ตอนที่ ๔ : เคราะห์ซ้ำกรรมซัด(2)
ทอฝันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเธอกำลังจะหยุดหมุน เมื่อคุณหมอเจ้าของไข้ออกมาแจ้งว่าสุภาป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย มีเวลาเหลืออยู่อีกแค่เพียงไม่นาน เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเยียวยารักษาได้แล้ว คำพูดที่เพิ่งได้ยินดังก้องอยู่ในหัวไม่หยุด มันวนเวียนไปมาจนหญิงสาวแทบเป็นบ้าตาย
‘ความจริงแล้วมะเร็งตับในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่มันจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมาจนสายเกินไป ตัวคนไข้เองนั้นจะมีอาการคลุมเครือ แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลยสักอย่าง เพราะว่าตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก หลังจากมีอาการที่ชัดเจนขึ้นมา มะเร็งก็อยู่ในระยะที่ลุกลามหรือมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถจะรักษาได้แล้วเหมือนในกรณีคุณแม่ของคุณ อย่างไรก็ทำใจเถอะนะครับ หมอคิดว่าคนไข้คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เข้มแข็งให้มากนะครับ คุณแม่ของคุณจะได้จากไปอย่างสงบ’
อรชรน้ำตาไหลด้วยความสงสาร ชีวิตของทอฝันเหมือนถูกกลั่นแกล้งจากเบื้องบน เหมือนสิ่งที่ดีกำลังจะก้าวเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกสิ่งที่สำคัญต้องถูกพรากจากไป หญิงสาวจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรเมื่อต้องขาดเสาหลักไปอย่างกะทันหัน อรชรเองก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง ออกจะยินดีเลี้ยงดูทอฝันเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจทดแทนความรักของคนเป็นแม่ได้
ทอฝันร้องไห้จนแทบขาดใจ ร้องจนหมดสติไปหลายครั้งหลายหน พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด หญิงสาวไม่กล้าเข้าไปพบหน้าแม่ของตัวเองด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะยิ่งร้องไห้หนักขึ้นจนทำให้คนป่วยใจเสีย แล้วพานอาการทรุดลงเร็วกว่าที่ควร
“น้ารู้ว่าฝันเสียใจมาก แต่ถ้าฝันเอาแต่ร้องไห้อยู่แบบนี้แล้วใครจะเป็นกำลังใจให้แม่สุละลูก ตอนนี้แม่สุกำลังต้องการกำลังใจจากฝันมากที่สุดนะ ฝันต้องเข้มแข็งเป็นตัวอย่างให้แม่เห็น ถ้าฝันอ่อนแอ แม่ก็จะอ่อนแอยิ่งกว่า” อรชรนั่งกอดหญิงสาวแล้วปลอบโยนต่างๆ นานา
“ฝันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแม่ ฝันรักแม่...ฝันอยากให้แม่หาย” ทอฝันก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือตัวเอง
“น้าเข้าใจ แต่ในเมื่อแม่ไม่มีโอกาสหาย ฝันก็ควรทำให้แม่จากไปอย่างสงบไม่ใช่หรือ”
“แต่ฝันทำใจไม่ได้...”
“น้าว่าการที่เรารู้ว่าคนที่เรารักกำลังจะตาย มันดีกว่าการที่ถูกตายจากไปอย่างไม่มีโอกาสได้ล่ำลานะฝัน พ่อแม่ของน้าเองก็ตายเพราะอุบัติเหตุ ไม่มีการกล่าวลากันเลยสักคำ น้าได้กราบพ่อกับแม่ก็ตอนที่พวกท่านไม่มีลมหายใจแล้ว ฝันยังดีกว่าน้ามากนะที่มีโอกาสได้ใช้เวลากับแม่สุ ได้กอด ได้หอม...ได้บอกรักกันจนอิ่มเอม” คำพูดของอรชรทำให้ทอฝันเริ่มคิดที่จะยอมรับความจริง เธอเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแล้วถอนหายใจยาว ตั้งใจว่าจะนั่งควบคุมอารมณ์อยู่ตรงนี้สักพัก แล้วค่อยเข้าไปเยี่ยมสุภาที่ตอนนี้ถูกย้ายไปไว้ในห้องผู้ป่วยพิเศษแล้ว
อรชรปลีกตัวเข้าไปดูแลสุภา ขณะที่ทอฝันนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โซฟารับแขกหน้าแผนกผู้ป่วยพิเศษ หลังจากคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะไม่ร้องไห้โฮออกมาอีก หญิงสาวจึงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องริมสุดที่มารดากำลังพักผ่อนอยู่ ลังเลอยู่นานแต่สุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน
สุภาหันมามองลูกสาวที่ตอนนี้ดวงตาแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ความรู้สึกของคนเป็นแม่นั้นทรมานนัก เมื่อรู้ดีแก่ใจว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลลูกอีกแล้ว มือผอมบางพยายามยกขึ้นเพื่อแสดงความหมายว่าต้องการจับมือลูก ทอฝันปราดเข้ามาชิดริมเตียง กุมมือแม่เอาไว้แน่น แล้วยกขึ้นจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความคิดถึง น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้สุดกำลัง ไหลรินรดแก้มนวลอย่างไม่อาจหักห้ามได้อีก
“ฝัน...แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ...ที่ทิ้งลูกไว้คนเดียว” พูดแล้วสุภาก็ร้องไห้ด้วยความอดสู
“ไม่ต้องขอโทษหรอกจ้ะแม่ ฝันรักแม่ ฝันไม่เคยโกรธแม่เลย” หญิงสาวส่ายหน้า ยกมือมารดาขึ้นแนบแก้มอย่างแสนรัก “ฝันจะดูแลแม่เอง แม่พักนะจ๊ะ ฝันจะเป็นเด็กดี ฝันจะดูแลแม่ ฝันจะเข้มแข็ง แม่ไม่ต้องกังวลอะไรนะ แม่เหนื่อยเพราะฝันมาเยอะแล้ว ตอนนี้ฝันจะทำหน้าที่ลูกที่ดีเอง ฝันจะทำทุกอย่างเพื่อแม่จ้ะ”
“ลูกแม่” สุภาร้องไห้หนักขึ้นและดึงร่างผอมบางของลูกสาวเข้ามากอด
“ฝันรักแม่นะ ถ้าแม่รักฝันแม่ต้องห้ามคิดอะไรมาก ฝันสัญญาว่าจะเข้มแข็งจ้ะ” หญิงสาวซุกใบหน้าลงแนบอกอุ่น กอดรัดร่างที่ซูบลงถนัดตาแนบแน่น เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง อาศัยจังหวะที่ผละออกจากอ้อมกอด รีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ฝืนยิ้มให้สุภาราวกับไม่ได้มีความทุกข์ใดอีก
“แม่ดีใจนะที่ฝันยอมรับเรื่องนี้ได้ ถ้าวันนั้นมาถึงแม่คงตายตาหลับ”
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตายเลย พี่สุ ร่างกายป่วยแต่หัวใจเราไม่จำเป็นต้องป่วยนี่นา” อรชรพูดทำลายบรรยากาศอันน่าโศกเศร้า “วันนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวฉันจะกลับไปทำมาให้” ก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะไม่อยากให้สองแม่ลูกต้องพะวักพะวงถึงเรื่องอาการป่วยอยู่ตลอดเวลา
“ไม่หิวหรอกอ้อย พี่กินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ” คนป่วยมีอาการเบื่ออาหาร
“ไม่หิวมันก็ต้องกินบ้างสักนิดสักหน่อย จริงสิ...พี่สุชอบแกงกะทิสายบัวเนอะ ฉันจำได้ เดี๋ยวฉันจะกลับไปแกงให้สุดฝีมือเลย รับรองว่าไอ้ที่บ่นไม่หิวๆ เนี่ยจะต้องกินหมดเกลี้ยงแน่ จริงไหมฝัน” อรชรหันมาขอแนวร่วมจากคนที่ยืนเหม่ออยู่ข้างเตียง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าเร็วๆ
“จริงจ้ะ ฝันรู้ว่าแม่จะต้องกินหมดแน่ แต่ถ้าไม่หมดเดี๋ยวฝันจะจัดการให้หมดเอง รับรองเลยว่าแกงกะทิสายบัวฝีมือน้าอ้อยจะไม่มีทางเหลือไปถึงปากไอ้ด่างแถวบ้านเราแน่นอน แล้วฝันจะทอดปลาทูมาให้ด้วยนะจ๊ะ ฝันรู้ว่าแม่ชอบ” ทอฝันยิ้มเศร้าเช่นเดียวกับสุภา
“ขอบใจฝันมากนะลูก แม่เห็นฝันทำใจได้แม่ก็หมดห่วง นี่น้าอ้อยให้แม่พักที่ห้องพิเศษ มีพยาบาลคอยเข้ามาดูแลเกือบตลอดเวลา ฝันไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะ กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูก กลับคนเดียวได้ใช่ไหม แม่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับน้าอ้อยก่อน”
“ฝันกลับเองได้จ้ะ แต่ฝันอยากอยู่กับแม่มากกว่า ฝันอยากดูแลแม่เอง”
“ถ้าอยากมาหาแม่เดี๋ยวค่อยมาใหม่พร้อมกับน้าอ้อยไงลูก แต่ตอนนี้ฝันกลับไปคนเดียวก่อนเถอะนะ ไปเตรียมเสื้อผ้ากับข้าวของที่จำเป็นมานอนเป็นเพื่อนแม่ไง” สุภารบเร้าให้ทอฝันกลับไปก่อน เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องบอกกับอรชรในฐานะคนที่ดีกับทอฝันดุจญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
“ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวฝันจะได้แวะไปลางานด้วยเลย ไม่ใช่สิ...ฝันคงต้องลาออกเลยมากกว่า เพราะฝันจะใช้เวลาหลังจากนี้อยู่กับแม่ให้มากที่สุด แม่อย่าลืมเข้มแข็งเพื่อฝันนะ...ฝันรักแม่จ้ะ” หญิงสาวก้มตัวลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ยกมือขึ้นลูบแก้มที่ซีดและตอบเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงอรชรคนเดียวที่ยืนอยู่ที่เดิม
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือ พี่สุ”
“มันเป็นเรื่องสำคัญเลยอ้อย แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่บอกฝันก่อนเวลาอันควร” สุภาย้ำ
“ได้จ้ะ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกัน” อรชรรับปากแล้วถามต่ออยากสนใจ
“เรื่องที่พี่หายไปตั้งหลายวันนั่นไง พี่อยากบอกลูกว่าความจริงพี่ไม่ได้อยากทิ้งให้ลูกเดียวดายเลย แต่พี่ต้องไปเพื่อลูก คือ...พี่รู้มาสักพักแล้วว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง แล้วแขกที่เคยไปเที่ยวคาเฟ่คนหนึ่งเขาเห็นใจพี่มาก แต่พี่กับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันนะอ้อย เราเป็นเหมือนเพื่อนกัน มีความทุกข์ก็มาเล่าให้กันฟัง เขารู้เรื่องของฝันเป็นอย่างดี พอรู้ว่าพี่ป่วยเขาก็พาพี่ไปหาหมอ แต่มันก็ช้าเกินจะรักษา พี่หายไปหลายวันก็เพราะเขาพาไปพักผ่อนทำใจให้สบาย แล้วก็ยังให้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อช่วยให้ฝันได้เรียนต่อ” สุภาเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมด
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันพี่สุ ทำไมถึงยอมให้เงินช่วยเหลือฝันละ แล้วนี่เขาให้มาเท่าไร” อรชรถามต่ออีก
“เขาให้หนึ่งล้านบาท เขาบอกว่าจะโอนมาในบัญชีธนาคารของพี่อีกสามวันข้างหน้า ถ้าพี่ตายก็ให้ฝันทำเรื่องเบิกออกมาใช้ได้เลย แต่อ้อยต้องช่วยดูแลฝันด้วยนะ พี่อยากให้ฝันมันได้เรียนต่อตามที่มันอยากเรียน พอเรียนจบมาจะได้มีอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากลำบนเหมือนพี่”
“อะไรกันพี่สุ! เงินเป็นล้านมันไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ” คนฟังตาโตด้วยความตกใจ
“คนให้เขาร่ำรวย แค่นี้เขาถือว่าเป็นเศษเงินด้วยซ้ำไป ตอนแรกพี่ตั้งใจจะตอบแทนด้วยเรือนร่างที่เริ่มจะหาความสวยไม่ได้ของพี่เองนี่แหละ แต่เขาเป็นคนดี เขาบอกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือกันโดยไม่หวังผลตอบแทน อีกอย่างเขาก็ไม่อยากทำให้ลูกเมียเสียใจด้วย เพราะที่ผ่านมาเขาก็เจ้าชู้มามากแล้ว”
“แต่ฉันว่าฝันต้องไม่ยอมรับเงินนั่นแน่ พี่ก็รู้นิสัยลูกพี่ดีไม่ใช่หรือ”
“ก็อย่าบอกฝันสิว่ามีเงินทั้งหมดเท่าไร ไม่ต้องบอกด้วยว่าเป็นเงินที่พี่ได้มาจากคนอื่น เอาแบบนี้ดีไหม...พี่จะให้เขาโอนเงินมาที่บัญชีธนาคารของอ้อยแทน อ้อยก็ดูแลเลี้ยงดูฝันไป บอกฝันว่านั่นเป็นเงินเก็บของอ้อยก็ได้” สุภามองไม่เห็นหนทางไหนนอกจากโกหกทอฝัน
“แต่ฉันไม่เห็นด้วยนะพี่ เงินนั่นมันช่วยฝันได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่ มันเป็นเงินของใครก็ไม่รู้ ถึงวันนี้เราจะโกหกฝันได้ แต่ถ้าวันข้างหน้าฝันรู้ขึ้นมาก็คงต้องหาเงินใช้หนี้ตัวเป็นเกลียวกันพอดี ฉันว่าพี่คืนเงินให้เพื่อนพี่ไปเถอะ ฉันเองก็มีเงินเก็บอยู่ไม่ใช่น้อย ฉันมั่นใจว่าฉันส่งเสียฝันให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้แน่นอน” อรชรยืนยัน
“แต่ว่า...”
“เชื่อฉันเถอะ พี่สุ อย่าทำให้ฝันมันต้องเป็นหนี้บุญคุณใครเลย สำหรับตัวฉันเองก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องบุญคุณหรอก ถึงเราจะไม่ใช่ญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่พี่มั่นใจได้เลยว่าฉันไม่เคยคิดร้ายกับฝัน ฉันรักฝันเหมือนลูกเหมือนหลาน ฉันมันคนไม่มีลูกไม่มีผัว ได้เลี้ยงดูฝันแทนพี่ก็ถือว่าบุญแล้วที่ไม่ต้องมาแก่ตายตัวคนเดียว”
“พี่รู้ว่าอ้อยเต็มใจ แต่มันก็อดละอายใจไม่ได้ที่ผลักภาระไปให้อ้อย” สุภามองสบตากับอรชรนิ่ง
“ก็คิดเสียว่าฉันเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่ แล้วก็เป็นน้าแท้ๆ ของฝันสิ พี่จะได้ไม่คิดมาก ที่สำคัญฝันก็โตเป็นสาวขึ้นทุกวัน เรียกว่าเป็นภาระไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เด็กอ่อนเสียหน่อย เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดมากหรอก พี่สุ ให้ฝันมันมาช่วยให้เงินบ้างน่ะดีแล้ว ฉันใช้คนเดียวไม่หมดหรอก คนมันโสดก็แบบนี้แหละ” อรชรพูดจาติดตลกเพื่อให้คนป่วยสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่อ้อยว่าแล้วกันนะ พี่จะโทรศัพท์ไปบอกเขาว่าไม่ต้องการเงินนั่นแล้ว”
“ดีแล้วละจ้ะ ตราบใดที่ยังมีกำลังอยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้ฝันลำบากเด็ดขาด...ฉันสัญญา”
“พี่ไม่รู้ว่าพูดอย่างไรดี แต่พี่ขอบใจมากนะอ้อย ถ้าไม่มีอ้อยพี่ก็คงตายตาไม่หลับแน่”
“ฉันเต็มใจ พี่ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นนะ ช่วงนี้นอนพักรักษาตัวไปตามอาการให้ดีก็พอ” สาวโสดกุมมือคนที่นอนอยู่บนเตียงเพื่อส่งผ่านกำลังใจ ต่างคนต่างยิ้มให้แก่กัน ถือเป็นโชคดีของสุภาที่มีคนดีอย่างอรชรมาให้พบเจอ มิตรภาพระหว่างกันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแค่ในสายเลือดเดียวกัน แค่เพียงมีจิตใจที่เอื้ออาอรต่อคนที่ลำบากยากเข็ญยิ่งกว่า และรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนก็เพียงพอแล้ว
