นใจพ่อคนช่างจับผิดอย่างโมบารัคห์นัก มีงูพิษวนเวียนอยู่ใกล้ตัวแท้ๆ แต่ยังมองข้ามไปแล้วกล้าพูดอีกว่าสามารถไว้ใจจาฮีดาได้
“ด้วยความยินดีค่ะ” จาฮีดายิ้มอ่อนโยน “เดี๋ยวเชิญข้างบนเถอะค่ะ สัมภาระที่วางอยู่ในห้องโถงฉันจะให้คนของเรายกขึ้นไปให้เอง” ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญเนห์รูให้เดินตามไป กระนั้นแขกสาวก็ยังไม่วายหันมาขยิบตาใส่โมบารัคห์อีก
“ให้ตายเถอะ ฉันคงต้องศึกษาการแสดงออกของคนไทยให้มากกว่านี้แล้วล่ะ ไม่งั้นคงหัวใจวายตายกันพอดี” หนุ่มหัวโบราณบ่นกับตัวเอง แต่แล้วก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงการกระทำที่เปิดเผยของเธอ ผู้หญิงชาวฮัรดิสถานถือเนื้อถือตัวกันจะตายไป ขนาดยืนใกล้กันเกินควรก็ยังเสี่ยงต่อการถูกประณาม ใครจะปากว่ามือถึงเหมือนเนห์รูกันเล่า
โมบารัคห์หัวเราะในลำคอ เมื่อยามที่ยืนเวรอยู่มองมา เขาก็กระแอมแก้เก้อแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
.....................................................................................................................................................
