บทที่ ๒ : ลุ่มหลงเมื่อแรกพบ 1
เสียงหวูดรถไฟส่งสัญญาณดังสนั่นก่อนจอดเทียบที่ชานชาลา สองสาวพากันลากกระเป๋าเดินทางลงมานั่งรอที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวซึ่งจัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยว สักพักเนห์รูก็ขอแยกตัวไปซื้อน้ำเปล่าที่ร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้าม นันดินีจึงต้องนั่งคอยอยู่ตามลำพัง ลมหนาวทำให้ผมสีน้ำตาลสวยปลิวสยายปรกใบหน้า เศษใบไม้ปลิวว่อนไปตามลมก่อนจะทิ้งตัวลงนอนนิ่งบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนโดยรอบบางตาจนแทบนับจำนวนได้ แต่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกลับดังก้องขึ้นในความรู้สึกของนันดินีจนต้องกวาดสายตามองหา ทันทีที่ดวงตาคู่สวยพบร่างสูงกำยำของใครคนหนึ่ง ขนอ่อนบนร่างกายก็ลุกชันทั่วทั้งร่าง ร่างระหงผุดลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง
บุรุษหนุ่มหน้าตาคมคายยืนโดดเด่นอยู่ตรงมุมหนึ่ง ดวงตาสีนิลที่มีแผงขนตางอนยาวราวกับผู้หญิงกำลังจ้องมองคู่สนทนาด้วยความสนใจ จมูกโด่งสวยกับริมฝีปากรูปกระจับนั้นแย้มยิ้มจนเห็นแนวฟันเรียบเรียงเป็นระเบียบ บนศีรษะมีผ้าสีดำพันโพกไว้อย่างประณีต ทุกอย่างที่ดูลงตัวทำให้เขางดงามเกินกว่าที่พระเจ้าจะสามารถปั้นแต่งขึ้นมาได้ ผิวขาวสะอาดต่างจากคนทั่วไปถูกซ่อนไว้ภายใต้ชุดกูรตะ(Kurta)[1] ซึ่งเป็นเสื้อแขนยาวสีดำแบบผ่าข้าง มีความยาวคลุมเข่ากับกางเกงขายาวสีเดียวกันที่แนบไปกับท่อนขาสูงเพรียว รองเท้าหนังปลายแหลมส่งเสียงกระทบพื้นเป็นจังหวะ เมื่อเขาเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง
นันดินีตัวแข็งทื่อเมื่อชายหนุ่มตวัดสายตามองมา เขาชะงักฝีเท้าลงแล้วจ้องมองเธอราวกับเห็นว่าเธอเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ หญิงสาวไม่ใช่แค่เพียงตกตะลึงกับความรูปงามปานเทพบุตรของเขา แต่ที่เธอสะท้านไปทั้งร่างนั่นเป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งมาปรากฏตัวขึ้นในฝันของเธออย่างสดๆ ร้อนๆ
มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะฝันถึงผู้ชายที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนในชีวิต...
ชากีร์ยัฟ ซัลมานรุสดิน ราฮัล เขาคือชีคคนปัจจุบันที่ปกครองเมืองยาฮาห์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศฮัรดิสถานและยังมีอำนาจละเลยไปยังเมืองน้อยใหญ่ใกล้เคียงอีกมากมาย ชายหนุ่มจ้องมองสาวงามที่เหนือกว่าสุภาพสตรีทั้งปวงแบบไม่ยอมกะพริบตา มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ เมื่อเห็นดวงตาสีเขียวปนเทาเบิกกว้างเหมือนเห็นเขาเป็นโจรร้ายของดินแดนทะเลทรายทางใต้แห่งนี้
นันดินีรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด ร่างระหงที่เคยยืนอย่างมั่นคงเริ่มซวนเซเล็กน้อย คล้ายกับมีหมอกสีดำลอยเข้ามาปกคลุมนัยน์ตาทั้งสองข้าง ทุกอย่างมืดมิดลงพร้อมกับร่างที่ล้มพับลงบนพื้น หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เพื่อมองดูว่าเพราะเหตุใดจึงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแรงกระแทก แต่ทันทีที่ลืมตาได้อย่างสมบูรณ์ เธอกลับมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาลอยเด่นอยู่ไม่ห่าง กลิ่นน้ำหอมที่คล้ายกับกลิ่นแก่นจันทร์ทำให้สมองที่มึนงงกลับคืนสู่สภาวะปกติแทบจะในทันที
“ขอโทษทีครับ ผมเห็นคุณดูไม่ค่อยดีนักก็เลยถือวิสาสะเข้ามาประคองไว้” ชากีร์ยัฟเอ่ยบอกอย่างสุภาพ
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน...ฉันขอบคุณมากนะคะ” นันดินีรีบทรงตัวให้มั่นคงแล้วถอยออกห่างเขา
“รีบเถอะครับ เราควรเดินทางกลับยาฮาห์ก่อนรุ่งสาง” ชายหนุ่มอีกคนที่ดูหล่อเหลาในแบบชาวฮัรดิสถานอย่างแท้จริงเอ่ยขึ้น นันดินีแอบคิดในใจว่าเขาคงดูเป็นมิตรกว่านี้ หากไม่มีหนวดเคราเขียวครึ้มปรากฏอยู่เหนือริมฝีปากและปลายคาง
“แล้วเราจะปล่อยให้สุภาพสตรีสาวสวยยืนอยู่ตรงนี้ตามลำพังเหรอ”
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา”
“ใจร้ายเกินไปแล้วนะโมบารัคห์” ชากีร์ยัฟทำหน้าดุ
โมบารัคห์ ดัลลาน คนสนิทที่ติดตามมาเพื่อทำธุระสำคัญถึงกับลอบถอนหายใจ เจ้านายของเขากำลังจะลืมสิ้นทุกสิ่งเมื่อได้พบสตรีผู้เลอโฉมเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นการปรากฏตัวแบบไม่เอิกเกริกและค่อนข้างเป็นส่วนตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชากีร์ยัฟจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในถิ่นฐานของศัตรู
“ท่านก็รู้ว่าผมไม่เคยใจร้ายกับใคร ถ้าหากไม่มีความจำเป็น ไปกันเถอะครับ” โมบารัคห์ยืนยันคำเดิม
“นายมันตัวมาร” ชายหนุ่มหันมาปั้นหน้ายิ้มแย้ม ก่อนกระซิบลอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“พวกคุณไปกันเถอะค่ะ ฉัน...” นันดินีกำลังอยู่ในช่วงอึดอัดใจ “นั่นไงคะ น้องสาวของฉันมาโน่นแล้ว” แต่ก็โชคดีที่เนห์รูเดินกลับมาหาเธอทันเวลาพอดี
“มีอะไรกันเหรอนันนี่” เนห์รูถามขึ้นทั้งที่สายตายังคงจ้องมองไปที่ชากีร์ยัฟอย่างชื่นชม
“นันนี่? คุณ...ชื่อนันดินีหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้น
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“ผมเคยรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อนันนี่ เธอชื่อจริงว่านันดินี แต่นั่นมันนานมาแล้วล่ะ”
“เหรอคะ บังเอิญจัง” หญิงสาวฝืนยิ้มและทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุด
“แล้วคุณเป็นใครคะ หรือว่าคุณคือคนที่จะมารับพวกเรา คุณคงเป็นคู่หมั้นของนันนี่ใช่ไหมคะ!” เนห์รูดูตื่นเต้นเสียเหลือเกิน เพราะเข้าใจผิดคิดว่าหนุ่มรูปงามผู้นี้คือว่าที่สามีของนันดินี
“เนห์รู! คือว่า...”
“คู่หมั้น? นี่คุณกำลังรอคู่หมั้นของคุณอยู่งั้นเหรอ” ความผิดหวังฉายชัดบนแววตาเขา
“อ้าว ตกลงว่าไม่ใช่คุณหรอกเหรอคะ” เนห์รูยิ้มแหย
“ก็ใช่น่ะสิครับคุณผู้หญิง มันคงดีกว่านี้ถ้าคุณรู้จักถามอะไรให้ดีก่อน” โมบารัคห์ตำหนิ
“ขอโทษแทนเนห์รูด้วยนะคะ เธอไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่มีอะไรทำให้ผมโกรธได้เท่ากับการที่รู้ว่าคุณมีคู่หมั้นคู่หมายหรอก” ชากีร์ยัฟไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะพูดจาตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้
“ผมว่ารีบเถอะครับ ป่านนี้อาลีคงรออยู่ที่รถแล้ว”
“โอเคโมบารัคห์” ชายหนุ่มพยักหน้ายอมแพ้กับความดื้อดึงของคนสนิท แล้วหันมาสบตากับนันดินี “ผมเสียใจที่เราเจอกันช้าไป มันคงดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ใช่คนมีเจ้าของ บางทีเราอาจจะทำความคุ้นเคยด้วยการไปดื่มชาร้อนกันสักแก้ว แต่ช่างเถอะครับ ถ้าพระเจ้าดลบันดาลให้ผมพบคุณแล้ว ผมเชื่อว่าอาจมีปาฏิหาริย์ในวันครั้งหน้า”
“ฉัน...” เขาทำให้เธอพูดแทบไม่ออก “เอ่อ...ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยฉันไว้เมื่อกี้”
“ด้วยความยินดีครับ ขอพระอัลเลาะห์ทรงคุ้มครอง” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์อิสลามระดับคางเพื่อเป็นการบอกลา นันดินีทำแบบเดียวกันแม้ว่าเธอจะมีศาสนาฮินดูก็ตาม เนห์รูเองก็บอกลาสองหนุ่มด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ยืนมองพวกเขาเดินแยกจากไปโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย
“หล่อที่สุดในโลกเลย จริงไหมนันนี่” เนห์รูยิ้มหวาน
“ไม่รู้สิ ฉันเพลียมากจนไม่ได้สังเกตหน้าตาเขา” นันดินีโกหกหน้าตาย ถ้าชายหนุ่มได้ยินคงต้องหัวเราะจนท้องแข็ง เพราะความจริงเธอจ้องเขาตาเป็นมันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าจดจำได้หมดทุกรายละเอียด แม้กระทั่งน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มหูก็ยังคงตราตรึงอยู่ในโสตประสาท อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วย เธอคงทำใจยอมรับได้ไม่ยากนัก
นันดินีโกหกตัวเองไม่ได้เลยว่าเธอไม่ได้ประทับใจในตัวเขา...
ขณะที่สองสาวนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง ชายร่างใหญ่สามคนก็เดินเข้ามาล้อมแล้วทำความเคารพตามแบบมุสลิม ทุกคนไม่ได้แต่งตัวแบบเดียวกันกับหนุ่มในฝันของนันดินี คาดว่าคงเป็นเพราะการอยู่กันคนละภาคที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม พวกเขาสวมชุดแขนยาวที่มีความยาวจนถึงข้อเท้า สวมหมวกทรงกลมใบเล็กทับด้วยผ้าคลุมศีรษะ แล้วมีเชือกสีดำครอบกันผ้าเลื่อนหลุดด้วยอีกชั้น
“เขาส่งพวกเรามารับคุณ คุณคือนันดินี บัลลาเดวา...ไม่ผิดใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง ส่วนนี่เป็นน้องสาวของฉัน เธอชื่อเนห์รู” นันดินีแนะนำ
“ผมทราบล่วงหน้ามาแล้ว เชิญพวกคุณเถอะ เราต้องเดินทางอีกไกล” แล้วคนพวกนั้นก็จัดการกับกระเป๋าของสองสาวให้ในทันที ก่อนจะพาเดินไปที่รถคันหนึ่งซึ่งคงพาเธอไปถึงจุดหมายในไม่ช้า
นันดินีหวังว่าคงได้เห็นบ้านเมืองที่ใหญ่โตเหมือนที่เคยอยู่เมื่อครั้งยังเยาว์วัย และคิดว่าคืนนี้เธอคงได้พักผ่อนบนเตียงอันหนานุ่มภายในคฤหาสน์หลังงาม แต่ปรากฏว่าสิ่งที่คาดเดาไว้นั้นผิดพลาดไปเป็นอย่างมาก ชายพวกนั้นนำเธอกับเนห์รูมาส่งที่กลางทะเลทรายอันมืดมิด ก่อนจะบอกให้เข้าใจว่าการที่จะเข้าไปถึงจุดหมายได้ ต้องนั่งรถม้าต่อเข้าไปอีกประมาณสามชั่วโมง แม้อยากจะค้านว่าทุกอย่างดูไม่น่าไว้ใจ แต่สีหน้าของคนที่คอยควบคุมม้ากลับเตือนว่าพวกเธอไม่ควรมีคำถามใดๆทั้งสิ้น
หัวใจของนันดินีคล้ายกับถูกแช่แข็ง ลมหายใจของเธอเย็นยะเยือกเพราะอากาศที่หนาวเหน็บของทะเลทรายยามค่ำคืน เนห์รูนั่งกอดตัวเองไว้เพื่อคลายความหนาว ทุกอย่างมืดมิดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับจังหวะการก้าวย่างของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลองอาจ ในที่สุดสองสาวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมองเห็นแสงไฟที่ส้มสลัวปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันดูคล้ายกับการตั้งแคมป์ล่าสัตว์ แต่ในเมื่อที่นี่คือทะเลทรายอันแห้งแล้ง สิ่งเดียวที่คิดได้คือบริเวณนี้คงเป็นสถานที่ที่ใช้ในการตั้งกระโจมพักอาศัยเสียมากกว่า
ในที่สุดสองสาวก็มาถึงจุดหมายโดยปลอดภัย นันดินียังคงนั่งอยู่บนรถม้าเพราะขาแข็งจนก้าวไม่ออก ในขณะที่เนห์รูก้าวลงไปเป็นคนแรกเพื่อบอกแก่อีกฝ่ายว่านันดินี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวนั้นไม่ค่อยสบายนัก ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครารุงรังพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในกระโจมใกล้เคียง เพื่อบอกให้ผู้หญิงสองคนที่คงเป็นสาวใช้ออกมาช่วยประคองคนป่วยลงจากรถ
นันดินีรู้สึกอบอุ่นขึ้นมากเมื่อได้ดื่มชาร้อนและนอนพักบนที่นอนหนานุ่มภายในกระโจมที่ไม่กว้างนัก ผ้าขนสัตว์ที่ห่มอยู่ช่วยให้เลือดในกายไหลเวียนได้ดีขึ้น ริมฝีปากเขียวคล้ำเริ่มมีสีสดใสอย่างเคย เนห์รูถูกพาตัวแยกไปอีกกระโจมหนึ่งอย่างขัดไม่ได้ ซ้ำยังถูกพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘นายเวร’ เฝ้ายามไว้ไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านที่ไหนอีกด้วย
ดารัมดาส ดาวาร์ รีบกระดกน้ำสีอำพันที่บรรจุอยู่ในแก้วทองเหลืองขึ้นดื่มรวดเดียวหมด หลังจากที่คนสนิทมารายงานให้ฟังว่าบัดนี้สาวงามที่เดินทางมาจากประเทศไทย ได้นอนพักอยู่ที่กระโจมหนังสัตว์ที่อยู่ใกล้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อากัปกิริยานั้นทำเอาคนเป็นภรรยาถึงกับมองค้อนด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย ดูคุณจะสนใจแม่หญิงต่างศาสนานั่นเหลือเกินนะ”
“คิดมากน่าฟาร่าห์ที่รัก เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอได้แค่คนเดียวเท่านั้น” ดารัมดาสไล้นิ้วมือไปบนแก้มนุ่ม
“แน่นะดารัมดาส คุณจะไม่หลงเสน่ห์หรือแตะต้องนังคนนั้นหรอกใช่ไหม” ฟาร่าห์ต้องการคำยืนยัน
“แน่สิ เธอเองก็รู้ว่าทุกอย่างมันก็แค่แผนการ ถ้าอยากกลายเป็นเมียมหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ เธอต้องอดทนให้มากนะรู้ไหม เชื่อฉันสิว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะต้องไปได้สวยมากแน่ๆ ถึงเวลานั้นฉันจะให้เธอนั่งบนกองเงินกองทอง ฉันจะเชิดชูเธอเหนือผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้เลย” คำป้อยอที่มีให้อยู่ทุกวันไม่เคยทำให้ฟาร่าห์รำคาญ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวของสามีมากขึ้นเสมอ
“ถ้างั้นรีบจัดการเถอะ ฉันเบื่อกับการซ่อนตัวจนเต็มแก่แล้ว”
“ได้เลยที่รัก เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา แล้วคืนนี้ฉันจะปรนเปรอเธอให้ไม่ได้นอนไปทั้งคืนเลย” ดารัมดาสแตะปลายคางหญิงสาวเบาๆ พร้อมขยับตัวขึ้นจุมพิตที่หน้าผาก จากนั้นก็ก้าวลงจากเตียงนุ่มที่ใช้นั่งเอนกายดื่มเหล้าเพื่อออกไปหานันดินี
กระโจมที่มีร่างบอบบางนอนหลับใหลอยู่นั้นมีลักษณะไม่ต่างจากกระโจมอันแสนหรูหราของดารัมดาสนัก หากจะต่างก็ตรงที่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น ภายนอกกระโจมทำด้วยหนังสัตว์อย่างดีเพื่อให้ทนทานต่อกระแสลมที่พัดแรงและความหนาวเย็นของทะเลทรายยามค่ำคืน ทว่าก็สามารถระบายอากาศที่อบอ้าวในช่วงกลางวันได้ด้วย ภายในตกแต่งอย่างงดงามด้วยผ้าสีสดที่ปักเลื่อมลวดลายต่างๆ เมื่อนายเวรเห็นเจ้านายเดินตรงมาก็รีบช่วยกันชักผ้าม่านที่มีความหนักราวกับท่อนไม้ขนาดใหญ่ออกให้ในทันที
ดารัมดาสก้าวเข้าในข้างในเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย ตอนนี้ที่โต๊ะเตี้ยกลางห้องมีอาหารและเครื่องดื่มตั้งวางไว้มากมาย ชายหนุ่มก้าวย่างตรงไปยังผ้าม่านที่ปิดล้อมรอบเตียงนุ่ม รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากทั้งที่มองเห็นนันดินีแค่เพียงเลือนราง แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นเธอเต็มสายตาเมื่อยกมือขึ้นแยกผ้าม่านสีขาวให้ออกจากกัน
ดวงตากลมโตยังคงหลับพริ้มอยู่ภายใต้แผงขนตางอนงาม ริมฝีปากอิ่มยั่วยวนเผยอเล็กน้อย ขณะที่บ่นพึมพำอะไรอย่างบางโดยที่ไม่รู้ตัว ดารัมดาสถึงกับตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาว เขาทรุดตัวนั่งลงบนเตียงไม้แต่ทว่าค่อนข้างหรูอย่างช้าๆ เอื้อมมือไปแตะผิวเนื้อเย็นเฉียบแล้วกลั้นหายใจสะกดกลั้นความต้องการที่คุโชนแค่เพียงแรกพบ
สมแล้วที่เป็นถึงบุตรีของนาวอบผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองยาฮาห์...
ปลายนิ้วที่อุ่นจนเกือบร้อนทำให้นันดินีเริ่มขยับตัวไปมา ทันทีที่เห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่เคียงข้างเธอก็ลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ ดารัมดาสยิ้มและยังคงจ้องหน้าหญิงสาวอยู่อย่างนั้น เพราะดวงตาสีสวยของเธอกำลังร่ายมนต์เสน่ห์ใส่เขาอย่างไม่รู้จบ
“คุณเป็นใคร” นันดินียกมือขึ้นทาบอก ดึงกระชับผ้าขนสัตว์ให้แนบอยู่กับตัว หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลของหนุ่มหล่อเข้มมีแต่ความไม่น่าไว้วางใจ
“ฉันคือดารัมดาส ว่าที่สามีของเธอยังไงล่ะนันดินี” เขาแนะนำตัว
“ดารัมดาส…” เธอพึมพำเหมือนต้องการทวนถาม
นันดินีโล่งอกไปเปราะหนึ่งเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยจินตนาการไว้ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาไม่น้อยเลย ยิ่งมีหนวดเคราที่ตัดแต่งได้รูปล้อมกรอบอยู่บนใบหน้า เขาก็ยิ่งดูเข้มและน่าเกรงขาม ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้แต่งกายแบบเดียวกันกับพวกที่ส่งไปรับเธอ แต่เขาสวมเสื้อสีทองที่ปักเลื่อมระยิบระยับกับกางเกงที่ดูคล้ายโจงกระเบน เพียงแต่มันต่างกันตรงที่มีความกว้างและความยาวจนถึงข้อเท้า บนศีรษะมีผ้าสีทองเช่นเดียวกันกับชุดพันโพกไว้ และมีผ้าสีน้ำตาลอ่อนพันพาดอยู่ตรงบ่า แหวนอัญมณีเลอค่าสวมอยู่บนนิ้วชี้กับนิ้วกลาง ซึ่งตอนนี้กำลังเอื้อมมาใกล้ใบหน้าเธอ
