บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๔ : เคราะห์ซ้ำกรรมซัด(3)

ทอฝันกลับมาเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัว ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องร้องไห้ออกมาเมื่อนึกถึงความจริงอันแสนโหดร้าย หลังจากได้ตะโกนระบายความอัดอั้นอยู่ในห้องน้ำเสียนาน หญิงสาวก็ออกมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ลงครีมบำรุงผิวก่อนจะทาแป้งตลับแบบบางเบาที่ปราชญ์ซื้อให้เพื่อกลบทับความบอบช้ำของดวงตา ในใจไม่ได้สนเรื่องความสวยงามเลย เพียงแต่ก็ไม่อยากให้ใครต่อใครมองเห็นถึงร่องรอยความอ่อนแอก็เท่านั้นเอง

วันนี้ทอฝันแต่งตัวด้วยชุดเสื้อคอบัวแขนกุดสีครีมกับกางเกงขาสามส่วนสีขาวที่มีขนาดพอดีตัว ลงมือจัดเตรียมเสื้อผ้ากับข้าวของสำคัญลงในกระเป๋าเดินทางใบย่อม ตอนนี้ตะวันตกดินจนลับหายไปจากสายตาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอรชรจะมาหาที่บ้านเพื่อไปโรงพยาบาลพร้อมกัน หญิงสาวหิ้วกระเป๋าออกมาวางหน้าบ้าน หันมาคล้องกุญแจที่หน้าประตูเพราะตั้งใจจะเป็นฝ่ายไปหาอรชรเสียเอง หากยังทำแกงกะทิสายบัวไม่เสร็จก็จะได้ช่วยกันอีกแรง ทว่าเมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบปราชญ์ยืนอยู่ข้างหลังเสียแล้ว

“คุณปราชญ์!” หญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ เพราะเขายืนประชิดตัวเสียจนรู้สึกไม่ดี

“ตกใจอะไรกัน ทอฝัน หรือเธอไปทำความผิดอะไรมา” คำถามนี้ฟังดูเย็นเยือกจนแทบขนลุก

“เปล่านี่คะ ฝันไม่ได้ทำอะไร ฝันแค่ตกใจที่จู่ๆ คุณปราชญ์ก็มายืนอยู่ข้างหลัง” เธอไม่กล้าสบตา

“นี่เธอกำลังจะไปไหน”

“ฝันจะไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลค่ะ”

“จริงสินะ...ว่าแต่แม่เธอเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” แม้ปากจะถามเหมือนสนใจ แต่ดวงตากลับจ้องคนตัวเล็กด้วยความโกรธเกลียด ทอฝันเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มครู่หนึ่ง หากจมูกไม่เพี้ยนไปเธอคิดว่าได้กลิ่นเหล้าจางๆ ปะปนมากับน้ำหอมที่เขาใช้เป็นประจำด้วย

“แม่เป็นมะเร็งค่ะ...มะเร็งตับ” หญิงสาวตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขา ซึ่งคราวนี้เธอทำสำเร็จ

“แย่จัง แบบนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เธอควรหาใครสักคนไว้เกาะ...ไม่ใช่สิ เอาไว้ช่วยเหลือให้เธอมีชีวิตต่อไปอย่างสุขสบาย เพราะเหตุผลนี้ใช่ไหมเธอถึงยอมทำเรื่องผิดศีลธรรม เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะไม่มีที่พึ่งพาแล้วละสิ ทอฝัน แต่อันที่จริงเธอควรมีรสนิยมบ้างนะ ไม่น่าไปสนใจคนแก่เลย ฉันเองก็ยังหนุ่มยังแน่น ถ้าเธอเสนอมาฉันจ่ายไม่อั้นแน่” ถ้อยคำเสียดสีที่เปล่งออกมาทำให้ทอฝันขมวดคิ้วอย่างงุนงง

“คุณปราชญ์พูดเรื่องอะไรคะ ฝันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

ปราชญ์มองว่าหญิงสาวแค่สร้างภาพตามจริตมารยา

“แน่ใจหรือว่าไม่เข้าใจ!” ชายหนุ่มกระชากร่างบางมาปะทะกับอกกว้าง

“คุณปราชญ์!” ทอฝันดันแผ่นอกกำยำไว้เต็มแรง สายตามองไปรอบตัวเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเห็น แล้วเอาไปพูดกันปากต่อปากจนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียกันทั้งคู่ ร่างเล็กพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการอันร้ายกาจ แต่เขาก็ยิ่งกอดรัดเธอแน่นเสียจนเจ็บร้าวไปถึงกระดูก

ปราชญ์เหลือบตามองไปเห็นอรชรกำลังหิ้วปิ่นโตข้าวเดินตรงมาหาทอฝัน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนกิริยาที่ดูรุนแรงเป็นดึงร่างแน่งน้อยเขามากอดและยกมือขึ้นลูบหัวอย่างปลอบประโลม ทอฝันงงเป็นไก่ตาแตกกับพฤติกรรมประหลาดของเจ้านายหนุ่มที่แสนดี จนกระทั่งได้ยินคำอธิบายจากเขาเธอถึงได้ยอมยืนนิ่งให้กอดอยู่อย่างนั้น

“ฉันขอโทษนะที่ใส่อารมณ์ไปหน่อย ที่บ้านฉันมีปัญหาก็เลยเครียดจัด”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนแรกฝันก็งงๆ เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฝันเข้าใจแล้วค่ะ” ทอฝันไม่ได้เชื่อคนง่าย แต่ที่เชื่อก็เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าคือปราชญ์ เขาดีกับเธอมาตลอด ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องคลางแคลงใจในตัวเขา แม้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แต่เธอก็ยินดีที่จะมองผ่านโดยไม่ถือสา

“ให้ฉันไปส่งที่โรงพยาบาลนะ”

“แต่คุณปราชญ์ดื่มเหล้ามานะคะ ฝันว่าอย่าขับรถเลยดีกว่า”

“ฉันขับมาหาเธอได้ ฉันก็ขับไปโรงพยาบาลได้เหมือนกันนั่นแหละ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ดื่มเยอะหรอก แค่แก้วเดียวเอง” ชายหนุ่มไม่ได้โกหก เขาดื่มเหล้าไปแก้วเดียวก่อนที่จะมาหาเธอถึงที่นี่ เป็นแก้วเดียวที่ดื่มเพื่อย้อมใจให้ตัวเองกล้ามากพอที่จะสั่งสอนผู้หญิงร่านสวาทให้หลาบจำไปจนตาย

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะค่ะ” หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดอุ่น เมื่อเห็นอรชรยืนอมยิ้มอยู่ไม่ไกล

“ไปกันได้แล้วฝัน ป่านนี้แม่สุคงหิวแย่แล้ว”

“จ้ะ น้าอ้อย เดี๋ยวคุณปราชญ์จะไปส่งเราที่โรงพยาบาลให้เอง” ทอฝันคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาถือ แต่ปราชญ์แย่งไปจากมือแล้วเดินนำไปที่รถก่อนเป็นคนแรก หญิงสาวยกมือขึ้นลูบสร้อยคอที่เปรียบเสมือนตัวแทนของชายหนุ่มแล้วถอนหายใจ สรุปเอาเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านราชรัชตะคงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ปราชญ์ถึงได้ดูแปลกไปถึงขนาดนี้

ภายในรถเงียบเชียบเสียจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ ทอฝันนั่งกุมมือตัวเองและหันมองคนข้างกายเป็นระยะ อรชรเองก็นั่งเอนหลังติดเบาะ เพราะรู้สึกว่าปราชญ์ไม่ได้ขับรถนุ่มนวลเหมือนเดิม แต่ดูรีบร้อนเสียจนแอบคิดว่าอาจไปไม่ถึงโรงพยาบาล หรือไม่ก็คงได้กลายเป็นคนป่วยเสียเอง เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที รถคันหรูก็เลี้ยวเข้าไปยังจุดหมาย

“น้าอ้อยลงไปดูแลแม่ของทอฝันแทนก่อนสักครู่ได้ไหมครับ ผมลืมของสำคัญไว้ที่บ้าน อยากให้ทอฝันนั่งรถกลับไปเอาเป็นเพื่อนหน่อย ผมกลัวว่าหลับในน่ะครับ เพราะรู้สึกง่วงมากเลย” ปราชญ์เอ่ยขึ้นโดยสบตากับอรชรผ่านทางกระจกเหนือศีรษะ แววตาดูนิ่งเสียจนน่ากลัว แต่กลับไม่มีใครสนใจจะสังเกต

“ได้สิคะ ไม่ต้องห่วงหรอก น้าว่าจะอยู่กับแม่ของฝันจนกว่าพยาบาลจะไล่กลับเลย”

“แต่ฝันว่าเราไปด้วยกันก็ได้นี่คะ เอาอาหารขึ้นไปให้แม่ก่อน แล้วก็ฝากแม่ไว้กับพยาบาลก็ได้” หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ดีนักจึงอยากให้อรชรไปด้วยกัน

“โธ่ ฝัน ให้คนอื่นดูแลอย่างไรก็ไม่ดีเท่ากับได้คนกันเองมาดูแลหรอกนะ ทำไม...เธอไม่ไว้ใจฉันหรือ” คราวนี้ใบหน้าที่ถมึงทึงของปราชญ์ไม่มีหลงเหลืออีกเลย เขาหันมายิ้มหวานให้ทอฝันเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยไฟโทสะ ยังคงแลดูแข็งกระด้างอยู่บ้าง แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่เทิดทูนเขาสุดหัวใจ

“ไม่ใช่นะคะ ฝันจะไม่ไว้ใจคุณปราชญ์ได้อย่างไร” ทอฝันสั่นหน้าปฏิเสธ

“ถ้าอย่างนั้นฝากน้าอ้อยหิ้วกระเป๋าขึ้นไปด้วยเลยนะครับ” ชายหนุ่มตัดบททันที

“ได้ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ คุณปราชญ์” อรชรยิ้มอบอุ่น ก่อนจะลงจากรถไปพร้อมกับปิ่นโตข้าวและกระเป๋าสัมภาระของทอฝัน ปราชญ์ถอยรถออกจากที่จอดด้วยความรวดเร็ว รอยยิ้มที่ฉาบทาอยู่บนใบหน้าขาวคมหล่อเหลาหายไปอีกครั้ง มันทำให้หญิงสาวอึดอัดจนแทบอยากจะขอลงจากรถเสียตอนนี้เลย แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด

..................................................................................................................................................................

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel