เพรงพันธกานต์

196.0K · จบแล้ว
อินทุภา
57
บท
811
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ปล่อยฝันนะคะคุณปราชญ์!” ทอฝันน้ำตาร่วงพรูดูน่าเวทนา ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของปราชญ์รู้สึกผิดที่คิดทำร้ายเธอ เขาอยากปล่อยเธอไปให้พ้นจากชีวิต แต่พอนึกถึงสิ่งที่เธอทำอย่างหยาบช้า แรงโทสะก็ทำให้เขาหน้ามืดตามัว ลืมสิ้นทุกสิ่งที่ผิดชอบชั่วดี “ฉันไม่ปล่อย! คืนนี้ฉันจะทำให้เธอรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเองทอฝัน ต่อไปเธอจะได้ไม่กล้าเข้ามาทำลายครอบครัวฉันอีก” ปราชญ์ถูลู่ถูกังพาหญิงสาวตรงไปยังประตู รีบนำกุญแจที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มออกมา เมื่อประตูกระจกบานใหญ่ถูกไขให้เปิดออกแล้ว ชายหนุ่มจึงผลักร่างบางให้เข้าไปข้างในเป็นคนแรก ด้วยความที่ไม่ทันระวังทำให้ข้อเท้าเล็กพลิกแพลงจนหกล้มไม่เป็นท่า “คุณปราชญ์...” เสียงของทอฝันสั่นเครือ “อย่ามาทำสำออย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย!” เขาฉุดข้อมือที่แดงช้ำให้ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยความที่รู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อเท้า หญิงสาวจึงล้มลงไปกองบนพื้นอีกครั้ง ปราชญ์สบถเสียงดังลั่นอย่างหงุดหงิดใจ ในเมื่อทอฝันแสร้งมารยาไม่ยอมลุกขึ้นตามคำสั่ง ชายหนุ่มจึงเป็นคนช้อนร่างบอบบางขึ้นเสียเอง เธอดิ้นรนสุดแรง รัวกำปั้นเล็กลงบนไหล่และแผ่นอกของเขา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฝีเท้าที่มั่นคงหยุดลงแต่อย่างใด

นิยายรักโรแมนติกแก้แค้นนิยายปัจจุบันโรแมนติกนิยายรักดราม่า

ตอนที่ ๑ : ทอฝัน (1)

เสียงโหวกเหวกจากข้างนอกทำให้เด็กสาววัยสิบแปดปีต้องละมือจากกะละมังซักผ้าใบใหญ่ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยเพื่อเปิดก๊อกน้ำล้างมือให้ปราศจากฟองสีขาวฟูฟ่อง แล้วรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านไม้หลังเล็กที่มีสภาพโกโรโกโสด้วยความร้อนรน ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือมารดาของเธอกำลังตบตีอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอายุมากกว่าพอสมควร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เธอจำความได้แล้ว

ทอฝัน พงษ์พินิจ ตะโกนเรียกมารดาเสียจนสุดเสียง ก่อนจะปราดเข้าไปห้ามทัพระหว่างสองสาวต่างวัย ทั้งสามคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา จนทอฝันที่ตัวเล็กกว่าใครถูกผลักจนล้มหงายก้นกระแทกพื้น เพื่อนบ้านที่เป็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่ยื่นมือจะเข้ามายุ่งเกี่ยว

“หยุดได้แล้วครับ น้าสุ! ถ้าพวกน้าไม่หยุด ผมจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย อยากรู้ว่าผมจะทำจริงไหมก็พิสูจน์ได้เลยนะ” คำขู่ของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะได้ผล เพราะทั้งสองคนหยุดตบตีกันแล้วผละออกห่างอย่างไม่พอใจแทบจะในทันที สุภายกมือขึ้นลูบผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงให้เข้าที่ ตวัดสายตามองคนที่มาห้ามด้วยตาเชือดเฉือน แล้วหันไปชี้หน้าด่าคู่กรณีส่งท้าย

“คราวหน้ากูเอามึงตายแน่อีแก่! จำใส่หัวไว้ด้วยนะว่ากูไม่เคยสนใจไอ้ผัวหัวล้านลงพุงของมึงหรอก มีแต่มันนั่นแหละที่อยากได้กูจนตัวสั่น ก่อนจะโวยวายหาเรื่องกู มึงช่วยถามผัวแม่ของมึงให้กระจ่างก่อนเถอะ เออ...ฝากบอกมันด้วยว่ากูน่ะคนมีระดับโว้ย กูจะนอนกับใครเงินต้องถึง ผัวมึงแค่เลี้ยงข้าวสักจานยังคิดแล้วคิดอีก กูไม่สนมันหรอก!”

“ขึ้นชื่อว่าโสเภณีมันก็ต่ำเหมือนกันหมดแหละ อย่ามาอ้างว่ามีระดับหน่อยเลย อย่างมึงมันก็ระดับใต้สะดือเหนือหัวเข่าเหมือนพวกอีตัวตามซ่องทั่วไปนั่นแหละวะ!”

“ปากดีนักนะ อีหนังเหี่ยว มึงอยากโดนอีกสักดอกใช่ไหมฮะ!” สุภาตั้งท่าจะเข้าหาอีกฝ่าย แต่ลูกสาวรีบคว้าแขนเอาไว้ แล้วดึงกึ่งฉุดกระชากให้รีบกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเด็กหนุ่มที่เข้ามาช่วยห้ามปรามก็กันท่าไม่ให้หญิงแก่ตามเข้าไปต่อความยาวสาวความยืดอีก พยายามไกล่เกลี่ยอยู่นาน พอไม่ได้ผลก็ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ นั่นแหละถึงได้ยอมเลิกราต่อกันแล้วกลับบ้านไป

ทอฝันจัดการลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา หันมามองมารดาที่นั่งหอบจนทรวงอกสะท้อนขึ้นลง หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินไปตักน้ำเย็นในกระติกมาส่งให้ สุภารับมันมาดื่มอย่างกระหาย แล้วขว้างแก้วเปล่าลงพื้นอย่างนึกโมโห เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่

“ขยันมาหาเรื่องกันได้ตลอด กูละเบื่อจริงๆ เมื่อไรจะรวยสักทีวะ จะได้ย้ายไปอยู่ให้ไกลๆ เสียที” นักร้องคาเฟ่วัยสามสิบห้าปีบ่นอุบอิบ สุภาเป็นคนสวยและรูปร่างดี ชาติตระกูลก็จัดว่าไม่ต้อยต่ำไปกว่าใคร เพียงแต่การกระทำที่ผิดพลาดเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น ทำให้เธอเลือกหนีไปอยู่กับชายคนรัก และตั้งท้องเมื่อตอนอายุแค่เพียงสิบเจ็ดปี ผู้เป็นสามีที่อายุต่างกันเกือบสิบปีก็บังคับให้ทำแท้ง แต่เธอไม่เลวพอที่จะฆ่าลูกของตัวเอง จึงตัดสินใจทิ้งผู้ชายเฮงซวยนั่น แล้วพาลูกในท้องระหกระเหินเผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง

ช่วงแรกสุภาลำบากมากจนแทบต้องกลายเป็นขอทาน แต่โชคดีที่เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งเกิดความเมตตา เสนอให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟและทำความสะอาดหลังปิดร้าน ให้เงินเดือนและที่อยู่ที่จัดว่าสะดวกสบายพอตัว จนกระทั่งคลอดทอฝันออกมาได้ไม่นาน เศรษฐกิจที่สุดแสนจะย่ำแย่ก็ทำให้ร้านอาหารแห่งนั้นต้องปิดตัวลง

สุภาต้องหอบลูกน้อยไปสมัครงานที่อื่น แต่ก็ไม่มีที่ไหนอยากรับแม่ลูกอ่อนเข้าทำงาน เพราะกลัวว่าจะทำงานได้ไม่เต็มที่ สองแม่ลูกต้องกินอยู่อย่างอดอยากจนเงินเก็บเริ่มร่อยหรอ สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดจึงต้องหันไปทำงานในคาเฟ่ โดยจ้างคนมาช่วยดูแลลูกในช่วงกลางคืน ส่วนกลางวันก็เลี้ยงเองตามยถากรรม สุภายังคงยึดตำแหน่งนี้เรื่อยมาจนทอฝันเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ซึ่งคงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เพราะหลายปีมานี่มีคาเฟ่เปิดใหม่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ไหนจะไนต์คลับและผับดังอีกมากมาย

ลูกค้าประจำที่จ่ายหนักใจดีพากันหนีหน้าไปหาสถานที่ใหม่ๆ ที่ดูทันสมัยกว่า หากสุภาไม่หลวมตัวต่อสัญญากับคาเฟ่ที่ทำงานอยู่นานถึงสามปี ป่านนี้คงไปทำงานที่อื่นตามที่มีคนมาทาบทามไปนานแล้ว กว่าจะหลุดพ้นจากสัญญาทาสนั่นก็นานถึงหกเดือน เอาไว้หมดสัญญาเมื่อไร สุภาจะรีบไปสมัครงานที่อื่นทันที เผื่อรายได้จะกลับมาดีเหมือนเมื่อก่อน จะได้ส่งลูกสาวคนเดียวเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเหมือนลูกคนอื่นเขาบ้าง

“อย่าหวังถึงขั้นรวยเลยจ้ะแม่ แค่พออยู่พอกินก็ดีถมเถแล้ว” ทอฝันว่าพลางเก็บแก้วน้ำพลาสติกไปไว้ที่เดิม

“แค่พออยู่พอกินมันไม่พอหรอกฝัน ดูอย่างตอนนี้เราก็พออยู่พอกินนะ ไม่ได้อดอยากเหมือนเมื่อก่อน แต่แกก็ต้องมาช่วยแม่หาเงินลำบากลำบน ไหนจะรับทำความสะอาดบ้าน ไหนจะรับซักรีดเสื้อผ้า แล้วไหนจะงานอีกสารพัดที่แกรับทำอีก ตอนนี้แกน่ะผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดแล้ว” สุภามองสำรวจลูกสาวแล้วก็นึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาอีก ถึงจะไม่ใช่แม่ที่ดีนัก แต่เชื่อได้เลยว่าเธอรักลูกมากพอจนไม่อยากทนเห็นลูกต้องพลอยลำบากตามไปด้วยแบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ ช่วยกันทำมาหากินไม่เห็นจะผิดตรงไหน ฝันดีใจนะที่ได้ช่วยแม่บ้าง” ทอฝันระบายยิ้มน่ารัก แม้จะผอมบางเพราะเอาแต่ทำงานจนลืมใส่ใจตัวเอง แต่ก็ถือว่าเป็นสาวแรกรุ่นที่สวยที่สุดในละแวกนี้แล้ว หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันรุมจีบกันทั่วซอย แต่หญิงสาวคิดเสมอว่านี่ไม่ใช่วัยที่ต้องให้ความสำคัญกับความรักฉันท์ชู้สาว สุภาใช้อดีตที่ผิดพลาดของตัวเองสั่งสอนทอฝันอยู่ทุกวี่วันจนท่องทำได้ขึ้นใจแล้ว

“แม่รู้ว่าแกอยากช่วย แต่วัยนี้มันเป็นวัยศึกษาหาความรู้นะ ถ้าไม่อยากโง่เหมือนแม่ก็หาเวลาอ่านหนังสือบ้าง เผื่ออีกหน่อยแม่อาจจะมีเงินส่งแกเรียนต่อ หัวสมองจะได้ไม่โดนสนิมกินจนฝ่อไปหมดเสียก่อน” สุภาเอ่ยขึ้นพร้อมกับสบตา ทอฝันไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับฟังคำพูดของมารดาเท่านั้น ทว่าในใจกลับลิงโลดอย่างประหลาด เมื่อมีความหวังว่าสักวันหนึ่งอาจจะได้เรียนต่อเหมือนเพื่อนคนอื่น

“แม่จะกินข้าวเลยไหมจ๊ะ ฝันจะได้ตำน้ำพริกแล้วก็ทอดปลาทูให้” หญิงสาวถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่ก็สายมากแล้ว

“ไม่ต้องหรอก แม่กินจากคาเฟ่มาแล้ว แขกเขาเลี้ยงน่ะ” ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าปฏิเสธ ยกมือขึ้นลูบแก้มที่เป็นรอยแดงช้ำจากการถูกตบเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากโซฟาที่เก่าจนขาด “แม่ไปนอนก่อนแล้วกัน สักบ่ายสองถ้าแม่ยังไม่ตื่นก็เข้าไปปลุกด้วยนะ...เออ ฝัน คืนนี้ก็ปิดประตูดีๆ ละ แม่คงไม่ได้กลับมานอนบ้านหรอก” พูดจบสุภาก็ตั้งท่าจะเดินแยกไป

“เดี๋ยวจ้ะแม่ คือ...ฝันอยากรู้ว่าทำไมช่วงนี้แม่ไม่กลับมานอนบ้านละจ๊ะ งานแม่เลิกตีสาม ปกติแม่จะมาถึงบ้านตอนเกือบตีสี่ทุกวัน แต่หลายวันมานี่แม่กลับเกือบเก้าโมงตลอด แม่ไปนอนที่ไหนมาจ๊ะ” แต่คำถามของทอฝันหยุดฝีเท้าให้ชะงักกลางครัน

“แกจะถามทำไมฝัน! แม่จะกลับมานอนหรือไม่มามันก็ไม่ใช่เรื่องของแก ไม่ต้องมาสนใจเรื่องงานแม่หรอก แกทำหน้าที่ของตัวเองไปเถอะ รู้ไว้อย่างเดียวก็พอว่าแม่ทำอะไรไปก็เพื่อแกทั้งนั้นแหละ แม่ไม่เคยอยากทำเพื่อตัวเองหรอก” สุภาหันมาตะคอกใส่ลูกสาวเสียจนสะดุ้งสุดตัว

“ฝัน...ฝันแค่กลัวน่ะจ้ะแม่ ฝันถามเพราะไม่อยากนอนคนเดียว”

“แกอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้วนะ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย เวลาแม่ไม่อยู่ก็ล็อกประตูให้ดี ใครมาเคาะก็ไม่ต้องเปิดสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ถ้ากลัวมากนักก็ไปนอนบ้านนังอ้อยมันสิ นังนั่นมันเอ็นดูแกเหมือนลูกในไส้เลยไม่ใช่หรือ แล้วก็จำไว้ด้วยนะว่าแม่ไม่มีทางอยู่คุ้มหัวแกไปได้ตลอดชีวิตหรอก ทำตัวให้มันเข้มแข็งเข้าไว้ เวลาไม่มีแม่แกจะได้ชิน...คนเราจะตายวันตายพรุ่งน่ะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกนะฝัน” สุภาตอบปัด สีหน้าดูหม่นหมอง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนแคบๆ ที่นอนได้สองคนเท่านั้น

ทอฝันมองตามแผ่นหลังของมารดาไปด้วยความรู้สึกเสียใจ สำหรับคนที่ไม่มีพ่อไม่มีญาติพี่น้องอย่างเธอ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ยินถ้อยคำที่ดีจากแม่ ซึ่งเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิต ทอฝันรู้ว่าแม่รักเธอและพยายามหาสิ่งที่ดีให้กับเธอเสมอ เพียงแต่บางทีเธอก็อยากได้ยินคำพูดปลอบประโลมหรืออ้อมกอดของแม่บ้าง

ทอฝันก้มหน้าลงมองมือตัวเองเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกแย่ ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง พยายามกลั้นน้ำตาสุดกำลังเพราะไม่อยากแสดงตัวเป็นคนอ่อนแอ หลังจากยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นถอนหายใจ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปหลังบ้านเพื่อจัดการซักผ้ากองโตต่อให้เสร็จ เพื่อที่จะได้ตากให้แห้งทันรีดในช่วงหัวค่ำเหมือนทุกวัน เพราะพรุ่งนี้เธอจะต้องนำผ้าไปส่งตามกำหนด ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกนายจ้างต่อว่าเอาได้

ละแวกที่ทอฝันอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กถูกเรียกว่าสลัม สภาพแวดล้อมดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ก็ดีที่ท้ายซอยมีท่าน้ำให้ไปนั่งเล่นได้ บางทีการนั่งมองผักตบชวากับเศษขยะที่เป็นฝีมือของคนมักง่ายบางคน มันก็ช่วยให้คิดมากน้อยลง วันนี้เป็นอีกวันที่สุดแสนจะน่าเบื่อ แม่ของเธอไม่ได้กลับบ้านมาเกือบสามวันแล้ว

โทรศัพท์ไปหาก็ติดต่อไม่ได้ เพื่อนหนุ่มคนเดียวของเธอที่อยู่บ้านชิดติดกันก็เพิ่งมาบอกลาเมื่อวันก่อน เพราะสอบติดที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในเชียงใหม่ ทำให้ต้องเดินทางไกลและอาจไม่ได้พบกันบ่อยมากนัก และที่ทำให้น่าเบื่อกว่านั้นคือช่วงนี้ไม่มีงานซักรีดหรือจ้างทำความสะอาดบ้างเลย

“มานั่งอยู่นี่เอง น้าตามหาตั้งนานแน่ะฝัน” อรชรหรือที่คนทั่วซอยเรียกกันว่าอ้อยเอ่ยทักขึ้นจากข้างหลัง เธอเป็นเจ้าของร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ทั้งขายปลีกและขายส่ง มีลูกน้องคอยช่วยงานถึงสามสี่คน ถือว่ามีฐานะดีพอสมควร หน้าตาผิวพรรณก็ดูดี แต่กลับครองตัวเป็นโสด เพราะเคยโดนผู้ชายหลอกลวงมานักต่อนักแล้ว เธอเอ็นดูทอฝันเสมือนเป็นน้าหลานสายเลือดเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

“ฝันมานั่งเล่นจ้ะ น้าอ้อยตามหาฝันมีอะไรหรือจ๊ะ” ทอฝันลุกขึ้นพร้อมปัดกางเกงเบาๆ ให้ฝุ่นร่วง

“น้ามีข่าวเรื่องงานมาบอก เมื่อเช้าน้าขับรถผ่านบ้านเศรษฐีที่หมู่บ้านใหญ่ๆ ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าเท่าไรนัก เห็นเขาติดป้ายรับสมัครคนทำความสะอาดชั่วคราว อายุระหว่างสิบแปดถึงสามสิบปี ทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงถึงห้าโมงเย็น น้าไม่รู้หรอกนะว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไร แต่ดูจากฐานะแล้วคงได้หลายตังค์เชียวแหละ” อรชรทำตาโต

“จริงหรือจ๊ะ! น้าอ้อยช่วยบอกให้ละเอียดอีกทีได้ไหมว่าบ้านหลังนั้นอยู่ตรงไหน ฝันจะรีบไปสมัครดูวันนี้เลย” ทอฝันยิ้มกว้างหลังจากที่ยิ้มไม่ออกมาหลายวัน ข่าวที่อรชรนำมาบอกในวันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว

“ไม่ต้องให้บอกหรอกว่าบ้านหลังนั้นอยู่ตรงไหน เดี๋ยวน้าจะขับรถไปส่งฝันเองเลย น้าเองก็อยากให้ฝันได้งานทำเหมือนกัน นี่ถ้าฝันได้งานทำจริงๆ น้าจะให้ยืมรถมอเตอร์ไซค์ขับไปทำงานนะ”

“อย่าเลยจ้ะ น้าอ้อย แค่ที่ผ่านมาฝันก็ทดแทนบุญคุณน้าอ้อยไม่หมดแล้ว” หญิงสาวดูเกรงใจ

“ทดแทนบุญคุณอะไรกันฝัน บุญคุณน่ะมันเอามาขายกินไม่ได้หรอกนะ น้าช่วยเพราะฝันเป็นเด็กดี เด็กบางคนมักเอาข้ออ้างเรื่องการมีชีวิตที่ยากลำบากมาใช้ในการทำความผิด แต่ฝันไม่ได้เป็นแบบนั้น แถมยังสู้ชีวิตตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก ถ้าอยากตอบแทนน้า ฝันก็แค่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีก็พอ เป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีของแม่สุก็พอแล้วละ” อรชรยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กได้รูปอย่างเอ็นดู บางทีการเป็นสาวโสดที่ไม่มีลูกไม่มีสามีก็มีข้อเสียคือความเหงา โชคดีแค่ไหนแล้วที่มีเด็กน่ารักอย่างทอฝันคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ให้สุขใจได้ทุกวัน

“ขอบคุณน้าอ้อยมากจ้ะ ฝันจะไม่ลืมคำสอนของน้าอ้อยเลย” หญิงสาวยกมือกระพุ่มไหว้อย่างรู้สึกขอบคุณ

“ดีมากจ้ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยนะ น้ากลัวจะมีมือดีมาตัดหน้าฝันไปก่อน แบบนั้นคงเจ็บใจแย่” อรชรยิ้มอบอุ่น

“คงอยู่ที่โชคแล้วละจ้ะ ฝันคงต้องไปเสี่ยงดู” พูดจบ ทอฝันก็เดินตามไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายแล้วรับหมวกกันน็อคมาสวมเพื่อความปลอดภัย สองน้าหลานต่างสายเลือดพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทาง ผ่านไปราวสิบนาทีเศษก็ถึงจุดหมาย อรชรจอดรถตรงหน้าบ้านแล้วดับเครื่อง ขณะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังลั่นขึ้น

“ฝันลงไปกดกริ่งเลยนะ เดี๋ยวน้ารับโทรศัพท์ก่อน” สาวใหญ่หันมาบอก

“ได้จ้ะ” ทอฝันพยักหน้ารับคำแล้วก้าวลงจากรถ ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่บ้านหลังงามไม่วางตา ความจริงมันควรเรียกว่าคฤหาสน์เสียมากกว่า เพราะใหญ่โตมโหฬารสุดจะบรรยายจริงๆ ร่างระหงที่บอบร่างก้าวตรงไปที่ประตูช้าๆ ยังไม่ทันได้เอื้อมมือไปกดกริ่งที่อยู่ตรงข้างประตูรั้ว เสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังเสียก่อน

อรชรรีบวางสายโทรศัพท์ ผงกศีรษะขอโทษขอโพยที่จอดรถขวาง ก่อนจะรีบนำรถไปให้พ้นทางเข้าออกของเจ้าของบ้าน กระจกรถสีทึบถูกเปิดลงเผยให้เห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งนั่งประจำอยู่ในตำแหน่งพลขับ นิ้วมือเรียวสวยราวกับผู้หญิงดึงแว่นกันแดดสีชาออกให้พ้นใบหน้า ก่อนจะมองไปที่ทอฝันอย่างนึกสงสัย แต่กลับไม่ได้พูดจนกระทั่งอรชรเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน

“คือ...ฉันพาหลานสาวมาสมัครงานน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่จอดรถขวางประตู”

“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มเอ่ยกับผู้สูงวัยกว่าอย่างสุภาพ “แต่จะมาสมัครงานในตำแหน่งคนทำความสะอาด ต้องอายุขั้นต่ำสิบแปดปีนะครับ หลานคุณน้าอายุถึงแล้วหรือ” ดวงตาคู่คมหันไปสำรวจรูปร่างหน้าตาของเด็กสาวที่ยืนก้มหน้างุดอยู่ไม่ไกล มันทำให้เขาไม่ได้เห็นใบหน้าสวยหวานของเธอชัดเจนนัก

“ทอฝันอายุครบสิบแปดปีแล้วค่ะ” อรชรบอกตามความจริง

“ทอฝัน...” เขาพึมพำชื่อเธอเบาๆ แล้วยิ้ม “ผมว่าเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า เดี๋ยวเชิญขึ้นมาบนรถเลยก็ได้ครับ ถึงอย่างไรผมก็ต้องขับรถเข้าไปอยู่แล้ว” แม้จะเป็นถึงลูกชายเจ้าของบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้มีความเย่อหยิ่งหรือถือตัวเลยสักนิด อรชรหันไปมองทอฝันที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ก่อนจะตะโกนเรียกให้ขึ้นรถตามที่พ่อหนุ่มใจดีเชื้อเชิญ

ปราชญ์ ราชรัชตะ กดปุ่มเลื่อนกระจกรถขึ้นตามเดิมแล้วกระตุกยิ้มขบขัน สาวน้อยร่างบางคนนั้นดูจะเขินอายเอามากๆเลยทีเดียว กว่าจะยอมเดินมาขึ้นรถเขาก็ต้องบีบแตรเร่งถึงสองครั้ง ถ้าไม่สะดุดตาในความน่าสงสารของเธอ เขาคงไม่ยอมเสียเวลาคอยแบบนี้หรอก

ทอฝันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่ม แวบแรกที่เธอเห็นเขาลดกระจกลงแล้วถอดแว่นตาออก หัวใจก็เต้นแรงเสียจนแทบจะทะลุออกมา ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มนุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน พวงแก้มก็พลันร้อนฉ่าขึ้นราวกับมีไข้สูง มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ฉะนั้นคงไม่แปลกที่เธอจะประหม่าเสียจนทำอะไรไม่ถูก

“เป็นอะไรหรือเปล่าฝัน หน้าแดงแจ๋เชียว” อรชรหันมาถามพาซื่อ