ตอนที่ ๖ : ยอมเพราะรัก(1)
ปราชญ์ขับรถพาทอฝันไปส่งให้จนถึงโรงพยาบาล ไม่มีการกล่าวลาหรือถ้อยคำที่แสดงถึงความเสียใจที่ได้ทำลายพรหมจรรย์ของหญิงสาว ทันทีที่ร่างบอบช้ำก้าวเท้าลงจากรถและปิดประตูลง ชายหนุ่มก็เหยียบคันเร่งขับรถจากไปด้วยความเร็ว ทิ้งให้คนไม่มีความผิดมองตามด้วยความขมขื่น
อันที่ทอฝันก็ยังไม่อยากจะเผชิญหน้ากับมารดาและอรชรนัก เพราะร่องรอยบนเนื้อตัวชัดเจนเสียจนปกปิดลำบาก คิดหาทางออกอยู่นานจึงตัดสินใจใช้ครีมรองพื้นที่ปราชญ์ซื้อให้พร้อมกับเครื่องสำอางชนิดอื่น แต้มมันลงบนรอยแดงช้ำตามลำคอและส่วนที่อยู่นอกเหนือร่มผ้าทุกจุด ตบแป้งตลับตามไปเบาๆ ก็ช่วยพรางตราอัปยศได้มากโข เมื่อสำรวจตัวเองซ้ำแล้วพบว่าเรียบร้อยดี เธอถึงได้ยอมออกจากห้องน้ำของโรงพยาบาลเพื่อขึ้นไปดูแลมารดาตามที่ตั้งใจไว้
ทอฝันเคาะประตูตามมารยาทแล้วเปิดเข้าไปภายในห้อง ดวงหน้ารูปไข่น่ารักฝืนทำหน้าชื่นมืน ทั้งที่หัวอกตรอมตรมหม่นหมอง อรชรกำลังที่ปอกผลไม้ใส่จานไว้ให้คนป่วยรับประทานหลังจากตื่นนอนชะงักมือลงเพียงแค่นั้น สายตาของคนที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อนมองแค่แวบเดียวก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ทอฝันอาจจะยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างของเธอกำลังสั่นจนแทบยืนไม่ไหว ใบหน้าที่ดูไร้ความสดชื่นประกอบกับดวงตาที่ลึกโหลดำคล้ำ แสดงให้เห็นว่าที่หายไปทั้งคืนนี่คงแทบไม่ได้พักผ่อนเลย
“ออกไปคุยกันตรงระเบียงหน่อยฝัน น้ามีเรื่องจะถาม” อรชรว่าพลางวางมีดและจานผลไม้ลงบนโต๊ะข้างเตียง
“เอ่อ...ฝัน...”
“อย่าบ่ายเบี่ยงเลย ออกไปคุยกันเถอะ น้าไม่อยากให้แม่สุของฝันตื่นตอนนี้” น้าสาวต่างสายเลือดตัดบทแล้วเดินออกไปยืนรอที่ระเบียงของห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ไม่นานนักทอฝันก็ตามออกมายืนอยู่เคียงข้าง สองน้าหลานเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อน แต่ในที่สุดอรชรก็เป็นคนเปิดฉากขึ้นตามที่ตั้งใจ
“เมื่อคืนฝันหายไปไหนมา แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาเกือบเย็น”
“ฝัน...” หญิงสาวจนมุม เพราะโกหกจนแทบนับครั้งได้
“อย่าโกหกน้านะฝัน ถ้าฝันรักและเคารพน้า ฝันต้องพูดความจริงออกมาให้หมด” อรชรรั้งทอฝันให้หันมาสบตา วิธีนี้จะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโกหก แต่ถึงจะทำก็คงไม่แนบเนียนแน่ “คุณปราชญ์พาฝันไปไหน ทำไมถึงไม่พากลับมาส่งที่โรงพยาบาล รู้ไหมว่าน้าต้องหาข้อแก้ตัวกับแม่ของฝันตั้งมากมาย น้าต้องกลายเป็นคนโกหกไปแล้ว เพราะฉะนั้นน้าถึงไม่อยากให้ฝันมาโกหกน้าต่ออีกคน พูดความจริงมา ถ้าฝันไม่ยอมพูด...น้าจะไปหาคุณปราชญ์เดี๋ยวนี้เลย”
“อย่านะน้าอ้อย!” ทอฝันร้องห้ามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “อย่าไปเลยจ้ะ ฝัน...คือ...มันไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ฝันพาคุณปราชญ์ไปเอาของที่ลืมไว้ที่บ้าน แล้ว...แล้วที่บ้านคุณปราชญ์เกิดปัญหานิดหน่อย ฝันก็เลยต้องนอนค้างกับพวกพี่นวลที่เรือนคนใช้ก่อนน่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นน้าจะไม่ไปถามคุณปราชญ์ก็ได้ แต่น้าจะไปถามคนใช้บ้านนั้นว่าเมื่อคืนฝันไปค้างที่นั่นจริงไหม”
“ไม่ได้นะ น้าอ้อย อย่าไปยุ่งกับคนบ้านนั้นอีกเลย ฝันลาออกจากงานแล้ว ฝันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว น้าอ้อยอย่ามาสนใจฝันเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องห่วงฝันหรอก ฝันสบายดีทุกอย่าง ฝันสบายดีทั้งกายทั้งใจจริงๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าแม่อีกแล้ว แม่กับน้าอ้อยคือสิ่งที่ฝันเหลืออยู่ เราสนใจแค่เรื่องของเราก็พอนี่จ๊ะ” หญิงสาวกอดแขนอรชรแน่น ราวกับกลัวว่าจะบุกไปถามความจริงถึงบ้านราชรัชตะเข้าจริงๆ อากัปกิริยานั้นทำให้ผู้สูงวัยกว่าเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าสาวน้อยตรงหน้ากำลังโกหกอยู่
“น้าไม่สนใจฝันไม่ได้หรอก เพราะแม่สุของฝันบอกไว้ว่าถ้าถึงวันหมดบุญเมื่อไร ฝันจะต้องอยู่ในความดูแลของน้า ฝันรู้ไหมว่าน้ารักและหวังดีกับฝันมากแค่ไหน จะให้น้ามองผ่านเรื่องแบบนี้ไป น้าทำไม่ได้จริงๆ ฝันพูดเองไม่ใช่หรือว่าเรามีกันอยู่แค่นี้ แล้วทำไมฝันถึงไม่ไว้ใจน้าละ ฝันโกหก ฝันไม่ยอมพูดความจริงเพราะไม่ไว้ใจน้าใช่ไหม...เพราะน้ามันเป็นแค่คนอื่นใช่ไหมฝัน” อรชรน้ำตาซึม
“ไม่เลยจ้ะ น้าอ้อย สำหรับฝันแล้วน้าอ้อยก็เปรียบเสมือนแม่ของฝันอีกคนหนึ่ง ฝันไม่เคยคิดว่าน้าอ้อยเป็นคนอื่นเลยนะ น้าอ้อยอย่าร้องไห้เลย ไม่อย่างนั้นฝันคงต้องร้องไห้ตามแน่ๆ” พูดไปน้ำสีใสก็คลอรื้นขึ้นเต็มหน่วยตา
“ถ้าไม่อยากให้น้าคิดแบบนี้...ถ้าไม่อยากเห็นน้าร้องไห้เสียใจ ฝันก็บอกมาตรงๆ สิว่าหายไปไหนมา น้าไม่เชื่อที่ฝันพูดง่ายๆ หรอกนะ เมื่อวานตอนที่คุณปราชญ์มาส่ง น้าไม่ได้สังเกตอะไรมาก แต่พอมานั่งทบทวนถึงคิดได้ว่าเขาดูแปลกไป ปากพูดดีมีรอยยิ้ม แต่แววตาดูเหมือนเคียดแค้นใครจนอยากฆ่าให้ตาย”
“เขาเกลียดฝันจ้ะ แต่ตอนนี้ความเกลียดมันคงลดลงบ้างแล้ว เพราะเขาได้ระบายมันลงกับฝันหมดแล้ว” ทอฝันยิ้มสมเพชตัวเองทั้งน้ำตา ในเมื่ออรชรพูดถึงขนาดนี้เธอก็ไม่อยากปิดบังอีก
“ฝัน!” คนฟังยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ
“คุณปราชญ์หลอกฝันว่าจะไปเอาของที่บ้าน แต่ความจริงเขาพาฝันขับรถไปที่บ้านหลังหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาข่มขืนฝันหลายครั้งหลายหนจนฝันแทบขาดใจตาย ฝันคิดว่าบางทีฝันอาจจะตายไปแล้ว ถ้าจู่ๆ เขาไม่พาหมอมาดูอาการฝันและฉีดยาให้จนถึงที่” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนล้นอก
“โธ่ ฝัน! ทำไมถึงเป็นแบบนี้...ทำไม” อรชรรั้งร่างผอมบางเข้ามากอดแน่น ลูบไหล่ลูบหลังอย่างปลอบประโลม
“น้าอ้อย...ฝันเจ็บ...ฝันเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” ทอฝันร้องไห้โฮอยู่ในอ้อมกอดอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัวแล้วนะลูก น้าจะไม่ให้มาทำร้ายฝันได้อีกแล้ว น้าจะแจ้งความจับผู้ชายสารเลวนั่นเข้าคุกเอง” อรชรโกรธจนนึกอยากพาตำรวจไปลากคอปราชญ์เข้าคุกเสียตอนนี้เลย แต่คนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกรีบผละออกห่าง สั่นศีรษะเพื่อไม่ให้น้าสาวทำอย่างที่พูด
“ไม่ต้องให้เรื่องนี้บานปลายหรอกจ้ะ น้าอ้อย คุณปราชญ์ยอมปล่อยฝันมาก็เพราะฝันให้สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ฝันไม่อยากผิดคำพูด ที่สำคัญเขาทำร้ายฝันเพราะความเข้าใจผิด เขากล่าวหาว่าฝันไปทำลายครอบครัวเขา เขาคิดว่าฝันไปเป็นเมียน้อยของพ่อเขา...ทั้งที่ฝันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของคุณปราชญ์เป็นใคร”
“ตายจริง! ทำไมเขาถึงคิดอะไรอกุศลนักนะ นี่ฝันจะปล่อยให้คนชั่วได้ใจจริงๆ หรือ”
“ฮึก...ฝันขอร้องเถอะนะ น้าอ้อย แค่นี้ฝันก็ทั้งอับอายทั้งรังเกียจตัวเองจะแย่แล้ว อย่าให้ใครมารู้เรื่องสกปรกที่เกิดขึ้นกับฝันอีกเลยนะ ขอให้มันเป็นความลับระหว่างเราสองคนเถอะจ้ะ ฝันสัญญาว่าจะกลับมาเข้มแข็งให้ได้เหมือนเดิม ฝันจะลืมให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฝันเอ้ย เรื่องแบบนี้ลูกผู้หญิงอย่างเราไม่มีทางลืมมันได้หรอกนะลูก น้าสงสารฝันเหลือเกิน ไม่รู้จะมีเวรมีกรรมอะไรนักหนา” อรชรดึงทอฝันเข้ามากอดปลอบประโลมอีกครั้ง น้ำตาไหลออกมาด้วยความเวทนาในชะตากรรมอันโหดร้าย อยากจะใช้กฎหมายเอาผิดคนชั่วให้หลาบจำ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของทอฝันและหัวอกคนเป็นแม่ที่ป่วยหนักใกล้หมดลมหายใจขึ้นมา อรชรจึงทำได้แค่สาปแช่งปราชญ์ให้ทนทุกข์ทรมานไม่ต่างจากที่ทอฝันเป็น และยกเลิกความคิดที่จะทำให้เรื่องบานปลาย เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงของทอฝัน
“มันอาจยากที่จะลืม แต่ฝันจะพยายามจ้ะ”
“น้าเอาใจช่วยนะ แต่ตอนนี้ฝันต้องไปกับน้าก่อน เดี๋ยวน้าจะฝากแม่สุไว้กับพยาบาลพิเศษสักครึ่งชั่วโมง”
“ไปไหนจ๊ะ?”
“ไปซื้อยาคุมฉุกเฉินน่ะสิ เรื่องแบบนี้มันไว้ใจไม่ได้หรอกนะฝัน เกิดท้องขึ้นมาเรื่องมันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”
“ท้อง!” ทอฝันใจหายวาบ
“ใช่ ถ้าโชคร้ายฝันก็อาจจะตั้งท้อง เพราะนั้นควรกินยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินกันเอาไว้ก่อน แล้วก็ต้องกินภายในวันนี้ด้วยนะ น้าจำได้ลางๆว่าถ้าปล่อยเอาไว้หลายวันยาจะออกฤทธิ์ได้ไม่ดีพอ ยิ่งถ้าเกินสามวันนี่กินยาก็อาจจะไม่ทันแล้วด้วย” อรชรรอบคอบเสมอ ไม่ใช่ว่ามีประสบการณ์ตรง แต่คนใกล้ชิดเคยมาปรึกษาเรื่องพวกนี้บ่อย จนเกือบกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฝันจะรีบไปซื้อยานั่นเดี๋ยวนี้เลยจ้ะ ฝันยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครทั้งนั้น โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจของใครเลย” ดวงตาของหญิงสาวหม่นเศร้าจนคนมองแทบน้ำตาไหลออกมาอีก “น้าอ้อยอยู่ดูแลแม่เถอะนะจ๊ะ ฝันจะไปซื้อยาเอง คงมีร้านขายยาอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้นัก ฝันจะรีบกลับจ้ะ”
“ฝันกล้าซื้อเองหรือ” อรชรคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กสาวอยู่ไม่น้อย
“กล้าจ้ะ ฝันไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะฝันไม่ใช่เด็กใจแตก...ฝันก็แค่ถูกกระทำ”
“ฝัน...”
“เอาเถอะจ้ะ ฝากแม่ด้วยนะจ๊ะ น้าอ้อย ฝันไปไม่นานหรอก ได้ยาแล้วจะรีบกลับมาเลย” ทอฝันตัดบทพร้อมดึงมือน้าสาวมากุมไว้ ริมฝีปากบางที่เห่อบวมจากการถูกเอาเปรียบยิ้มให้อย่างขมขื่น และรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง ร่างบางหยุดชะงักอยู่ที่ปลายเตียงมารดาครู่หนึ่ง ก่อนจะตรงเข้าไปจุมพิตที่ข้างแก้มแผ่วเบา แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว จึงต้องรีบเดินเลี่ยงไปหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วรีบออกไปจากห้องผู้ป่วยมุ่งหน้าลงไปยังลานจอดรถชั้นล่างสุด
ทอฝันไม่ได้เรียกรถแท็กซี่ หรือสนใจมอเตอร์ไซค์วินที่อาสาไปส่งให้ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เจ้าของร่างบอบบางย่างก้าวไปบนฟุตปาธด้วยฝีเท้าที่เชื่องช้าและสั่นเทา สายตาสอดส่องมองหาร้านขายยาที่ริมข้างทาง แต่ยังไม่พบจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ อยู่นานหลายนาที เหงื่อกาฬแตกพลั่กตามแนวไรผม เพราะอากาศร้อนอบอ้าวคล้ายกับว่าฝนกำลังจะเทลงมาอย่างหนัก คิดอยู่ยังไม่ทันไรมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลังจากส่งทอฝันที่โรงพยาบาลแล้ว ปราชญ์ก็ขับรถออกมาจอดอยู่ริมถนนนานเกือบครึ่งชั่วโมง กำลังคิดหนักว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นมันถูกต้องแล้วหรือเปล่า อีกทั้งยังสับสนเรื่องที่ทอฝันยังไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อนอีก หากเขาไม่ได้เมาจนเพี้ยนไปเองก็แสดงว่าทอฝันเล่นละครได้อย่างสมบทบาททีเดียว แต่ไม่น่าใช่...ทอฝันไม่ได้เล่นละครอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าเธอทำจริงๆ ตอนที่เขาพยายามโอ้โลมรุกเร้าให้คล้อยตาม เธอก็คงแสดงความโชกโชนออกมาบ้างแล้ว แต่นี่แม้กระทั่งจูบก็ยังบอกได้ถึงความสะเปะสะปะไม่รู้เดียงสาของเธอ
“เลิกก่อกวนฉันเสียที ทอฝัน!” ชายหนุ่มพึมพำด้วยอึดอัดใจ ยกมือขึ้นคลึงขมับหวังว่ามันจะช่วยคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง ก่อนจะเอื้อมมือไปหมุนกุญแจสตาร์ทเครื่องรถ หลังจากฟุ้งซ่านอยู่นานก็เพิ่งมาคิดได้ว่าควรไปดูอาการของมารดาเสียหน่อย เขาปล่อยให้นวลกับป้าพิศช่วยกันดูแลแทนมาทั้งคืนแล้ว
รถยนต์เคลื่อนตัวไปได้ไม่นาน ฝนก็ตกหนักจนการจราจรเกิดอัมพาตชั่วคราว ขณะที่รถติดอยู่นั่นเองสายตาคมก็เหลือบมองไปเห็นร่างคุ้นเคยกำลังเดินตากฝนอยู่ริมถนน ท่าทางเหม่อลอยเสียจนน่ากลัวจะถูกรถราที่ขับผ่านไปมาเฉี่ยวชนเอา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจนักว่าใช่คนที่เขาเพิ่งลงโทษไปหรือเปล่า แต่เมื่อลดกระจกแล้วมองออกไป ถึงได้เห็นชัดว่านั่นคือทอฝันที่เปียกโชกไปทั้งตัว จนมองเห็นสัดส่วนโค้งเว้าชัดเจน
อารมณ์หึงหวงแล่นขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใด ปราชญ์เปิดประตูลงจากรถ โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเปียกตามไปอีกคนหรือไม่ ชายหนุ่มก้าวอาดๆ ตรงเข้าไปหาแล้วกระชากข้อมือเล็กให้หันมาเผชิญหน้า ทอฝันตกใจจนเผลออุทานออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าคนตัวสูงที่ถือวิสาสะมาแตะต้องตัวเธอคือปราชญ์ เธอก็รีบบิดข้อมือหนีแล้วตั้งใจว่าจะร้องขอความช่วยเหลือ
“ถ้าเธอตะโกน ฉันจะจูบเธอต่อหน้าคนอื่นเดี๋ยวนี้เลย!...อาจไม่หยุดแค่จูบด้วย” ปราชญ์ข่มขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฝันจะไม่ตะโกนก็ได้ แต่คุณปล่อยมือฝันสิคะ ฝันเจ็บ!” หญิงสาวว่าพลางมองไปรอบตัว นี่ถ้าตะโกนร้องขอความช่วยเหลือขึ้นมาจริงๆ คงไม่มีใครได้ยินเธอแน่ ฝนตกหนักกับฟ้าที่ร้องคำรามลั่นดูจะเกิดขึ้นไม่เป็นเวลาเอาเสียเลย
“เป็นบ้าอะไรถึงมาเดินตากฝนโชว์เนื้อหนังแบบนี้ฮะ!” เขาตะคอกใส่ บีบข้อมือแน่นจนคนตัวเล็กทำหน้าเบ้
“คุณปราชญ์ไม่ต้องมาสนใจฝันหรอก!”
“จำที่ฉันบอกไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มยิ้มเหี้ยม “ฉันบอกเธอว่าถ้าให้ฉันเจอหน้าเธออีก เธอจะเจ็บยิ่งกว่าเมื่อคืนนี้เป็นร้อยเป็นพันเท่าเลย...จำไม่ได้แล้วหรือ!”
“ฝันไม่ได้อยากให้คุณปราชญ์เจอหน้าหรอกนะคะ ฝันกำลังเดินอยู่ของฝันดีๆ คุณเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายโผล่หน้ามาให้ฝันเจอ” ทอฝันเถียงไม่ลดละ ยังคงบิดข้อมือหนี แม้มันจะทำให้เขายิ่งบีบแน่นจนกระดูกแทบแหลกก็ตาม “ปล่อยฝันแล้วไปให้ไกลสิคะ คุณได้ทุกอย่างจากฝันไปหมดแล้ว คุณจะมาวุ่นวายกับฝันอีกทำไม!”
“ฉันก็ไม่พิศวาสอยากยุ่งอะไรกับเธอนักหรอก แต่จะให้มองดูเมียตัวเองเดินอ่อยยั่วผู้ชายไปทั่ว ฉันทนไม่ได้!”
“อย่ามาหยาบคายนะคะ ฝันไม่ใช่เมียคุณ!”
“แต่เป็นเมียของพ่อฉันอย่างนั้นสิ!”
