บทที่ ๕ : แผนแรกลวงให้รับรู้ 1
รถคันสวยเคลื่อนตัวตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้านานนับชั่วโมง นันดินีรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งใบหน้าเมื่อมีสายตาคมคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มของเขาทำให้เธอใจสั่น มือไม้เย็นเฉียบด้วยความประหม่า ดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นมองออกไปนอกรถเพื่อสำรวจพื้นที่ ซึ่งมีชีคหนุ่มคอยช่วยทำตัวเป็นผู้บรรยายที่ดีให้เธอด้วยตัวเอง
ชากีร์ยัฟบอกว่าเมืองยาฮาห์มีพื้นที่โดยรอบเป็นทะเลทรายเหมือนทุกพื้นที่ในประเทศฮัรดิสถาน แต่จะมีความน่าสนใจกว่าตรงที่สถาปัตยกรรมของที่นี่จะงดงามกว่าที่อื่น บ้านเมืองถูกสร้างด้วยหินสีชมพูที่มีลวดลายอ่อนช้อย ผสมผสานด้วยความแข็งแรงแต่ดูเรียบง่ายของหินอ่อนชั้นดีที่นำเข้าจากอิตาลีเสียเป็นส่วนใหญ่ มีการแกะสลักลวดลายด้วยฝีมือคนล้วนๆ เพื่อคงไว้ซึ่งศิลปะโบราณที่หาดูได้ยาก
หลังจากขับรถอยู่บนเส้นทางสายหลักมานาน คนขับรถก็เลี้ยวแยกออกไปตามทางที่ทั้งกว้างและมีต้นไม้ขนาบอยู่สองข้าง ตรงเข้าไปเรื่อยๆราวสิบนาทีก็พบสิ่งมหัศจรรย์อยู่ตรงหน้า มันถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามและใหญ่โตโอ่อ่าสุดจะบรรยาย เป็นเสมือนราชวังที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะโบราณอย่างแท้จริง มีการตกแต่งด้วยหินอ่อนที่ประณีตสวยหรู ตามกำแพงมีภาพสลักมากมายที่มีรูปร่างคล้ายดอกบัว ดูอ่อนช้อยจนแทบไม่อยากละสายตา เวลานี้แสงไฟที่เปิดสว่างโดยรอบกำลังขับให้ความงามของมันยิ่งแลดูเปล่งประกายมากขึ้น นันดินีกับเนห์รูคิดว่า ‘บ้าน’ ของหนุ่มหล่อหน้าคมคนนี้คงเหมือนกับที่เห็นตลอดระยะทางที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่ามันเหนือความคาดหมายจริงๆ
“เอาล่ะ ถึงบ้านของผมแล้วครับ” ชายหนุ่มเอ่ย แล้วอมยิ้มขบขันเมื่อเห็นเนห์รูอ้าปากค้าง โมบารัคห์ที่นั่งเงียบมาตลอดทางปรายตามอง แล้วถอนหายใจด้วยความระอา
“คุณเรียกพระราชวังนี่ว่าบ้านเหรอคะ” นันดีนีถามขึ้น
“ไม่ถึงกับต้องเรียกพระราชวังหรอกครับ ก็แค่คฤหาสน์ขนาดใหญ่เท่านั้นเอง”
“ฉัน...ฉันอยากได้ที่พักค่ะ อาจจะเป็นโรงแรมแถวนี้ก็ได้ ถ้าจะกรุณา...ให้คนขับรถของคุณไปส่งเราหน่อยได้ไหมคะ ฉันพักที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอแสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจ ตอนนี้ชักแน่ใจขึ้นมาแล้วว่าลวงเหยื่อไม่ผิดคน ด้วยเคหะสถานที่หรูหราถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ชีคผู้ครองเมืองก็คงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้หรอก
“ทำไมถึงจะพักที่นี่ไม่ได้ล่ะ” ชากีร์ยัฟนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“เอ่อ ฉันไม่กล้ารบกวนคุณหรอกค่ะ ที่นี่มันหรูหราเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน”
“ผู้หญิงอย่างคุณมันทำไมครับ อย่าพูดอะไรแบบนี้สิ คนทุกคนมีค่าเท่ากัน ต่อให้คุณเป็นหญิงชราที่หน้าตาน่ากลัว ผมก็ต้องให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว” แต่อาจจะไม่ได้พามาที่คฤหาสน์หลังงามเหมือนที่ทำกับคุณเท่านั้นเอง ท้ายประโยคชายหนุ่มแอบต่อขึ้นในใจ
“แต่ว่า...” นันดินีหันไปสบตากับเนห์รู
“ไม่ต้องมีแต่อะไรทั้งนั้น รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ คุณต้องทำแผลนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถทันที ทำให้สองสาวต้องรีบตามลงมา โมบารัคห์เป็นคนเดินนำทางเข้าไปข้างใน ส่วนเจ้าของคฤหาสน์เดินลิ่วเข้าไปก่อนคล้ายกำลังรีบร้อน แต่ในความจริงเขาแค่ไม่อยากอยู่ฟังคำคัดค้านของหญิงสาวเท่านั้น
ทันทีที่ชากีร์ยัฟเดินเข้ามาข้างในคฤหาสน์ราฮัล สตรีสาวสวยรูปร่างงดงามก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับยกมือทำความเคารพ ดวงหน้างามยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเช่นทุกวัน แต่ทันทีที่เห็นนันดินีกับเนห์รูเดินตามเข้ามาสมทบ แววตาของเจ้าหล่อนก็กระด้างขึ้นแทบจะทันที
ราน่า ฮามาน คาน เชิดหน้าใส่เมื่อสองสาวทักทายตามธรรมเนียม ชากีร์ยัฟกลอกตาไปมากับความไร้มารยาทนั้น แต่ก็นั่นแหละ...ราน่าเป็นผู้หญิงจากตระกูลสูงศักดิ์ คงยากที่จะให้ยอมรับคนอื่นในสถานะที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญเธอก็อยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นของเขา ถึงยังจะไม่ได้เป็น แต่ก็มักออกอาการหึงหวงและทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสมอ
“นี่แขกของผม พวกเธอจะมาพักที่นี่” ชากีร์ยัฟผายมือไปทางสองสาว แต่ไม่ได้แนะนำชื่อให้รู้จัก ด้วยรู้ดีว่าคนอย่างราน่าไม่เคยให้ความสำคัญกับใครก็ตามที่ไม่ใช่คนในวงสังคมเดียวกัน
“อะไรนะคะ! พักที่นี่?” ราน่าอุทานด้วยความตกใจ แล้วตวัดสายตามองโมบารัคห์ “ตรวจประวัติพวกนี้ดีหรือยัง ทำไมถึงปล่อยให้มาถึงที่นี่ได้”
“คือว่า...”
“ผมอนุญาตเอง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไร” ชีคหนุ่มตอบแทน
“ดูแลคนพวกนี้ที” ราน่าหันไปบอกกับสาวใช้ “เชิญทางนี้เถอะค่ะชากีร์ ฉันว่าเราน่าคุยกัน เธอด้วยนะโมบารัคห์” ก่อนจะหันมาบอกสองหนุ่ม แล้วเดินนำเข้าไปที่ห้องรับแขกทันที
ชากีร์ยัฟหันมาสบตากับโมบารัคห์แล้วถอนหายใจ แม้ไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดของราน่า แต่ตามธรรมเนียมแล้วเขาจะต้องให้เกียรติว่าที่คู่หมั้น ซึ่งในอนาคตก็จะพัฒนามาเป็นคู่ชีวิตที่ต้องอยู่คู่กันไปจนวันตาย บางครั้งชีคหนุ่มก็ไม่อยากจะยอมรับข้อปฏิบัติในการจัดสรรคู่มาตั้งแต่เยาว์วัยนัก แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องยอมรับ เพราะที่ผ่านมาคนในรุ่นบรรพบุรุษต่างก็ใช้ความเหมาะสมภายนอกเป็นเกณฑ์ในการจับคู่กันทั้งนั้น แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นใครมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวจากการที่มีผู้ใหญ่เลือกคู่ให้
ความจริงราน่าไม่ใช่คู่หมั้นที่แท้จริงของชากีร์ยัฟ แต่เป็นเพราะคู่หมั้นตัวจริงหายสาบสูญไปจากเหตุการณ์ที่กองโจรลึกลับบุกปล้นฆ่าแล้วเผาบ้านเมืองจนวอดวาย ทำให้สภาผู้อาวุโสจำต้องกำหนดคู่หมั้นที่เหมาะสมขึ้นมาอีกครั้ง โดยเลือกราน่าที่เป็นหญิงสูงศักดิ์ในตระกูลคาน บิดาของเธอเป็นรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงมาก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าตระกูลของเธอนั้นมีเชื้อสายขุนนางเก่า ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมกับเขามากกว่าใคร อีกทั้งยังงดงามดุจเทพธิดา แต่แตกต่างจากนันดินีตรงที่ราน่ามีความเด็ดเดี่ยวมากเกินไป และเปิดเผยจนรู้จักได้ทุกมุกมอง
ชากีร์ยัฟชอบผู้หญิงที่เหมือนดอกกุหลาบมากกว่า เพราะมันเย้ายวนและน่าค้นหา แต่บางครั้งเขาก็อาจจะลืมไปว่าดอกกุหลาบนั้นมีหนามแหลมซ่อนอยู่ หากไม่รู้จักระวังมันก็สามารถทิ่มแทงให้เลือดตกยางออกได้ทุกเมื่อ โดยไม่มีเค้าลางเตือนให้รู้ตัวก่อนล่วงหน้า
“ชากีร์...ชากีร์คะ!” ราน่าตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อว่าที่คู่หมั้นเอาแต่ยืนอมยิ้มคล้ายคนกำลังตกหลุมรัก ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังไว้ท่าปั่นหน้าขรึมในทันที
“ว่ามาเถอะราน่า คุณมีอะไรกับผมเหรอ”
“จะไม่นั่งก่อนเหรอคะ” หญิงสาวพยักพเยิดให้เขานั่งลงบนโซฟาทองเหลืองที่มีส่วนผสมของทองคำแท้เสียก่อน ซึ่งชีคหนุ่มก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“คราวนี้คงพูดได้แล้วสินะ” เขายิ้ม
“คุณควรให้ผู้หญิงพวกนั้นไปพักที่อื่นนะคะ” เธอเข้าเรื่องโดยไม่คิดจะเกริ่นอะไรก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ทำไม”
“มันไม่เหมาะสม แล้วก็ไม่ปลอดภัยด้วยค่ะ” เหตุผลนี้ทำให้โมบารัคห์ลอบยิ้มอย่างเห็นด้วย
“เรื่องความปลอดภัยผมจัดการได้ ผู้หญิงพวกนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก แล้วเรื่องความเหมาะสมก็ไม่สำคัญด้วย นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว คุณเองยังพักที่นี่ได้ทั้งที่เรายังไม่ได้หมั้นกันด้วยซ้ำ แล้วทำไมพวกเธอจะพักไม่ได้” คำโต้แย้งของชายหนุ่มทำเอาราน่าแทบสติแตก เธออยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าไม่มีสิทธิ์เอาผู้หญิงชั้นต่ำมาเปรียบกับเธอ แล้วคฤหาสน์แห่งนี้ก็ไม่ใช่ฮาเร็มหรือโรงแรมที่จะสามารถรับคนนอกเข้ามาได้ง่ายๆ แต่ที่ทำได้ก็เพียงแต่นั่งกำมือแน่นด้วยความโกรธกรุ่นเท่านั้น ขืนทำอะไรมากไปอาจจถูกไล่กลับบ้านตัวเองไปก็ได้
“เอาเถอะค่ะ ตัดเรื่องไม่เหมาะสมออกไปก็ได้ แต่คุณน่าจะคิดถึงเรื่องความปลอดภัยให้ดี จำไม่ได้เหรอคะว่าเมื่อปีก่อนพวกนักฆ่าที่ลอบเข้ามาทำร้ายคุณก็เป็นผู้หญิง ถึงคนพวกนี้จะดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยนะคะว่าภายใต้หน้ากากที่สวยหรูจะมีอะไรซ่อนไว้บ้าง”
“แต่ถึงยังไง...”
“ผมว่าท่านน่าจะฟังคุณหนูราน่าหน่อยนะครับ ลองตัดเรื่องความพอใจส่วนตัวออกไปก่อนดีกว่า” โมบารัคห์แทรกขึ้นเพื่อหวังจะเตือนสติ แต่ก็ต้องนิ่งเงียบไปอีกเมื่อสายตากร้าวกระด้างจ้องมองมาอย่างคาดโทษ
“จริงอย่างที่โมบารัคห์ว่านั่นแหละค่ะ คุณควรฟังฉันโดยตัดเรื่องความพิศวาสออกไปก่อน ฉันเห็นสายตาที่คุณมองมัน เอ่อ...มองผู้หญิงคนนั้น ฉันก็รู้แล้วว่าคุณกำลังปลาบปลื้มกับของเล่นชิ้นใหม่” หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่ในใจกำลังร้อนรนราวกับถูกไฟเผา
“หึงหวงอีกแล้วเหรอราน่า ผมพูดชัดแล้วนะว่าตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณจะมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของผมไม่ได้” ชากีร์ยัฟชักหงุดหงิดขึ้นทุกที ทำไมราน่ากับโมบารัคห์จะต้องมองสาวน้อยของเขาในแง่ร้ายด้วย แล้วมันก็ไม่ถูกนักหรอกที่ราน่าคิดว่าเขากำลังปลาบปลื้มของเล่นชิ้นใหม่ เพราะเขาไม่ได้คิดกับนันดินีเพียงแค่นั้น หัวใจมันปรารถนาจะครอบครองตั้งแต่แรกพบ รู้สึกเหมือนเธอคือใครสักคนที่รอมานานและเป็นคนที่คุ้ยเคยกันดี
“ฉันรู้ค่ะว่าไม่ควรยุ่งเรื่องของส่วนตัวของคุณ แต่ที่ต้องยุ่งเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรละเลย คุณเองก็รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ภายในประเทศไม่ค่อยมั่นคงนัก เพราะกลุ่มโจรดาวาร์กำลังส่งเครือข่ายสอดแนมไปทั่ว เราไม่มีข้อมูลเลยว่าพวกมันจะส่งสายมาแฝงตัวอยู่ในเมืองไหน หรือมาในรูปแบบใดบ้าง เพราะฉะนั้นเราควรกังวลไว้ก่อนไม่ใช่เหรอคะ คุณเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนสอนให้ฉันรู้จักระวังภัยรอบด้าน แต่ตอนนี้ตัวคุณกำลังชักศึกเข้ามาในบ้านเสียเอง” ราน่าใช้คำพูดที่บาดลึกลงกลางใจ ทำเอาชีคหนุ่มชะงักและคิดตามอย่างเสียมิได้ แม้ใจจะเชื่อมั่นว่านันดินีไม่ใช่ผู้ร้ายที่หมายจะเข้ามาหลอกลวงเขา แต่บางครั้งความถูกต้องก็ควรมาก่อนความปรารถนาของตัวเอง
“ผมเสียใจที่คิดอะไรไม่ถี่ถ้วน เอาล่ะ...ตกลงราน่า ผมจะให้เธอไปพักที่โรงแรมของผมที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ผมคงต้องขอให้เธอได้ทำแผลก่อน” ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับถอนหายใจ ใบหน้าหล่อคมดูพิพักพิพ่วน แต่พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าต่อให้นันดินีไม่ได้พักที่นี่ เขาก็สามารถไปพบเธอได้ทุกเวลาที่ต้องการ
“ฉันจะสั่งให้สาวใช้จัดการเองค่ะ” ราน่าเสนอ แต่กลับถูกปฏิเสธทันที
“ไม่ต้องหรอก ผมจะจัดการเอง” พูดจบชายหนุ่มก็เดินจากไป ทิ้งให้ว่าที่คู่หมั้นกับคนสนิทอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“นังแพศยานั่นมันเป็นใครกัน! แล้วเจอกับชากีร์ได้ยังไง ทำไมเขาถึงต้องเป็นห่วงมันนัก นี่ถึงขนาดนั้นจะจัดการทำแผลด้วยตัวเอง เธอไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยเหรอโมบารัคห์” หญิงสาวเสียงสั่นด้วยความโกรธ
“ผมยังไม่รู้หรอกครับว่าเธอเป็นใคร แต่เท่าที่รู้คือเธอมาที่นี่เพื่อตามหาคู่หมั้นของเธอ คุณหนูราน่าไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นเหมือนกันกับที่ท่านชีคชากีร์เองก็มีคุณอยู่ทั้งคน ไม่ว่าท่านจะต้องการอะไร ผมคิดว่าไม่น่าจะสมหวังหรอกครับ” โมบารัคห์เพียงแค่คาดเดาไปตามความน่าจะเป็น
“มันก็ไม่แน่หรอก นังนั่นอาจจะเต็มใจทิ้งคู่หมั้นของตัวเองเพื่อมาแย่งชากีร์ของฉันก็ได้ แต่ถ้ามันกล้าทำจริง ฉันจะสั่งสอนมันอย่างเจ็บแสบที่สุดเลยล่ะ!” ดวงตาของราน่าวาวโรจน์น่ากลัว และโมบารัคห์รู้ดีว่าหญิงสาวทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตของตัวเองเป็นไปตามที่คาดหวัง
ดูเหมือนสาวน้อยนันดินีจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว...
เนห์รูพยายามจะถามให้รู้เรื่องว่าตกลงแล้วนันดินีกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่สาวใช้กับคนของชากีร์ยัฟไม่เปิดโอกาสให้ได้พูดอะไรเลยสักคำ พวกเขายืนตัวตรงจ้องมองพวกเธอราวกับเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอมบนโลกใบนี้ ส่วนสาวใช้สามคนที่เป็นเส้นสายของราน่าก็ซุบซิบนินทาให้ได้ยินอย่างโจ่งแจ้ง แต่นันดินีก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ จนกระทั่งคนที่ทำให้หัวใจเธอต้องเต้นแรงอีกครั้งเดินกลับออกมา สาวใช้พวกนั้นจึงพากันยืนนิ่งราวกับเป็นใบ้
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ” ชากีร์ยัฟยิ้มมีเสน่ห์เหมือนเคย
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” นันดินีตอบรับพร้อมก้มหน้าหลบสายตาเขา
“คือ...มีบางเหตุผลที่พวกคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้ เราคุยกันว่าถ้าคู่หมั้นของคุณรู้ว่าคุณมาค้างอ้างแรมที่บ้านคนแปลกหน้าอย่างผม มันจะไม่เหมาะสมเอาน่ะครับ” ชายหนุ่มจำต้องโกหก เพราะถ้าต้องพูดไปตรงๆ ว่าเขาไม่ไว้ใจให้พวกเธออยู่ที่นี่ มันคงเป็นการทำร้ายน้ำใจกันน่าดูเลย
“แน่นอนค่ะ ถ้างั้นช่วยให้คนไปส่งเราหน่อยได้ไหมคะ เราไม่รู้เส้นทางจริงๆ” นันดินีแสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงนั้นเสียดายโอกาสแทบแย่ ครั้งนี้ได้เข้าใกล้เขาเพราะแผนการของหัวหน้ากองโจร นั่นหมายความว่าครั้งหน้าอาจไม่มีโอกาสเหมาะแบบนี้อีกก็ได้
ดารัมดาสได้บอกมาในจดหมายก่อนแล้วว่าสถานที่ที่จะจัดฉากการปล้นขึ้นนั้น เป็นที่เดียวกันและช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชากีร์ยัฟเดินทางไปเจรจาธุรกิจ เพราะเหตุนี้เองเธอถึงเข้าถึงตัวชีคหนุ่มได้ง่าย ถ้าโอกาสนี้หลุดลอยไป เธออาจจะไม่มีโอกาสอีก ฉะนั้นทางเดียวคือต้องทำตามแผนสำรองที่บอกมาในจดหมาย นั้นคือรีบหาช่องทางแสดงตัวว่าเธอคือใคร แล้วกำลังมาตามหาใครอยู่
“ผมจะไปส่งคุณด้วยตัวเอง แต่ก่อนอื่นทำแผลก่อนเถอะครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปสั่งสาวใช้ให้รีบไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาให้ เนห์รูทั้งหงุดหงิดและสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากได้อ่านจดหมายด้วยคนคงเข้าใจอะไรไม่ยาก แต่ในเมื่อยังหาทางถามจากนันดินีไม่ได้ เนห์รูจึงขอให้สาวใช้อีกคนนำทางไปที่ห้องน้ำ ไม่ว่านันดินีกำลังคิดจะทำอะไร การไม่มีมือที่สามอาจจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
ขณะที่สาวใช้นำกล่องทำแผลมาให้ นันดินีที่ยืนเคว้งอยู่กลางห้องโถงก็เกิดอาการหน้ามืด เกือบจะเสียหลักล้มไปกองบนพื้นอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีอกกว้างกับมือหนาคอยรองรับได้ทันเวลา ชากีร์ยัฟร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เลือดในกายเดือดพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อได้สัมผัสผิวขาวเนียนนุ่มอย่างใกล้ชิด กลิ่นหอมคล้ายดอกกุหลาบจากเรือนผมสีน้ำตาลทำให้เขาเผลอสูดดมจนเต็มปอด
“ขะ...ขอโทษค่ะ” นันดินีพยายามจะทรงตัวยืนอย่างเดิม แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จู่ๆ เธอก็เกิดอาการหน้ามืดโดยที่ไม่ต้องใช้มารยาเลย
“ผมช่วยดีกว่าครับ” ชีคหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะฉวยโอกาสนั้นรวบร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้วพาเดินตรงไปยังห้องรับรองแขกชั้นล่าง ถึงเธอจะค้างคืนที่นี่ไม่ได้ แต่แค่ให้พักผ่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น คงไม่มีใครใจร้ายมาขัดคออีกหรอก
นันดินีหลับตาทันทีที่ชากีร์ยัฟวางลงบนเตียงนุ่ม ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดอยู่เหนือศีรษะ เมื่อรับรู้ว่ามันห่างออกไปแล้วหญิงสาวจึงยอมลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีสวยที่ดึงดูดใจคนมองทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงจ้องตาไม่กะพริบ นับตั้งแต่เจอกันที่สถานีรถไฟในคืนนั้น นันดินีก็วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเขาเสมอ หัวใจเป็นทุกข์กับการอยากพบอยากเจออีกสักครั้ง และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้ตามที่เฝ้าภาวนาขอให้มันเกิดขึ้น
ชากีร์ยัฟไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมนต์เสน่ห์ของกุหลาบงามดอกนี้ได้อย่างไร รู้เพียงเดียวคือเขาปรารถนาอย่างจะครอบครองเธอจนแทบห้ามใจไม่อยู่ ดวงหน้างามที่เต็มไปด้วยความใสซื่อของเธอ เปรียบดั่งแม่เหล็กที่ดึงให้ร่างกำยำเอนตัวเข้าไปใกล้ขึ้น และใกล้มากจนกระทั่งปลายจมูกโด่งสวยชนกับเข้าพวงแก้มขาวเนียน
นันดินีแทบลืมหายใจ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าทั้งเขาและเธออยู่ใกล้กันมาก ใจสั่งให้เอียงหน้าหลบเสีย แต่กายกลับนั่งนิ่งเหมือนถูกตรึงด้วยเชือกเส้นใหญ่ ปลายนิ้วอุ่นของชากีร์ยัฟเลื่อนขึ้นแตะที่ปลายคางเรียว ดันมันให้เชิดขึ้นเพื่อผนึกแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีกุหลาบ หญิงสาวนั่งนิ่งยอมให้เขารุกรานจูบแรกในชีวิต แต่เมื่อนึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นบนรถไฟ เธอก็ผงะออกห่างแล้วยกมือขึ้นดันอกกว้างไว้ทันที
“ผม...ผมขอโทษ” สีหน้าคนพูดแสดงออกว่ารู้สึกผิดจริงๆ การแตะต้องผู้หญิงที่ไม่ใช่คนรักของตัวเอง อีกทั้งยังมีคู่หมั้นแล้วถือเป็นความผิดอย่างมาก
“เอ่อ...ค่ะ” นันดินีถึงเสียงสั่นด้วยความประหม่า หน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงห้ามตัวเองไม่ได้ แต่ผมเสียใจที่ทำให้คุณเสื่อมเสีย ทั้งที่คุณเองก็มีคนรักอยู่แล้ว”
“คนรักเหรอคะ?” หญิงสาวทำหน้างงแล้วอธิบายต่อ “ถ้าหมายถึงคู่หมั้นที่ฉันตามหาละก็ มันไม่ใช่ความรักค่ะ”
“ถ้างั้นทำไมคุณถึงต้องตามหาเขาด้วยล่ะ” ชากีร์ยัฟพอใจไม่น้อยที่ได้ยินว่าเธอไม่ได้รักชายอื่น
“มันเป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่บุญธรรมค่ะ พ่อแม่ที่แท้จริงของฉันได้หมั้นหมายฉันไว้กับเขาตั้งแต่เด็ก แล้วกำชับว่าถึงยังไงฉันก็ต้องแต่งงานกับเขา”
“คุณเคยพบเขาก่อนไหม”
“ถึงจะเคยก็คงเด็กมากกันทั้งคู่ ฉันจำเขาไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหลังจากเกิดเหตุโจรปล้นเผาเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน ตัวฉันต้องหนีไปตั้งหลักอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมที่เมืองไทย สำหรับเขาฉันก็เหมือนคู่หมั้นที่หายสาบสูญ บางทีตอนนี้เขาอาจจะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ได้” นันดินียิ้มเศร้า
“ผมว่าเรื่องราวของคุณมันคุ้นมากเลยนันดินี ช่วยบอกผมได้ไหมว่าคุณนามสกุลอะไร แล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณเป็นใคร” ชากีร์ยัฟรู้สึกชาวาบทั้งใบหน้า เมื่อเรื่องราวจากปากหญิงสาวทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า เธออาจจะเป็นคู่หมั้นตัวน้อยที่หายไปพร้อมกับเหตุการณ์ปล้นเผาเมืองเมื่อครั้งยังเยาว์ แล้วมันก็ไม่แปลกเลยหากเธอจะจำเขาไม่ได้ เพราะในตอนนั้นเธออายุห่างจากเขาเกือบแปดปีเลยทีเดียว ตอนนี้เขาอายุย่างเข้าสามสิบเอ็ดแล้ว หากเธอคือนันนี่ที่น่ารักของเขาจริงๆ เธอก็คงอายุยี่สิบสาม
“นันดินี บัลลาเดวาค่ะ คุณพ่อของฉันคือนาวอบซิมราน ส่วนคุณแม่ก็...”
“ท่านหญิงปาราวตี” ชายหนุ่มต่อให้เองเสร็จสรรพ สีหน้าดูคล้ายตกตะลึง
“คุณรู้ได้ยังไงคะ!” นันดินีทำตาโตเหมือนตกใจเสียเต็มประดา แต่ในความจริงแล้วเธอแค่มั่นใจเท่านั้นว่าลวงเหยื่อได้ไม่ผิดตัว หากไม่ใช่ผู้ชายคนนี้คงดีสำหรับเธอมากกว่า เพราะนับตั้งแต่ได้พบกัน เธอเองก็ประทับใจในตัวเขาจนไม่รู้เลยว่าจะสามารถทรยศหักหลังเขาได้ลงคอหรือเปล่า
ชากีร์ยัฟถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเข้าใจทุกอย่างจนถ่องแท้ เขายิ้มกว้างด้วยความดีใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน มือหนาเอื้อมไปคว้ามือบางขึ้นมาจุมพิตแนบแน่น ดวงตาคู่คมฉายแววรักใคร่จนหญิงสาวร้อนฉ่าไปทั่วใบหน้า แต่กระนั้นก็ยังถามไม่วายพูดกระตุ้นเพื่อขอความมั่นใจ
“ปล่อยมือฉันเถอะค่ะ อย่าลืมสิว่าฉันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว”
