ตอนที่ ๒ : ออกโรงปกป้อง (2)
ทอฝันสะดุ้งตื่นพร้อมกับเหงื่อที่ไหลโซมกาย หญิงสาวหอบสะท้านเมื่อภาพเหตุการณ์น่ากลัวปรากฏขึ้นตอกย้ำในความฝัน เมื่อมองไปรอบตัวแล้วพบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้าน หัวใจดวงน้อยก็เริ่มเต้นแรงด้วยความไม่ไว้ใจ ทว่าเมื่อลดสายตาลงมองเห็นนวลนอนหลับอยู่บนพื้น เธอถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้ไม่ได้กลัวมากเหมือนอย่างทีแรกแล้ว สติที่ดูจะเตลิดเปิดเปิงเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง เมื่อนึกลำดับเรื่องราวและพบว่าปราชญ์ไปช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน
ทอฝันมองไปรอบตัวอีกครั้ง ความรู้สึกกระหายน้ำทำให้หญิงสาวตวัดขาลงจากเตียงที่มีเนื้อที่กว้างพอสำหรับคนๆ เดียว มือบางกุมหน้าท้องเอาไว้เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบ แต่แล้วก็กัดฟันพาขาที่ยังคงสั่นไหวเดินตรงไปที่ประตู เพราะตู้เย็นนั้นอยู่ในส่วนของครัวคนใช้ แล้วเธอก็ไม่อยากรบกวนนวลมากนัก แค่ต้องมาสละที่นอนให้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณมากแล้ว
ทอฝันเดินงอตัวออกไปจนกระทั่งถึงห้องครัว เธอคว้าแก้วใบใสที่วางอยู่หลังตู้เย็นมารินน้ำดื่มดับกระหาย แต่พอหันหลังกลับมาก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ไม่คาดคิดว่าจะพบปราชญ์ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลาใกล้รุ่งแบบนี้ โชคดีที่เธอประคองแก้วในมือไว้ทันก่อนที่มันจะร่วงลงแตกกระจายอยู่บนพื้น
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามพร้อมก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น
“ฝัน...ฝันแค่ตกใจ แล้วก็เจ็บท้องนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ” คนพูดเอนตัวพิงตู้เย็นเอาไว้เพื่อเป็นหลักยึด รู้สึกร้าวระบมในช่องท้องที่ถูกเดชจ้วงต่อยเอาถึงสองครั้ง แต่ก็ทำเป็นปากแข็งบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ปราชญ์ขมวดคิ้วมองสำรวจ เมื่อเห็นเรียวขาขาวเนียนสั่นสะริกจนแทบยืนไม่อยู่ เขาก็รีบเข้าไปประคองทันที
“ฝัน...” ทอฝันยืนไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ร่างบอบบางทรุดฮวบในอ้อมกอดเขา
“นึกแล้วเชียวว่าต้องไม่ไหวแน่ เป็นอะไรทำไมต้องฝืนด้วยนะ” ชายหนุ่มดุไม่จริงจังนัก
“ฝันไม่อยากรบกวนคุณนี่คะ” เธอไม่กล้าสบตา “นี่มันดึกมากแล้ว ทำไมคุณถึงมาเดินอยู่แถวนี้ละคะ”
“ฉันก็เป็นห่วงเธอจนนอนไม่หลับน่ะสิ เลยตัดสินใจเดินลงมาดูเผื่อว่าเธอจะตื่นแล้ว” เขาตอบก่อนจะช้อนร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน พวงแก้มของหญิงสาวแดงปลั่งขึ้นแทบจะทันที “ฉันจะพาไปหาหมอ ตรวจเช็กร่างกายสักหน่อยดีกว่านะ”
“ฝันไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ กินยาแก้ปวดก็คงหาย” คนตัวเล็กค้านเสียงอ่อย
“ไม่ได้หรอก เธอต้องไป ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคง...เอ่อ น้าอ้อยของเธอจะต้องต่อว่าฉันเอาแน่ ตอนนี้น้าอ้อยกำลังไปต่างจังหวัดเพื่อจัดการงานศพ อีกไม่กี่วันคงกลับมา ระหว่างนี้เธอจะต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว น้าอ้อยฝากบอกด้วยนะว่าเป็นห่วงเธอมาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้คนอื่นต้องมากังวลเพิ่ม เธอควรเลิกดื้อแล้วทำตามที่ฉันบอกเสีย” ปราชญ์พูดเสียจนทอฝันไม่กล้าคัดค้านอีก ชายหนุ่มยิ้มพอใจ ก่อนจะพาเธอเดินไปนั่งรอที่ม้านั่งตัวยาวข้างลานจอดรถ ส่วนตัวเขาหายขึ้นไปข้างบนชั่วครู่เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบกุญแจรถ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที
หลังจากตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว หมอก็สรุปว่าทอฝันมีอาการช้ำในบริเวณช่องท้องที่ถูกทำร้าย แต่อาการไม่ร้ายแรงมากจนถึงขั้นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่ฉีดยาแก้ปวดและรับยามากินอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะดีขึ้นก็พอ และด้วยรูปร่างที่ผอมเกินไป ทอฝันจึงต้องรับยาบำรุงร่างกายมาช่วยให้เจริญอาหารขึ้นอีกหน่อยด้วย
กว่าจะกลับมาถึงบ้านราชรัชตะเวลาก็ล่วงเลยมาจนหกโมงเช้าแล้ว ปราชญ์ขอแยกตัวกลับขึ้นไปพักผ่อนต่อข้างบน หลังจากส่งทอฝันจนถึงหน้าห้องพักที่นวลนอนหลับอยู่ หญิงสาวตรวจดูยาที่ได้มาจากหมออีกครั้ง เห็นว่ามียาก่อนอาหารก็รีบกินทันที เธอลงมือหุงข้าวและกำลังเจียวไข่เพื่อที่จะได้กินเสียให้เรียบร้อย เพราะยังมียาหลังอาหารอีกสองสามเม็ด แต่นวลที่เพิ่งตื่นรีบดิ่งมาขวางไว้เสียก่อน
“ทำอะไรน่ะฝัน มาๆ...เดี๋ยวพี่ทำให้เอง” ว่าแล้วก็ดึงตะหลิวไปจากมือบางทันที
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พี่นวล ฝันดีขึ้นมากแล้ว คุณคนนั้นพาฝันไปหาหมอแล้วจ้ะ ฉีดยาเข็มเดียวรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” ทอฝันเอื้อมมือไปคว้าตะหลิวคืนมา แต่นวลเดินหนีไปยืนหน้าเตาแก๊ส แล้วจัดการเจียวไข่ให้จนกระทั่งหอมเหลืองน่ากิน
“คุณคนนั้น?...ฝันหมายถึงคุณปราชญ์ละสิ” นวลถามแล้วยิ้มกว้าง
“ใช่จ้ะ คุณปราชญ์นั่นแหละที่พาฝันไปหาหมอ”
“ตายจริง พี่หลับลึกขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย ฝันนะฝัน...รู้สึกตัวก็น่าจะปลุกกันบ้าง” คนว่ามองค้อนไม่จริงจัง ก่อนจะตักไข่เจียวขึ้นพักไว้ในจานที่ทอฝันยื่นส่งให้
“ฝันไม่อยากรบกวนนี่นา แค่มาแย่งที่นอนของพี่นวล ฝันก็เกรงใจมากพอแล้ว”
“เกรงใจอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้นแหละฝัน” นวลยิ้มให้ “แล้วที่นี่มีห้องเหลืออีกตั้งหลายห้องเลยนะ ไว้พี่ทำงานบนบ้านใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่จะมาจัดการทำความสะอาดห้องให้ฝันเอง เอาห้องที่อยู่ติดกับพี่นั่นแหละ มีอะไรจะได้เรียกหากันสะดวก...ดีไหม”
ทอฝันพยักหน้าเห็นด้วยแล้วยกมือไหว้ขอบคุณนวลอย่างมีมารยาท ยิ่งเห็นพฤติกรรมน่ารักน่าเอ็นดู นวลก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตามากขึ้น จะว่าไปความสวยใสของทอฝันก็ใช่ว่าจะเป็นข้อดีเพียงอย่างเดียว หากคุณผู้ชายกลับมาที่บ้านเมื่อไร เมื่อนั้นอาจจะมีเรื่องงามหน้าเกิดขึ้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าโชคดีมากที่ปราชญ์เรียนจบแล้ว ชายหนุ่มอยู่ติดบ้านทุกวันเพื่อดูแลเอาใจใส่บุษรา ฉะนั้นคุณผู้ชายคงไม่มีโอกาสได้ปล่อยงูบนหัวออกมายุ่มย่ามกับสาวใช้คนใหม่หรอก
ทอฝันถูกนวลบังคับให้ไปนอนพักผ่อนต่อหลังจากกินยาหลังอาหารครบแล้ว ตอนแรกหญิงสาวก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไปช่วยงานตามหน้าที่ แต่พอบังอรกับป้าพิศที่เพิ่งรู้เรื่องทุกอย่างช่วยกันอ้างว่าให้นึกถึงสุขภาพตัวเองก่อนเป็นสำคัญ เธอจึงยอมแพ้และเข้าไปนอนเล่นอยู่ในห้องของนวล เผลอหลับไปเพราะฤทธิ์ยาได้ราวสองชั่วโมง บังอรก็เข้ามาปลุกให้เธอไปพบบุษราที่เรือนใหญ่
บังอรเล่าให้ฟังว่านายหญิงแห่งบ้านราชรัชตะไม่ใช่คนมากความ แต่ที่เห็นว่าจะไม่ถูกชะตาที่สุดก็คือบรรดาสาวงามทั้งหลาย ทอฝันถามหาเหตุผลด้วยความอยากรู้ บังอรเกือบหลุดปากบอกเรื่องภายในบ้านออกมาอยู่แล้ว แต่นวลที่ได้ยินเข้ารีบกระแอมกระไอขัดจังหวะ แล้วตวัดสายตามองมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเร่งเร้าให้ทอฝันรีบเข้าไปพบบุษราในห้องรับแขกโดยเร็ว
ร่างผอมบางเดินเข้าไปด้วยความประหม่ามากขึ้นเมื่อพบว่าไม่มีปราชญ์นั่งอยู่ด้วย สีหน้าที่นิ่งเฉยของบุษราแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจในทันที ทอฝันที่ไม่ทันสังเกตเห็นนั่งพับเพียบลงบนพื้น พร้อมกับยกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม ดวงตากลมโตที่ดูสุกสกาวฉายชัดถึงความใสซื่อที่หาได้ยาก รอยยิ้มน้อยๆ แต่งแต้มขึ้นอย่างเป็นมิตร เมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจจะยิ้มตอบ หญิงสาวก็ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างเจียมตัว
“เธอเองหรือคือคนที่ตาปราชญ์รับเข้าทำงาน” บุษรานึกหงุดหงิดลูกชายอยู่ในที
“ใช่ค่ะ หนูชื่อทอฝันค่ะ หนู...”
“เธอรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าบ้านนี้อยู่กันกี่คน” คนสูงวัยกว่าไม่ได้สนใจฟังชื่อเสียงเรียงนามด้วยซ้ำ
“หนูไม่ทราบค่ะ หนูมาสมัครงานที่นี่หลังจากเห็นป้ายประกาศ” ทอฝันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา
“แน่ใจนะว่าอยากได้งานทำ ไม่ได้คิดจะมาใช้เต้าไต่เพื่อความสุขสบาย”
“คุณผู้หญิง...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเสียใจที่โดนดูถูก “หนูไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลยนะคะ ถึงจะจนแต่หนูก็มีศักดิ์ศรี หนูไม่เคยคิดอะไรไม่ดีไม่งามเลย จุดประสงค์เดียวของหนูคือทำงานช่วยแม่เท่านั้นเองค่ะ” น้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้าถูกสะกดกลั้นอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ไหลออกมา เธอไม่อยากให้ใครคิดว่าอ่อนแอทั้งนั้น
“ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอพูดจริง ฉันฟังจากนังนวลก็พอจะรู้ประวัติเธอมาบ้างแล้ว ตาปราชญ์อาจจะสงสารแล้วก็เชื่อในสิ่งที่เธอพูด แต่ไอ้ชีวิตแบบนั้นมันคงมีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละ ฮึ! แม่เป็นนักร้องคาเฟ่ บ้านยากจนอยู่ในตรอกสลัมอย่างนั้นหรือ...ฉันว่าความจริงเธออาจจะเป็นเด็กใจแตกที่หนีออกจากบ้านมาก็ได้นะ” บุษราพูดจาโหดร้ายกับเด็กสาวอายุเพียงสิบแปดปีอย่างทอฝันจนเหลือทน
นวลกับป้าพิศที่ยืนฟังบทสนทนานี้อยู่ด้านนอกถึงกับควันออกหู ตั้งท่าจะเข้าไปข้างในเพื่อออกรับแทนคนพูดน้อยอย่างทอฝัน แม้จะเสี่ยงต่อการถูกหักเงินเดือนก็ตาม แต่ร่างสูงเพรียวที่เดินผ่านไหล่เข้าไปเสียก่อนทำให้สองแม่ลูกได้แค่มองสบตากันเท่านั้น
“ผมไม่ชอบเลยนะครับ ที่คุณแม่พูดจาแบบนี้” ปราชญ์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรกันลูก แม่แค่...” บุษราปรับสีหน้าแทบไม่ทัน
“คุณแม่จะบอกว่าลองใจ ทดสอบความอดทน...หรืออะไรอีกละครับ” ชายหนุ่มสวนขึ้นอย่างรู้ทัน “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณแม่ต้องมีอคติกับเด็กผู้หญิงแทบทุกคน จะบอกให้นะครับว่าผมเองก็ไม่ใช่พวกเจ้าชู้ชีกอ ใครมายั่วยวนแล้วจะต้องเล่นด้วยไปหมดทุกคน คุณพ่อเองก็ไม่เคยนอกใจคุณแม่สักครั้ง แล้วมีเหตุผลอะไรครับที่คุณแม่จะต้องระแวง”
“นี่ลูกขึ้นเสียงใส่แม่เพราะเด็กนี่หรือปราชญ์!” ร่างผ่ายผอมอย่างคนขี้โรคลุกผึงขึ้นทันที
“ผมเปล่าขึ้นเสียงนะครับ ผมแค่ไม่ชอบที่คุณแม่ดูถูกคนอื่น ทอฝันไม่ได้โกหกอะไรเลย ผมไปเห็นมากับตาแล้วว่าเธอมีชีวิตที่น่าสงสารแค่ไหน บ้านเก่าๆ ที่ใกล้พังในย่านสลัมยังติดตาผมอยู่เลย ผมอาจจะยังไม่ได้พบแม่ของทอฝัน แต่คนแถวนั้นก็พูดเหมือนกันว่าแม่ของทอฝันเป็นนักร้องคาเฟ่จริงๆ...ถ้าจะโกหกก็คงพร้อมใจกันโกหกกันทั้งซอยเลยละมั้งครับ” สิ่งที่ได้ยินมาจากชาวบ้านว่าแม่ของทอฝันเป็นนักร้องคาเฟ่ ปราชญ์เพียงแค่สร้างเรื่องขึ้นมาเองเพื่อตัดปัญหาเท่านั้น เมื่อคืนเหตุการณ์มันฉุกละหุกมาก เขาไม่ได้ยินอะไรมากไปกว่าคำด่าทอพวกขยะสังคมเลย
“ออกรับแทนกันแบบนี้ลูกคงหลงเสน่ห์มันไปแล้วละสิ!” บุษราตวาดลั่น สองมือกำแน่นด้วยความกรุ่นโกรธ
“ผมไม่ได้หลงเสน่ห์ใครทั้งนั้น...เพราะผมมีแฟนแล้วครับคุณแม่” ชายหนุ่มโกหกต่อไปอีก “ผมคบหาอยู่กับลูกสาวท่านนายพลเดชา ผมไม่สนใจผู้หญิงอื่นหรอกครับ อีกอย่างทอฝันก็เพิ่งจะอายุสิบแปดปี ผมไม่คิดจะทำลายอนาคตใครหรอก เธอยังเด็กเกินไป เนื้อหนังมังสาก็ไม่มีอะไรน่ามอง ผมไม่คิดอะไรแบบชู้สาวหรอก” ว่าแล้วก็เหลือบตามองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้น เธอคงเสียความรู้สึกน่าดูที่เขาพูดจาแบบนี้ แต่เอาไว้ค่อยอธิบายก็แล้วกัน ทอฝันคงไม่ใช่คนพูดยากนักหรอก
“ถึงอย่างไรแม่ก็ไม่ยอมเด็ดขาด! แม่ไม่สนใจหรอกว่าลูกเป็นคนรับมันเข้าทำงาน รู้เอาไว้ก็พอว่าแม่ไม่ต้องการให้มันเสนอหน้าอยู่ในบ้านเรา แม่ไม่ชอบนังเด็กซื่อบื้อนี่!”
“ผมพูดขนาดนี้คุณแม่ยังไม่พอใจอีก แสดงว่าผมไม่ใช่คนที่คุณแม่เป็นห่วง แต่เป็นคุณพ่อใช่ไหมครับ” ปราชญ์มุ่งประเด็นไปหาบิดา “ตอบผมมาสิครับ ผมจะได้รู้เสียทีว่าที่คุณแม่เปลี่ยนไปขนาดนี้เพราะอะไร แต่ก่อนคุณแม่เป็นคนใจดีมีเหตุผล ไม่เคยดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่า แต่ตอนนี้คุณแม่กำลังกลายเป็นคนที่ผมแทบไม่รู้จัก”
ใช่ว่าเขาจะไม่ระแคะระคายอะไรมาบ้างเลย เมื่อตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เคยมีข่าวซุบซิบมาว่าพ่อของเขาแอบควงนักศึกษาสาวทรงโตเข้าโรงแรมหรู แต่เพราะความเชื่อมั่นในความรักที่บุพการีทั้งสองมีต่อกัน ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจอะไรอีก ที่พูดขึ้นมาในวันนี้ก็เพราะต้องการทดสอบอากัปกิริยาของมารดา หากมีบางอย่างที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เคยได้ยินมีเค้าความจริง เขาจะได้จัดการมันเสียให้จบ และจะได้รู้ก็วันนี้แหละว่าอาการป่วยทางใจของบุษรามันมาจากเรื่องอะไรกันแน่
“คือแม่...ไม่ใช่หรอก ลูกจะบ้าหรือปราชญ์ พูดอะไรแบบนั้น” ผู้เป็นแม่ดุเสียงเขียว “คุณพ่อไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทางหรอก แม่ไม่ชอบเด็กผู้หญิงอายุน้อย เพราะกลัวว่าจะไม่มีประสบการณ์ทำงาน แม่เห็นแล้วขัดหูขัดตาเท่านั้นเอง” น้ำเสียงที่กราดเกรี้ยวเริ่มอ่อนลงอย่างผิดปกติ นั่นเป็นเพราะไม่อยากให้ลูกชายสงสัยในพฤติกรรมของบิดา
ปราชญ์เคยพูดเสมอว่าสิ่งเดียวที่เขารับไม่ได้ในชีวิตนี้ คือการที่พ่อแม่ไม่ให้เกียรติกันและกัน หากมีฝ่ายใดทำผิดด้วยการปล่อยให้มือที่สามเข้ามาแทรกกลาง เขาจะทำทุกอย่างเพื่อจบเรื่องนี้ รวมทั้งจบความสัมพันธ์ทางสายเลือดด้วย ที่คิดแบบนี้ก็เพราะเคยมีปมกระทบจิตใจมาก่อน เมื่อครั้งที่อายุแค่เพียงสิบหกปี คุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดาได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง...เพราะสามีไปมีผู้หญิงอื่น
ปราชญ์รักและเคารพคุณป้ามาก เพราะในช่วงที่ผู้ให้กำเนิดมัวแต่วุ่นอยู่กับงานด้วยต้องการวางรากฐานที่ดีให้แก่ครอบครัว คุณป้าเป็นคนเดียวที่ให้การเลี้ยงดูอุ้มชูเขามาจนเติบใหญ่ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ชายหนุ่มก็เสียใจอย่างที่สุด และตั้งปณิธานกับตนเองว่าต่อให้เป็นเพศที่ได้เปรียบ แต่เขาก็จะไม่เอาเปรียบผู้หญิง หากรักใครก็จะรักเพียงคนเดียว ไม่คบซ้อนเผื่อเลือกอย่างเด็ดขาด แม้จะเลือกใครเป็นคู่ชีวิต เขาก็จะไม่นอกลู่นอกทางทำให้คนรักกันต้องชอกช้ำ ไม่ใช่แค่บอกกับตัวเองเท่านั้น แต่ปราชญ์ยื่นคำขาดในเรื่องนี้กับพ่อแม่ด้วย เหตุนี้เองที่บุษราไม่ยอมให้ลูกชายรู้ความจริง เพราะถ้าหากรู้เขาจะต้องตัดขาดจากบิดาโดยไม่ยอมให้โอกาสแก้ตัวแน่
“แน่ใจนะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามซ้ำ
“แน่สิ คุณพ่อของลูกน่ะทำงานหามรุ่งหามค่ำ อย่าไปใส่ร้ายคุณพ่อเลย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ต้องพิสูจน์ด้วยการให้ทอฝันทำงานที่นี่ต่อไป เพราะถ้าจะไล่ออกด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีประสบการณ์หรือขัดหูขัดตา ผมไม่เห็นด้วยครับ ผมจะลองให้ทอฝันทำงานตามคำสั่งดูสักเดือน ถ้ามีอะไรบกพร่องจนเกินจะรับได้ก็ค่อยให้ออกไปตามที่คุณแม่ต้องการ แต่ถ้าไม่มีผมจะให้เธอทำงานต่อไปครับ” เขารวบรัดตัดตอนทันที
“อะไรกัน แม่...”
“ทอฝันทำงานแบบไปกลับนะครับ ไม่ได้ค้างที่นี่เหมือนสาวใช้คนอื่น ผมจะไม่ให้เธอไปยุ่มย่ามข้างบน แต่ให้ทำงานอยู่ข้างล่างแทน คุณแม่จะได้ไม่ต้องพบหน้าเธอบ่อยๆ แต่อย่าไล่เธอออกเลยครับ ผมรับรองเลยว่าทอฝันจะไม่ทำให้คุณแม่ยุ่งยากใจแน่นอน” ปราชญ์ออกโรงแทนทอฝันเสียจนป้าพิศกับนวลที่แอบฟังอยู่ด้านนอกยังนึกอึ้ง
สัญชาติญาณการปกป้องของผู้ชายที่มีให้กับผู้หญิงที่ตัวเองสนใจฉายชัดจนซ่อนไว้ไม่อยู่ บุษราเองก็อดคิดไม่ได้ว่าลูกชายกำลังหลงใหลแม่เด็กสลัมหน้าหวานคนนี้ แต่พอนึกได้ว่าปราชญ์กำลังคบหากับลูกสาวท่านนายพล คนเป็นแม่ก็เลยวางใจ สรุปเอาเองว่าคงคิดมากเกินเหตุ หากทอฝันไม่ได้ค้างอ้างแรมที่เรือนคนใช้เหมือนคนอื่น ดูท่าว่าคงไม่ใช่ปัญหาอะไรนักเมื่อสามีของเธอกลับมา
“ตามใจ แต่อย่าให้ค้างที่นี่เด็ดขาดเลยนะ ถ้าแม่รู้แม่ไม่ยอมแน่” พูดจบบุษราก็ตะโกนเรียกนวลเข้ามา กำชับคำสั่งที่เพิ่งบอกกับลูกชายอีกครั้งโดยไม่ลืมคาดโทษเอาไว้ด้วย นวลพยักหน้ารับรู้ไปตามเรื่องราว พอคุณผู้หญิงเดินออกจากห้องรับแขกเพื่อไปนวดคลายเครียดกับเพื่อนไฮโซที่นัดไว้ นวลถึงได้มีโอกาสถามกับปราชญ์
“คุณผู้หญิงไม่ให้ฝันนอนที่นี่ แล้วช่วงฝันจะไปนอนที่ไหนละคะ คุณปราชญ์”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่นวล คุณผู้หญิงยอมให้ฝันทำงานที่นี่ต่อไปก็เป็นบุญมากแล้ว เดี๋ยวฝันกลับไปนอนที่บ้านก็ได้ ฝันจะให้ลุงข้างบ้านช่วยเปลี่ยนกลอนให้แน่นหนาขึ้น แล้วจะไม่เปิดประตูส่งเดชอีก ฝัน...” ทอฝันเอ่ยขึ้นหลังจากที่ก้มหน้านิ่งเงียบมาพักใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค ชายหนุ่มก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ไม่ได้นะ เธอก็เห็นว่าประตูนั่นโดนฉันเตะแค่ครั้งเดียวก็พังแล้ว ฉันไม่ยอมให้เธออยู่คนเดียวหรอก”
“บางทีแม่อาจจะกลับบ้านแล้วก็ได้นะคะ”
“เอาเป็นว่าฉันจะพาเธอแวะไปที่บ้านก่อน ถ้าแม่เธอกลับมาแล้วก็ดีไป แต่ถ้ายังเธอต้องไปกับฉัน”
“ไปไหนคะ?” หญิงสาวถาม
“เอาเถอะน่า ฉันไม่พาเธอไปต้มยำทำแกงหรอก เชื่อใจฉันได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลย” ปราชญ์ยืนยันหนักแน่น
“แต่ว่า...” เธอขยับจะค้าน ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจ แต่แค่เกรงใจที่ปล่อยให้เขาช่วยเหลือเธอเสียมากมาย
“ไปกันได้แล้ว แต่ก่อนอื่นต้องไปเอายาที่หมอให้มาก่อน เธอต้องกินยาให้ตรงเวลานะรู้ไหม” ชายหนุ่มไม่สนใจฟัง รีบฉุดข้อมือบางให้ลุกขึ้นเพื่อเดินตามออกมาข้างนอก มุ่งหน้าไปที่เรือนคนใช้เพื่อนำยาของทอฝันติดมือไปด้วย พอกลับออกมาอีกครั้งนายถมก็นำรถยนต์คู่ใจมาจอดเทียบรอตามคำสั่งแล้ว ทอฝันมองป้าพิศกับนวลเหมือนอยากจะพูดบางอย่างแต่ไม่ทันการ เพราะถูกชายหนุ่มดันหลังให้เข้าไปนั่งในรถเสียก่อน
..................................................................................................................................................................
