ตอนที่ ๓ : ต่างคนต่างผูกพัน(1)
ปราชญ์พาทอฝันไปที่บ้านเพื่อดูว่าสุภากลับมาหรือยัง หญิงสาวดูซึมเศร้าลงถนัดตาเมื่อพบว่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยของมารดา ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกห่วงจนอยากตามไปถามหาที่คาเฟ่ โชคร้ายที่สุภาไม่เคยยอมบอกให้รู้เลยว่าทำงานที่ไหน เพราะไม่ต้องการให้ทอฝันไปยุ่มย่ามในสถานที่ล่อแหลมแบบนั้น ครั้นจะสุ่มด้วยการตามหาไปทีละแห่งก็คงต้องใช้เวลาเสียหลายวันเลยกระมัง สุดท้ายเธอจึงต้องปล่อยเลยตามเลย เอาไว้อรชรกลับมาเมื่อไรคอยปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรดี ตอนนี้คงต้องอาศัยปราชญ์ไปก่อนชั่วคราว
ทอฝันคิดจะเก็บเสื้อผ้าบางส่วนกับข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น แต่ปราชญ์บอกว่าไม่ต้อง หลังจากนั้นเขาก็พาเธอไปเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่และข้าวของเครื่องใช้มากมาย ทอฝันดีใจจนเก็บอาการแทบไม่อยู่ เมื่อได้เสื้อตัวสวยกับกระโปรงสีหวาน ดูเหมาะสมกับวัยสาวพอดิบพอดี นอกจากนั้นยังมีชุดลำลองสบายๆ ชุดสำหรับเอาไว้ออกไปข้างนอกที่ดูดีมีชาติตระกูล แล้วก็ชุดนอนน่ารักอีกหลายชุด นี่ยังไม่ได้รวมถึงชุดชั้นในตัวใหม่ที่เอาไว้ผลัดเปลี่ยนได้จนครบเจ็ดวันที่เขาปล่อยให้เธอยืนเลือกได้ตามใจชอบอีก
ปราชญ์แสนดีกับทอฝันเสียเหลือเกิน...
หลังจากจ่ายเงินแล้วหญิงสาวก็มานั่งหน้าเครียดอยู่ที่ร้านไอศกรีม จำนวนเงินที่ปราชญ์จ่ายไปมีมูลค่าเกือบหมื่นเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าต้องทำงานที่บ้านราชรัชตะอีกนานแค่ไหนกว่าจะสามารถใช้หนี้ได้หมด ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เธอยังร่าเริงอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็ทำหน้าเครียดเหมือนมีเรื่องให้คิดมากเสียอย่างนั้น
“เป็นอะไรไปฝัน” ปราชญ์วางช้อนลงบนถ้วยไอศกรีม แล้วถามเธออย่างจริงจัง
“ฝัน...ฝันไม่สบายใจค่ะ ฝันกลัวว่าจะทำงานใช้หนี้คุณปราชญ์ได้ช้าเกินไป” ทอฝันตอบตามตรง
“ใช้หนี้?...หนี้อะไรหรือ” หนุ่มหล่อทวนถาม
“ก็หนี้ค่าเสื้อผ้ากับของใช้พวกนี้น่ะสิคะ ฝันเพิ่งคิดได้ว่ามันมากเกินไป”
“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร” เขาหัวเราะในลำคอ “ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เธอจ่ายเงินเสียหน่อย ทั้งหมดนี้ฉันซื้อให้เอง ไม่ได้คิดจะเอาเงินคืนเลยสักบาท เลิกคิดมากแล้วกินไอศกรีมเถอะ มันจะละลายหมดแล้วนะ”
“อะไรนะคะ...” เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “นี่คุณปราชญ์จะซื้อให้ฝันหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าทำแบบนั้นฝันต้องรู้สึกแย่แน่ๆ เลย ฝันรับไว้ไม่ได้จริงๆ...เอาไว้ฝันจะทยอยใช้เงินคืนให้นะคะ อาจนานหน่อยเพราะฝันต้องแบ่งเงินเก็บออมเอาไว้ด้วย แต่รับรองค่ะว่าฝันจะคืนให้คุณปราชญ์ทุกบาททุกสตางค์เลย” ทอฝันดูตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าข้าวของทุกอย่างคือสิ่งที่ปราชญ์ต้องการออกค่าใช้จ่ายเอง
“ไม่ต้องหรอก ฉันซื้อให้เพราะเธอคือสาวใช้ของบ้านราชรัชตะ ถ้าแต่งตัวซอมซ่อเกินไปมันจะดูไม่ดี เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธเด็ดขาด แล้วก็ไม่ต้องคิดมากด้วย สาวใช้คนอื่นๆ ฉันก็ซื้อของให้ออกจะบ่อย ไม่ได้ลำเอียงหรอกน่า” ปราชญ์แอบตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่ตอนนี้ติดนิสัยชอบโกหกขึ้นมาเสียแล้ว จริงอยู่ที่เขาไม่เคยตระหนี่กับคนในบ้าน แต่ก็ไม่เคยซื้อข้าวของให้ใครมากเท่ากับทอฝัน แม้กระทั่งกับผู้หญิงที่ควงกันในฐานะคนรัก...ก็ยังไม่เคยให้มากไปกว่าเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นฝันก็ขอบคุณมากนะคะ คุณปราชญ์ดีกับฝันมากเหลือเกิน” ทอฝันมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เธอรู้สึกเทิดทูนบูชาในความดีของเขา เพราะนับตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเมตตาเธอมากเท่านี้มาก่อน ปราชญ์คือคนแรกที่ให้เกียรติเธอทั้งที่ไม่สมควรได้รับด้วยซ้ำ
ปราชญ์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วบอกให้ทอฝันจัดการกับไอศกรีมของตัวเองต่อ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็พาเธอขับรถมุ่งหน้าตามถนนสายหลักราวยี่สิบนาที วันนี้รถไม่ติดหนักมากนัก ชายหนุ่มจึงพาสาวสวยข้างกายมาถึงคอนโดมิเนียมส่วนตัวก่อนค่ำ ตอนแรกเธอก็รู้สึกไม่ไว้ใจนัก แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำเพื่อเธอมาตลอดถึงได้ยอมก้าวลงจากรถแล้วเดินตามเข้าไปข้างใน รู้สึกตื่นตาไม่น้อยกับความหรูหราภายในและลิฟต์ที่เพิ่งเคยขึ้นเป็นครั้งแรก
ปราชญ์พาทอฝันเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อาศัยอยู่มากกว่าบ้านราชรัชตะในช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ความจริงการขับรถกลับบ้านทุกวันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมารดาของเขาจึงต้องสั่งให้พักอยู่ที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่ กลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีวันหยุดเท่านั้น
“ช่วงนี้เธอไม่ต้องไปทำงานที่บ้านฉันนะ พักอยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าน้าอ้อยจะกลับมา” ปราชญ์เอ่ยขณะวางข้าวของพะรุงพะรังลงบนโซฟาตัวยาว
“จะดีหรือคะ คุณผู้หญิงอาจจะไม่พอใจก็ได้ถ้าฝันขาดงาน” ทอฝันทำหน้าเครียดอีกแล้ว
“คุณแม่ขลุกอยู่แต่บนห้องทั้งวัน ลงมาข้างล่างก็แค่ตอนจะออกไปข้างนอกเท่านั้น ท่านไม่มีเวลามาสนใจเรื่องในบ้านนักหรอก แต่ถ้าเกิดสนขึ้นมาจริงๆ ฉันจะบอกท่านเองว่าเธอลาป่วย ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจอะไรเลย เธอตั้งใจฟังก่อนดีกว่าว่าอะไรอยู่ตรงไหน” ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปข้างในห้องนอนที่ทำความสะอาดและมีผ้าคลุมเตียงไว้เรียบร้อย เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังยืนนิ่งอยู่ตรงห้องโถง เขาก็เดินไปคว้าข้อมือบางให้เดินตามมา
ปราชญ์พาทอฝันเดินดูไปรอบห้อง บอกว่าให้เธอนอนที่ห้องไหนและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างไร หญิงสาวอาจจะไม่คุ้นเคยกับเครื่องปรับอากาศ เตาแก๊สระบบทันสมัย หรืออะไรอีกมากมาย แต่ก็ฉลาดพอที่จะเรียนรู้ได้จากคำบอกเล่าของชายหนุ่ม ไม่นานก็สามารถจดจำได้ครบถ้วนว่าอะไรใช้งานแบบไหน
ปราชญ์ทำอาหารง่ายๆ อย่างโจ๊กหมูสับรับประทานกับทอฝัน หลังจากส่งยากับน้ำเย็นให้หญิงสาวแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะแยกตัวกลับบ้านเพื่อให้เธอได้พักผ่อน แต่เจ้ากรรมฝนฟ้าดูท่าว่าจะไม่เป็นใจให้นัก เกิดลมกรรโชกแรงครู่เดียวฝนก็ตกกระหน่ำลงมาราวกับพายุหลงฤดู สองหนุ่มสาวนั่งเงียบอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน ทว่าห่างกันจนสุดขอบ
“เอ่อ...ไปอาบน้ำเตรียมเข้านอนเถอะฝัน ถ้าฝนซากว่านี้แล้วฉันจะขับรถกลับบ้านเอง” ปราชญ์รู้สึกอึดอัดจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา ทอฝันหันมาสบตากับชายหนุ่ม จ้องมองกันด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนจะรีบลุกพรวดเดินหายเข้าไปในห้องนอนทันที
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ฝนที่ตกลงมาก็ยังไม่ยอมเบาบางลงแม้แต่น้อย ปราชญ์เริ่มหงุดหงิดและตัดสินใจว่าจะขับรถฝ่าฝนกลับบ้านไปช้าๆ ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากโซฟา คว้ากุญแจรถจากโต๊ะรับแขกมาถือไว้ กำลังจะเดินออกไปแต่ทอฝันเปิดประตูห้องนอนออกมาเจอพอดี
“จะกลับแล้วหรือคะ” หญิงสาวดูน่ารักในชุดนอนสีชมพูหวาน เรือนผมสีดำขลับที่เพิ่งเช็ดจนแห้งหมาดแผ่สยายเต็มแผ่นหลัง ดวงหน้าขาวเนียนมีแป้งเด็กอ่อนทาทับไว้บางๆ กลิ่นสบู่จากตัวเธอทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลาย ชั่วขณะหนึ่งแอบนึกอยากรั้งร่างบางเข้ามากอดแนบอก แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“เอ่อ...อืม ฉันจะกลับแล้ว ดูท่าคืนนี้ฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ แน่” ในที่สุดก็ตัดใจตอบออกมา
“อย่าเพิ่งไปเลยค่ะ ฝันตกหนักแบบนี้มันไม่ปลอดภัยหรอก อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นของคุณปราชญ์อยู่แล้ว ฝันว่าคุณปราชญ์ค้างที่นี่เถอะค่ะ เดี๋ยวฝันจะออกมานอนที่โซฟาเอง” ทอฝันเสนอตามที่เห็นสมควร ความจริงรู้สึกไม่ดีนักหรอกที่ต้องมานอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายที่รู้จักกันได้ไม่นาน แต่ถ้าจะให้ใจดำปล่อยเขาขับรถฝ่าฝนกลับไปเธอก็ทำไม่ได้จริงๆ
“เอาอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มไม่คิดจะปฏิเสธด้วยซ้ำ “ก็ได้...คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่ ถือว่าอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วยก็แล้วกัน แต่เธอไม่ต้องออกมานอนที่โซฟาหรอกนะ นอนในห้องไปน่ะดีแล้ว ฉันเป็นผู้ชาย เดี๋ยวฉันจะออกมานอนเอง แล้วห้ามเถียงห้ามขัดข้องละ ไม่อย่างนั้นฉันจะ...จะดุเธอให้กลัวจนหงอไปเลย” เขาเกือบหลุดปากพูดออกมาอยู่แล้วเชียวว่าจะลงโทษคนดื้อด้วยการหอมแก้มนุ่มนิ่มให้ช้ำกันไปข้าง
“ค่ะ ฝันไม่เถียงแล้ว...เถียงไปก็ไม่เคยชนะคุณปราชญ์ได้สักที”
“รู้ก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มลืมตัว เผลอยกมือขึ้นบีบจมูกโด่งเรียวเล็กอย่างหมั้นเขี้ยว เมื่อนึกขึ้นได้จึงผละออกห่างทันที “อืม...เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนนะ ถ้าจะให้ดีก็ช่วยเอาผ้าห่มที่อยู่ในตู้ข้างในห้องแต่งตัวออกมาให้ด้วย หมอนด้วยละ” พูดจบก็หันรีหันขวางอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะยิ้มแล้วหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อนำเสื้อผ้าที่ยังคงมีอยู่ในตู้ออกมาใช้
ทอฝันมองตามปราชญ์แล้วยิ้มเอียงอาย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่ใกล้เขา หัวใจเธอถึงเต้นแรงไม่เป็นส่ำแบบนี้ ใบหน้าขาวคมสมบูรณ์แบบเด่นชัดอยู่ในทุกห้วงความคิดเสมอ ไม่ว่าจะหลับตาลงหรือง่วนอยู่กับการทำอะไร ปราชญ์ก็มักจะตามก่อกวนตลอดเวลา เธอชอบมือใหญ่อุ่นจัดที่มักกุมข้อมือเธออย่างถือวิสาสะ หลงใหลในน้ำเสียงนุ่มทุ้มหูที่พูดพร่ำแต่สิ่งดีและคอยให้กำลังใจ และแอบรักรอยยิ้มมีเสน่ห์ของเขาจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น
คิดมาถึงตรงนี้ทอฝันถึงกับยิ้มไม่ออก...นี่คือความรักอย่างนั้นหรือ
ทอฝันสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความคิดไร้สาระของตัวเอง เด็กสลัมไม่มีชาติตระกูลอย่างเธอน่ะหรือที่กล้าดีไปหลงรักลูกชายคนเดียวของตระกูลราชรัชตะ
‘ผมไม่ได้หลงเสน่ห์ใครทั้งนั้น...เพราะว่าผมมีแฟนแล้วครับคุณแม่ ผมคบหาอยู่กับลูกสาวท่านนายพลเดชา ผมไม่สนใจผู้หญิงอื่นหรอกครับ อีกอย่างทอฝันก็เพิ่งจะอายุสิบแปดปี ผมไม่คิดจะทำลายอนาคตใครหรอก เธอยังเด็กเกินไป เนื้อหนังมังสาก็ไม่มีอะไรน่ามอง ผมไม่คิดอะไรแบบชู้สาวหรอก’
คำพูดที่ปราชญ์ยืนยันกับบุษราทำให้หัวใจดวงน้อยห่อเหี่ยวหนักขึ้น ชายหนุ่มเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง เขามีในสิ่งที่ทอฝันไม่มี เขามีอนาคตที่รุ่งโรจน์รออยู่ข้างหน้า ในขณะที่ตัวเธอนั้นเป็นได้แค่เพียงสาวใช้ชั่วคราวที่ไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกไปวันไหน อนาคตของทอฝันไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง รู้อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรปล่อยใจให้คิดเลยเถิดอีก
ทอฝันหายเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อนำผ้าห่มผืนโตกับหมอนหนุนมาวางไว้ที่โซฟาตรงห้องโถง พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่องของปราชญ์อีก แต่ถึงจะสะกดกลั้นอย่างไรความเศร้าหมองที่ต้องเจียมตัวก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้
“เป็นอะไรไปน่ะฝัน ปวดท้องขึ้นมาอีกหรือ” เขาเดินเข้ามาใกล้ “แย่จัง ฉันไม่น่าใช้งานเธอเลย”
“เปล่าค่ะ ฝันไม่ได้เป็นอะไร ฝัน...ฝันแค่คิดถึงแม่” ทอฝันอ้าง
“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ฉันนึกว่าเธอกลัวฉันจะทำมิดีมิร้ายกับเธอเสียอีก”
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกค่ะ ฝันมันก็แค่ผู้หญิงธรรมดา เนื้อหนังมังสามีไม่มีอะไรน่ามอง คุณปราชญ์เองก็มีคนรักอยู่แล้ว คงไม่มาคิดอะไรกับคนอย่างฝันหรอกใช่ไหมคะ” หญิงสาวยิ้มเศร้า “คุณปราชญ์พักผ่อนเถอะนะคะ เดี๋ยวฝันเองก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลือฝันทุกอย่าง”
“เดี๋ยวสิ” ชายหนุ่มคว้ามือบางไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะหันหลังเดินเข้าห้องไป “คุยกันก่อนนะฝัน ฉันรู้ว่าเธอคงรู้สึกไม่ดีที่ฉันพูดกับคุณแม่ไปแบบนั้น แต่ฉันอธิบายได้นะ ฉัน...”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณปราชญ์ คุณปราชญ์ไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย ฝันเองก็ไม่ได้เสียใจอะไรด้วย ฝันแค่คิดถึงแม่จริงๆ ค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตฝันอยู่กับแม่มาตลอด มีแม่คนเดียวที่พึ่งพาได้ อยู่ๆ แม่มาหายเงียบไป ฝันก็เลยไม่ค่อยสบายใจ ฝันไม่ได้คิดอะไรเรื่องที่คุณปราชญ์พูดหรอกค่ะ...ไม่ได้คิดเลยสักนิด” ปากบอกแบบนี้แต่ดวงตากลับฉายแววน้อยใจ ชายหนุ่มรู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจ สุดท้ายก็หักห้ามตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้มือใหญ่รั้งร่างบอบบางเข้ามากอดแนบแน่น เธอชะงักค้างด้วยความตกใจ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ฉันไม่ชอบเลยเวลาเธอพูดจาแบบนี้ มันหดหู่มากนะรู้ไหม”
“ฝัน...”
“ฉันโกหกคุณแม่ว่ามีแฟนแล้ว เพราะไม่อยากให้ท่านผลักไสเธอไปก็แค่นั้นเอง” น้ำเสียงที่เอ่ยจริงจังจนคนฟังไม่กล้าขัด “ฉันพูดจริงๆ นะฝัน ฉันไม่เคยมองเธอเป็นแค่เด็กสลัมอย่างที่เธอชอบตัดพ้อตัวเองเลย สำหรับฉันแล้วเธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่เธอแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ฉันรู้จักตรงที่เธอใสซื่อบริสุทธิ์ เธอเป็นคนดีและรู้จักผิดชอบชั่วดีทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ฉันว่าฉัน...” ปราชญ์ยังคงกอดหญิงสาวแน่นไม่ยอมปล่อย
“ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วค่ะ ฝันเข้าใจแล้วจริงๆ คุณปราชญ์ปล่อยฝันก่อนนะคะ...ฝันหายใจไม่ออก” ทอฝันรีบตัดบทรับรู้สิ่งที่ชายหนุ่มอธิบายอย่างว่าง่าย ไม่คิดจะแคลงใจอะไรอีก ตอนนี้เขากอดเธอแน่นจนกระดูกแทบแหลกละเอียดอยู่แล้ว ที่หนักยิ่งกว่านั้นก็คือหัวใจของเธอทำงานหนักจนหายใจหายคอไม่ทันเลยทีเดียว
ปราชญ์ปล่อยร่างในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ หลังจากเผลอกอดแน่นเสียจนเจ้าตัวเกือบขาดอากาศหายใจ ทอฝันก้มหน้าลงมองพื้นเพื่อซ่อนความเขินอายที่ฉายชัดบนพวงแก้ม ไม่คาดหวังมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มจะสนใจความรู้สึกของเธอถึงเพียงนี้
คิดแล้วก็อยากตบปากตัวเองนัก อุตส่าห์ท่องไว้ว่าจะไม่คิดเกินเลยกับเขา แต่ก็เผลอพูดจาตัดพ้อออกมาจนได้ นี่ถ้าสิ่งที่ปราชญ์บอกกับบุษราคือเรื่องจริง เธอเองคิดไม่ออกเหมือนกันว่าบทสนทนาเมื่อครู่ รวมทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่นจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
“ฉันขอโทษนะ ทอฝัน” ชายหนุ่มรู้สึกผิดจริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่ากอดก็ตาม
“ไม่เป็นไรค่ะ...ฝันไม่โกรธคุณปราชญ์หรอก” หากคนที่กอดเธอเป็นคนอื่น เธออาจจะไม่คิดแบบนี้
“คราวหลังก็อย่าพูดจาแบบนี้อีกนะรู้ไหม คนเราไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็ไม่ควรดูถูกตัวเอง ชาติกำเนิดหรือความร่ำรวยไม่ได้สำคัญเท่าการเป็นคนดีหรอก คุณยายฉันเองก็ไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งอะไร ฐานะก็แค่พอมีพอกิน แต่คุณตาก็เลือกที่จะแต่งงานกับคุณยาย เพราะว่าคุณยายเป็นคนดี จำไว้นะฝัน...ต่อไปห้ามดูถูกหรือตัดพ้อตัวเองอีก ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะทำมากกว่ากอดก็ได้”
“ค่ะ ฝันสัญญาค่ะว่าจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว” ทอฝันรีบรับคำในทันที
“ดีมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปนอนเถอะ...ฝันดีนะ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ รอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ประหม่าไม่น้อยเหมือนกัน
“ฝันดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มบางแล้วรีบหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องนอน จัดการปิดประตูลงล็อกอย่างแน่นหนา ไม่ใช่เพื่อป้องกันภัยจากผู้ชายแสนดีที่นอนอยู่ข้างนอกเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองด้วยว่าต่อให้รู้สึกดีกับใครมากมายแค่ไหน เธอก็จะไม่เปิดโอกาสให้เขาคนนั้นเอาเปรียบง่ายๆ เพราะเธอจะไม่ยอมมีชีวิตที่ผิดพลาดเหมือนแม่อย่างเด็ดขาด
