บทที่ ๑ : พันธะสัญญา 2
“ไม่หรอก อย่างที่พ่อบอกนั่นแหละว่ามีคนรู้เรื่องนี้น้อยมาก เขาสามารถบอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองและตระกูลของลูกได้ นั่นย่อมหมายความว่าเขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี” วาฮิดประมาทเกินไปที่ไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีก่อน
“หนูคิดว่า...”
“พ่อคิดว่าลูกควรทำตามความต้องการของท่านนาวอบนะนันนี่”
“พ่อคะ...แม่คะ พ่อกับแม่อยากให้หนูไปจากที่นี่จริงๆ เหรอ” นันดินีน้ำตาคลอ
“โธ่นันนี่ ลูกผู้หญิงทุกคนไม่ว่ายังไงก็ต้องออกเหย้าออกเรือนนะลูก ถึงแม่กับพ่อจะรักลูกมากแค่ไหน เราก็จะเห็นแก่ตัวด้วยการดึงรั้งลูกไว้แบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ สักวันหนึ่งเมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่ ลูกจะได้มีคู่ชีวิตไว้ดูแลทั้งยามทุกข์ยามสุขยังไงล่ะจ้ะ” คุณศศธรบอกให้เข้าใจว่าที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่เพราะต้องการผลักไส แต่เพียงแค่อยากเห็นลูกสาวถึงฝั่งฝาเท่านั้น
นันดินีปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลราดลงบนแก้มนวล สะเทือนใจกับความจริงที่ว่าถึงอย่างไรเธอก็ต้องถูกคลุมถุงชนอย่างไม่มีทางเลือก มันคงทำใจไม่ยากนักหากเธอเติบโตขึ้นที่ประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ได้อยู่กับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผู้หญิงต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชาย ไร้ความเท่าเทียมทั้งทางด้านการศึกษาและการออกสิทธิ์ออกเสียงในเรื่องต่างๆ แต่นี่ส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเปรียบเสมือนคนไทยไปแล้ว เธอจึงมีความคิดว่าการคลุมถุงชนเป็นสิ่งที่คนยุคสมัยใหม่ไม่นิยมทำกัน
“ถ้างั้นพ่อก็บอกมาได้เลยค่ะว่าหนูต้องเดินทางกลับฮัรดิสถานเมื่อไร” ในเมื่อเป็นความต้องการของบุพการีที่หวังอยากเห็นเธอมีความสุข เธอก็ไม่อยากขัดข้องอีก ทำได้แค่เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับเท่านั้น
“อีกสามวัน”
“สามวัน! มันแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวเลยนะคะพ่อ” คราวนี้เนห์รูแย้งขึ้นบ้าง
“แต่มันก็มากพอที่จะเตรียมข้าวของ ลูกเองก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะเนห์รู การเดินทางครั้งนี้พ่อกับแม่ไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ ลูกสองคนต้องช่วยเหลือดูแลกันให้ดี”
“ทำไมล่ะคะ” นันดินีใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าจะไม่มีเศรษฐีวาฮิดกับคุณศศธรเดินทางไปด้วยกัน
“อย่าลืมสิว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ต่างจากคนนอกเลยด้วยซ้ำ ทางนั้นบอกมาว่าให้พ่อกับแม่เดินทางไปในวันแต่งงานเท่านั้น ส่วนลูกต้องล่วงหน้าไปก่อนเพื่อปรับตัวให้ชินกับบ้านเกิดเมืองนอนที่ลูกจากมานานหลายสิบปี”
“หนูว่าไม่จำเป็นนี่คะ หนูยังจำได้ว่าบ้านเมืองเรามีวัฒนธรรมอย่างไร ภาษาหนูก็ยังพูดได้คล่อง เพราะที่ผ่านมาเราก็พูดคุยกันด้วยภาษาของเราออกจะบ่อย หนูใช้ภาษาไทยแค่กับคนไทยเองนะคะพ่อ” นันดินีอยากยื้อเวลาให้นานที่สุด อย่างน้อยเธอก็ควรมีโอกาสได้บอกลาเพื่อนฝูงบ้าง
“ไม่ได้หรอกนันนี่ พ่อตกลงกับเขาไปแล้ว” วาฮิดยืนยันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ถ้างั้นหนูขอไม่ทานอาหารนะคะ หนูควรรีบไปเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้เลย” หญิงสาวประชดประชันอย่างที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน ดวงตาคู่สวยฉายแววเจ็บปวดจนคนเป็นพ่อไม่กล้าสบตาตอบ ด้วยเกรงว่าจะยอมผิดสัญญากับฝ่ายนั้น ยอมเสียสัจจะที่ให้ไว้กับนาวอบซิมราน แล้วรั้งลูกสาวที่รักดุจแก้วตาดวงใจให้อยู่ด้วยกันไปนานเท่าที่ต้องการ
ช่วงเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปอย่างรวดเร็วทำให้นันดินีถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เนห์รูพยายามพูดจาปลอบใจเธออยู่เสมอ จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเดินทาง เศรษฐีวาฮิดกับคุณศศธรอวยพรให้ลูกสาวทั้งสองคนโชคดี และดึงนันดินีเข้ามากอดนานกว่าปกติ เพราะจากนี้ไปเธอกำลังจะกลายเป็นสมบัติของครอบครัวอื่น ต้องทำหน้าที่ภรรยาและสะใภ้ที่ดีให้แก่วงศ์ตระกูลที่มีเกียรติ
“พ่อรักลูกนะนันนี่”
“หนูก็รักพ่อค่ะ”
คำพูดสุดท้ายที่สองพ่อลูกบุญธรรมบอกกล่าวแก่กันเป็นเปรียบสายใยสุดท้ายที่กำลังจะขาดออก นันดินีเดินหายเข้าไปในส่วนของผู้โดยสารขาออกพร้อมกับเนห์รู มีเพียงวาฮิดกับคุณศศธรเท่านั้นที่ยืนโบกมือลาอยู่ข้างหลัง ในใจอดคิดมากไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ได้ชื่นชมใบหน้างดงามของลูกสาว ทั้งที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าวาฮิดก็จะได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานของเธออยู่แล้วแท้ๆ
การเดินทางสู่ประเทศฮัรดิสถานเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงเมื่อเวลาผ่านไปห้าชั่วโมงเศษ นันดินีกับเนห์รูต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยที่จะได้กลับมาเหยียบย่างบนผืนดินเกิดอีกครั้ง ผู้คนคุยกันส่งเสียงจอแจ ร้านรวงต่างๆเปิดเรียงรายมากมาย ผู้หญิงหลายคนเลือกซื้อเครื่องประดับที่งดงามกัน และผู้ชายมีอีกไม่น้อยเลยที่ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าหลังเลิกงานในช่วงเย็นด้วยการจิบชาร้อนอันเป็นที่นิยม เนห์รูเองก็เหนื่อยกับการเดินทางมานานหลายชั่วโมง เธอจึงชวนนันดินีแวะพักที่ร้านชาร้อนริมทาง
“เฮ้อ รู้สึกดีจัง อากาศหนาวแล้วด้วยนะเนี่ย” เนห์รูถอนหายใจ หลังจากจิบชาร้อนที่มีกลิ่นหอมคุ้นเคยเข้าไปเสียหลายอึก นันดินีดูจะไม่ให้ความสนใจกับมันนัก เพราะเธอมัวแต่คิดมากกับการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่กำลังจะได้เป็นสามีในอนาคต
“เป็นอะไรไปนันนี่”
“...” หญิงสาวมัวแต่เหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย
“นันนี่...นันนี่เธอได้ยินฉันไหมเนี่ย”
“อะไร!...ทำไมเหรอเนห์รู” นันดินีสะดุ้งเฮือก
“ฉันถามว่าเธอเป็นอะไรไป ทำไมนั่งเหม่อแบบนี้”
“ฉัน...ฉันแค่กลัวน่ะ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่ฉันต้องแต่งงานด้วยเป็นใครหรือชื่ออะไร”
“เอาน่า อย่ากังวลนักเลย ยังไงเราก็จะได้เจอเขาอีกไม่นานนี้แล้ว”
“แล้วเราจะไปเจอเขาได้ที่ไหนกันล่ะ”
“นี่เธอไม่ได้ฟังที่พ่อบอกเลยเหรอ” เนห์รูทำตาโต
“เอ่อ ฉันคงเหม่อมากไป ขอโทษนะเนห์รู”
“เก็บคำขอโทษของเธอไปเถอะจ้ะ ฉันไม่โกรธหรอก ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ฉันก็เลยฟังทุกอย่างมาแทนแล้ว นี่เดี๋ยวเราต้องไปขึ้นรถไฟไปที่เมืองมหาปุราช เป็นเมืองที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศฮัรดิสถาน”
“ทางใต้งั้นเหรอ...ฉันคิดว่าเราจะขึ้นเหนือเสียอีกนะ”
“ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน แต่พอถามพ่อ พ่อก็บอกว่าคู่หมั้นของเธอมาทำธุระอยู่ทางใต้นานหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีกำหนดจะกลับขึ้นเหนือเร็วๆ นี้ ก็เลยอยากให้เราไปหาที่นั่นเลย แต่พ่อยืนยันนะว่าคู่หมั้นของเธอต้องเป็นคนเมืองยาฮาห์แน่นอน เพราะท่านนาวอบซิมรานคงไม่หมั้นหมายลูกสาวให้กับคนต่างเมืองหรอก”
“ช่างเถอะ เขาจะเป็นใครฉันก็ไม่อยากสนใจหรอก ว่าแต่เราต้องใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหนกัน”
“พ่อบอกมาว่าประมาณสี่ห้าชั่วโมงจ้ะ”
“โห ถ้างั้นเราคงไปถึงเกือบเที่ยงคืนเลยน่ะสิ แล้วจะมีคนมารับเราไหม”
“มีสิ ทางนั้นจะส่งคนมารอรับเราที่สถานี”
“อืม ถ้างั้นเราไปกันเถอะ ในเมื่อหนีไม่พ้นฉันก็อยากเผชิญหน้าเร็วๆ ไปเลย” นันดินีเอ่ยชวน
“ก็ดีเหมือนกัน” เนห์รูยิ้มรับ ก่อนจะหันไปบอกให้ชายร่างผอมสูงเก็บเงินค่าชาร้อนกับขนมไป เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสองสาวก็พากันลากกระเป๋าเดินทางออกมาโบกมือเรียกแท็กซี่ แล้วบอกจุดมุ่งหมายว่าต้องการไปที่สถานีรถไฟที่จะสามารถนำพาพวกเธอไปยังเมืองมหาปุราชได้
การจราจรที่แน่นขนัดไม่ต่างจากในกรุงเทพทำให้นันดินีกับเนห์รูไม่รู้สึกเดือดร้อนใจนัก เพราะพวกเธอเคยชินกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดในเมืองหลวงมานาน แต่ที่น่ารำคาญใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเสียงแตรของรถแต่ละคันที่บีบเร่งใส่กันชนิดไม่ยอมน้อยหน้า โชคดีที่ไม่นานนักถนนหนทางก็เริ่มโปร่งโล่งขึ้น ผ่านไปราวชั่วโมงเศษนันดินีกับเนห์รูก็ไปถึงสถานีรถไฟ
เนห์รูเป็นคนจัดการเรื่องตั๋วรถไฟให้เอง เพราะเห็นว่านันดินีเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางหนักกว่าเธอ สาเหตุก็เพราะก่อนหน้านี้หญิงสาวไม่ค่อยยอมกินยอมนอน เมื่อมาเจอกับสภาพอากาศที่ยังปรับตัวไม่ทันรวมทั้งการเดินทางติดต่อกันหลายชั่วโมง ร่างกายย่อมอ่อนเพลียมากเป็นธรรมดา
หลังจากรถไฟนอนเคลื่อนตัวสู่จุดหมายปลายทาง นันดินีก็หลับสนิทลงทันที เนห์รูสะพายกระเป๋าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสียก่อน จากนั้นถึงยอมล้มตัวลงนอนที่เตียงชั้นบน ส่วนเตียงที่อยู่อีกด้านนั้นว่างเปล่า เพราะวันนี้มีผู้โดยสารต้องการเดินทางลงภาคใต้ไม่เยอะนัก
นันดินีหลับไปได้ไม่นานก็ลืมตาตื่น เสียงห้าวทุ้มที่เรียกชื่อเธอด้วยความสนิทสนมดังก้องอยู่ด้านนอก ร่างบอบบางพาตัวเองก้าวลงจากที่นอน เดินตรงไปที่ประตูหวังจะแนบหูฟังให้แน่ใจว่าใครกันที่เรียกเธออยู่ หรือว่าบางทีอาจจะหูเพี้ยนไป แต่จู่ๆ ประตูกลับถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับร่างสูงใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“มาเสียทีนะนันดินี รู้ไหมว่าผมคอยคุณมานานแค่ไหนแล้ว”
“คุณเป็นใครคะ แล้วนี่รู้จักฉันได้ยังไงกัน” หญิงสาวถามขณะถูกอีกฝ่ายดันเข้าข้างใน เธอหันไปหวังจะปลุกเนห์รูให้ลุกขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน แต่กลับไม่พบร่างใครเลยสักคน ตอนนี้มีเพียงเธอกับชายแปลกหน้าเท่านั้นที่ยืนอยู่ด้วยกันตามลำพังภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของรถไฟ
“อะไรกัน คุณจำผมไม่ได้จริงๆ น่ะเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ แล้วเอื้อมมือมาแตะแก้มเธอเบาๆ
“ห้ามถูกตัวฉันนะคะ”
“อย่าหวงตัวไปหน่อยเลยน่า เมื่อก่อนเรายังเคยวิ่งเล่นด้วยกันอยู่เลย”
“เมื่อก่อนเหรอ?”
“น่าน้อยใจจังที่คุณจำผมไม่ได้”
“แต่มันยังไม่สายเกินไปนี่คะ ถ้าคุณจะบอกว่าคุณเป็นใคร”
“ผมน่ะเหรอ?” คนพูดยิ้มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ใช่ค่ะ” นันดินีพยักหน้ารับ
“ผมก็...เป็นเจ้าชีวิตของคุณน่ะสิ ผมเป็นคนเดียวที่จะได้ครอบครองคุณ” ว่าแล้วผู้ชายร่างสูงที่สวมชุดสีดำยาวคลุมเข่าก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น หญิงสาวถอยหนีเมื่อเห็นถึงเค้าความไม่น่าไว้วางใจ อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านกับสีหน้าหวาดกลัวของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแผ่นหลังของหญิงสาวก็แนบติดไปกับหน้าต่างรถไฟ
“ยะ...อย่านะ” เสียงสั่นเครือร้องห้าม แต่ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาใกล้เพื่อแนบผนึกริมฝีปากเข้าหาแนบชิด บดขยี้เรียวปากสีกุหลาบด้วยความรวดเร็วและร้อนแรง
นันดินียกมือขึ้นดันแผงอกกว้างกำยำไว้เต็มแรง พยายามสะบัดหน้าหนีสัมผัสเอาเปรียบของเขา แต่กลับถูกมือใหญ่บีบรั้งกรามเล็กไว้ในอุ้งมือแน่น จูบเน้นเคล้าคลึงบนริมฝีปากจนกระทั่งหญิงสาวเริ่มอ่อนระรวย ก่อนจะช้อนร่างเธอไปวางบนที่นอนดังเดิม แล้วเริ่มไล่มือปลดชุดส่าหรี[2] สีขาวออกจากตัว
นันดินีกรีดร้องและพยายามผลักไสอีกฝ่ายเป็นพัลวัน โดยไม่รู้ว่าความจริงนั้นเธอกำลังตบตีกับอากาศที่ว่างเปล่าอยู่เหมือนคนบ้า เนห์รูสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายดังลั่น รีบไต่บันไดลงมาที่เตียงชั้นล่างเพื่อปลุกให้นันดินีลืมตาตื่นจากฝันร้าย
“นันนี่!”
“อย่านะ! ถอยไปสิ...ออกไปให้พ้นนะไอ้คนเลว!”
“นันนี่! ลืมตาสินันนี่ นี่เนห์รูเอง...ฉันเองนันนี่” เนห์รูเขย่าตัวหญิงสาวเต็มแรง
“ไม่นะ!” ในที่สุดนันดินีก็สะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย เหงื่อกาฬไหลโซมกายเพราะในฝันเธอถูกชายปริศนารังแกจนสมความต้องการ ความเจ็บปวดยังคงตราตรึงฝังลึกในความรู้สึก แม้สัมผัสของเขาจะอ่อนโยนนุ่มนวลจนยากจะต้านทาน แต่นันดินีก็ไม่อยากใจง่ายให้ใครแตะต้อง แม้จะเป็นแค่เพียงในความฝันก็ตาม
“เป็นอะไรไป ฝันร้ายเหรอ” เนห์รูถาม
“ฉัน...ฉันฝันไปเหรอเนห์รู ที่นี่ไม่มีใครผู้ชายเข้ามาใช่ไหม! แล้ว...แล้วเธอนอนอยู่กับฉันตลอดเวลาหรือเปล่า” หญิงสาวมองสำรวจตัวเองก็พบว่าชุดส่าหรีงดงามที่สวมอยู่ยังคงมีสภาพปกติ ส่วนเนห์รูก็ยังคงมีท่าทางงัวเงียจากการเพิ่งตื่นนอน ไม่ได้หายไปไหนอย่างที่เธอคิดไปเอง
“ไม่มีใครเข้ามาหรอก ฉันล็อกประตูไว้แล้ว ที่สำคัญฉันก็นอนหลับเป็นตายอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ได้ลุกไปไหนเลย เธอคงแค่ฝันร้ายน่ะ อยากดื่มน้ำหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไร ฉันว่าฉันออกไปล้างหน้าหน่อยดีกว่า”
“งั้นไปด้วยกันเลย อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีเราก็น่าจะถึงแล้วล่ะ”
เนห์รูบอกพร้อมกับช่วยประคองนันดินีลงจากเตียง สีหน้าซีดเผือดของหญิงสาวบ่งบอกว่าฝันร้ายที่เกิดขึ้นคงน่ากลัวไม่น้อย ความจริงเธอก็อยากรู้อยู่เหมือนกันอีกฝ่ายฝันถึงอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูอ่อนเพลีย เนห์รูจึงต้องทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว
[1] Nawab หรือ Nawaab อ่านว่า นา-วอบ หมายถึง ผู้ที่มีเชื้อเจ้า ผู้สูงศักดิ์ คนใหญ่คนโต
[2] ส่าหรี (sari หรือ Saree) เป็นเครื่องแต่งกายสตรีแบบหนึ่งที่ใช้เป็นทั้งผ้านุ่งและผ้าห่ม โดยใช้ผ้าชิ้นยาวตั้งแต่ 4-9 เมตร พันผ้ารอบตัวให้ยาวกรอมเท้า นำจีบผ้านุ่งส่วนหนึ่งเหน็บไว้ที่เอวด้านหน้า เหลือชายผ้ายาวไว้ส่วนหนึ่งสำหรับใช้พาดอกและสะพายบ่า ทับเสื้อตัวสั้นด้านใน โดยมากเป็นบ่าซ้าย ห้อยชายผ้าไปด้านหลัง บ้างก็ดึงมาคลุมที่ศีรษะด้วยก็ได้
.....................................................................................................................................................
