ตอนที่ ๕ : ยัดเยียดตราบาป (1)
รถยนต์ยังคงแล่นด้วยความเร็วสูงไปบนท้องถนน ไฟจากรถคันอื่นและไฟจากบ้านเรือนสาดสว่างแข่งกันเมื่อท้องฟ้ามืดมิดลง เตรียมล่วงเข้าสู่ยามวิกาลที่ผู้คนเริ่มเก็บตัวเงียบเพื่อเข้านอน บางคนก็ถือเป็นเวลาทองที่จะออกไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารกับครอบครัว ทอฝันเกร็งหนักขึ้นไปอีกเมื่อปราชญ์เอื้อมมือมาเปิดเพลงสากลที่มีท่วงทำนองเนิบช้า แต่มันกลับดูน่ากลัวเสียมากกว่าในบรรยากาศที่อึมครึมแบบนี้ ยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไร เธอก็รับรู้ถึงความผิดปกติเข้าเสียก่อน
“นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ คุณปราชญ์”
“แล้วไง”
“เอ่อ...ก็ไหนคุณปราชญ์บอกว่าจะกลับไปเอาของที่บ้านไงคะ”
“ฉันพูดแบบนั้นหรือ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
“ตกลงว่านี่มันอะไรกันคะ คุณจะพาฝันไปไหน” หญิงสาวเริ่มหายใจติดขัดด้วยความหวาดกลัว
“เสียงสั่นเชียวนะ ทำไม…กลัวจะได้ฉันเป็นผัวอีกคนหรือ”
“ทำไมพูดจาแบบนี้ละคะ ฝันไม่เคย...”
“จะบอกว่าไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนอย่างนั้นสิ!” ปราชญ์หันมาตะคอกเสียงดังจนหญิงสาวสะดุ้งเฮือก “แหม...จะบอกว่าตัวเองใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน ก็น่าจะไปบอกกับคนอื่นมากกว่านะ ไม่ใช่มาบอกกับลูกชายของผัวเธอ โกหกเนียนเสียจนฉันเกือบหลงเชื่ออยู่แล้วเชียว”
“อย่ามาพูดจาแบบนี้กับฝันนะคะ คุณกำลังใส่ร้ายฝันอยู่ ฝันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย!” ทอฝันตะคอกกลับ ตอนนี้ทั้งกลัวและไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้พูดจาหยาบคายแบบนี้ รู้แค่เพียงอย่างเดียวว่านี่จะต้องไม่ปลอดภัยสำหรับเธอแน่ ปราชญ์ไม่ได้พาเธอไปเอาของที่บ้านราชรัชตะตามที่โกหกกับอรชร แต่เขากำลังพาเธอมุ่งหน้าไกลออกไปทางแถบชานเมือง ยิ่งห่างออกมาก็ยิ่งร้างลาผู้คนเสียจนน่าใจหาย
“ทำเป็นโง่! เธอไม่ยอมรับฉันก็ไม่อยากรู้หรอก เพราะอีกหน่อยฉันก็จะได้คำตอบเอง” ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยแสนดีและอบอุ่นอ่อนโยน กลับกลายเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูที่คอยปลอบโยน ถูกแทนที่ด้วยคำหยาบคายและดูถูกต่างๆ นานา ทอฝันเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง บีบมือตัวเองจนซีดหวังจะข่มความกลัวในจิตใจให้ลดน้อยลง
“คุณปราชญ์มีปัญหาอะไรก็บอกฝันสิคะ ไม่เห็นต้องใจร้อนแบบนี้เลย”
“ไม่ต้องมาทำเสียงเครือกับฉัน น้ำตาเธอมันไม่ช่วยให้ฉันกลับไปโง่ซ้ำสองหรอก”
“ถ้าคุณปราชญ์เกลียดฝัน คุณปราชญ์ก็ปล่อยฝันลงแถวนี้สิคะ ถ้าให้ฝันนั่งรถไปให้รถหูรกตาทำไม”
“จะยอมเป็นผัวให้อีกคนนี่ไม่พอใจใช่ไหม เธออยากได้พวกกลัดมันกลุ่มใหญ่นักหรือถึงขอลงแถวนี้”
“คุณปราชญ์!” ทอฝันแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เธอกลัวและลนลานจนไม่รู้จะทำอย่างไร หันไปเปิดประตูก็พบว่ามันถูกล็อกจากแผงควบคุมที่อยู่ทางขวามือของเขา แม้กระทั่งจะเปิดหน้าต่างเพื่อร้องขอให้คนช่วยก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เสียงหัวเราะสะใจของเขาทำให้เธอน้ำตาไหลออกมาในที่สุด
ปราชญ์เลี้ยวรถเข้าไปในบ้านชั้นเดียวที่เป็นของเพื่อนสนิท ดูเงียบเชียบและมีความเป็นส่วนตัวเหมือนเมื่อเคย ที่สำคัญมันอยู่ห่างจากถนนสายหลักมากพอสมควร คิดไม่ผิดเลยที่โทรศัพท์ไปขอใช้สถานที่ชั่วคราวจากเพื่อนหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ล่วงหน้าไปเตรียมตัวจัดการเรื่องเรียนต่อรอที่ต่างประเทศแล้ว ปราชญ์เองก็มีกำหนดการเดินทางต้นเดือนหน้า แต่ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นในครอบครัว เขาก็ยังไม่แน่ใจนักว่าควรเดินทางไปเรียนต่อตามความต้องการของบุพการีหรือไม่
ทันทีที่รถจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านหลังขนาดกะทัดรัดแต่ดูดีมีสไตล์ ทอฝันก็นั่งตัวแข็งทื่อ ใช้มือกำสายเข็มขัดนิรภัยไว้แน่นมาก ปราชญ์หันมามองคนข้างกายด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมไปอีกด้านแล้วกระชากประตูให้เปิดออกอย่างแรง หญิงสาวไม่กล้ามองสบตาหรือแม้แต่พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งถูกมือหนาฉุดกระชากให้ลงมาจากรถ โดยไม่มีพละกำลังมากพอที่จะขัดขืนเลย
“ปล่อยฝันนะคะ คุณปราชญ์!” ทอฝันน้ำตาร่วงพรูดูน่าเวทนา ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของปราชญ์รู้สึกผิดที่คิดทำร้ายเธอ เขาอยากปล่อยเธอไปให้พ้นจากชีวิต แต่พอนึกถึงสิ่งที่เธอทำอย่างหยาบช้า แรงโทสะก็ทำให้เขาหน้ามืดตามัว ลืมสิ้นทุกสิ่งที่ผิดชอบชั่วดี เขาเคยพูดเสมอว่าจะไม่มีวันหมิ่นเกียรติของลูกผู้หญิง แต่คืนนี้กลับทำไม่ได้ตามที่ปากพูด
“ฉันไม่ปล่อย! คืนนี้ฉันจะทำให้เธอรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเอง ทอฝัน ต่อไปเธอจะได้ไม่กล้าเข้ามาทำลายครอบครัวฉันอีก” ปราชญ์ถูลู่ถูกังพาหญิงสาวตรงไปยังประตู รีบนำกุญแจที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มออกมา เมื่อประตูกระจกบานใหญ่ถูกไขให้เปิดออกแล้ว ชายหนุ่มจึงผลักร่างบางให้เข้าไปข้างในเป็นคนแรก ด้วยความที่ไม่ทันระวังทำให้ข้อเท้าเล็กพลิกแพลงจนหกล้มไม่เป็นท่า
“คุณปราชญ์...” เสียงของทอฝันสั่นเครือ
“อย่ามาทำสำออย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย!” เขาฉุดข้อมือที่แดงช้ำให้ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยความที่รู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อเท้า หญิงสาวจึงล้มลงไปกองบนพื้นอีกครั้ง
ปราชญ์สบถเสียงดังลั่นอย่างหงุดหงิดใจ ในเมื่อทอฝันแสร้งมารยาไม่ยอมลุกขึ้นตามคำสั่ง ชายหนุ่มจึงเป็นคนช้อนร่างบอบบางขึ้นเสียเอง เธอดิ้นรนสุดแรง รัวกำปั้นเล็กลงบนไหล่และแผ่นอกของเขา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฝีเท้าที่มั่นคงหยุดลงแต่อย่างใด เขาใช้ไหล่ดันประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ให้เปิดกว้างออก พาทอฝันแทรกตัวเข้าไปข้างในแล้วโยนลงบนเตียง
เสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้องบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกหนัก แสงของสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้มองเห็นว่าปราชญ์กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวสวยออกอย่างใจเย็น ทอฝันส่ายหน้าไปเหมือนคนเสียสติ รีบถอยกรูดไปจนชิดหัวเตียง เนื้อตัวของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำสีใสไหลรดพวงแก้มไม่ขาดสาย ได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจว่าโลกใบนี้ช่างอยุติธรรมนัก เธอไม่เคยทำผิดคิดร้ายต่อใครเหมือนอย่างที่ถูกกล่าวหาเลย แต่กลับต้องมาถูกเทพบุตรที่ตอนนี้กลายเป็นซาตานแสนโหดร้ายพิพากษาลงทัณฑ์
“คุณจะทำอะไร!” ทอฝันถามทั้งที่พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดร้ายกับตัวเอง
“ทำตัวเหมือนนางเอกละครไปได้ เธอน่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าฉันจะทำอะไร!” ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนทิ้งไปบนพื้นห้อง
“ฝันไหว้ละคะ ฮือๆๆ...อย่าทำอะไรฝันเลยนะคะ ถือว่าสงสารฝันเถอะค่ะ คุณปราชญ์ ฮึก...อย่าทำอะไรฝันเลย” หญิงสาวยกมือไหว้อ้อนวอนอย่างน่าเวทนา ปราชญ์ที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาใกล้หยุดชะงักลงแทบจะในทันที เธอจึงอาศัยโอกาสนั้นคลานลงจากเตียง ก้มกราบแทบเท้าเขาเพื่อขอร้องให้ยุติทุกอย่างลงเสีย
ปราชญ์ถอยห่างออกไปด้วยความลังเล หอบหายใจแรงก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป เขาเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องนอนนานหลายนาที เมื่อหันไปเห็นขวดเหล้าราคาแพงที่บรรจุน้ำสีอำพันเต็มเปี่ยมตั้งเด่นอยู่ในตู้เครื่องดื่ม ชายหนุ่มก็เดินไปคว้ามันมากระดกรวดเดียวจนพร่องไปเกือบครึ่งขวด รู้สึกแสบร้อนท้องและซวนเซจนแทบยืนไม่อยู่ เจ้าของร่างสูงโปร่งขว้างขวดเหล้าที่ว่างเปล่าลงบนพื้นจนมันแตกกระจาย ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงประตูห้อง ท่าทางเหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยาก
ทอฝันมาทำให้เขารักจนหมดหัวใจ รักอย่างไม่สนใจความแตกต่างระหว่างกัน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นคนทำลายครอบครัวของเขาเสียเอง ตอนนี้แม่ของเขายังคงนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล สภาพจิตใจย่ำแย่มากซึ่งมันก็พลอยทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงไปทุกขณะ หากไม่มีกำลังใจมากพอที่จะอยู่ต่อ บางทีอาจจะตรอมใจจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ถ้าทอฝันรักษาศีลข้อสามให้ดีกว่านี้ รู้จักคิดถึงเรื่องคุณธรรมและกลัวบาปกรรมของการมาเป็นเมียน้อยคนอื่น เรื่องทุกอย่างคงจะไม่เลวร้าย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะโทษเธอเพียงคนเดียว คนที่ผิดที่สุดคือปัญญา หากไม่มัวเมาในกามตัณหา คงไม่มีใครต้องมาทนทุกข์ทรมาน แต่ในเมื่อทำอะไรผู้เป็นพ่อไม่ได้ เพราะเห็นแก่ความรักของแม่ เขาจึงเลือกที่จะมาไล่เบี้ยเอากับทอฝัน เขาอยากทำให้เธอกลัวจนไม่กล้ามายุ่งกับบิดาของเขาอีก
ก่อนหน้านี้ปราชญ์คิดว่าจะยอมปล่อยเธอไป แต่พอร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ฤทธิ์ของมันจึงแผ่ซ่านอยู่ในกระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความรู้สึกนึกคิดอันดีงามถูกมองข้าม สติสัมปชัญญะที่เคยใช้ไตร่ตรองเหตุผลขาดหายไป ตอนนี้เนื้อตัวรุ่มร้อนเหมือนคนเป็นไข้ เพราะเขาไม่เคยดื่มเหล้ามากมายถึงเพียงนี้มาก่อน
ปราชญ์ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สายตาดูแข็งกร้าวน่ากลัว มือทั้งสองกำหมัดแน่น ก่อนเปิดประตูกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับทอฝัน ลมหายใจที่กรุ่นกลิ่นเหล้าโชยเข้าจมูกของหญิงสาว ทันทีที่ร่างสูงสมส่วนก้าวเข้ามากระชากแขนให้ลุกขึ้นจากพื้น ดวงตากลมโตที่แดงช้ำจากการร้องไห้จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างมีความหวัง
