บทที่ 14 เห็นกอดกับเอกภพ
“พี่ภพคะ ที่เคยขอคบกับณิดา ตอนนี้ณิดาตกลงแล้วก็ได้” หญิงสาวพูดไปอย่างไม่คิด เธอรู้แล้วว่าหายนะกำลังมาเยือน หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ภีมวัจน์จะใช้โอกาสนี้เล่นงานเธอเพื่อให้พ่อได้รับความทุกข์ใจอย่างที่เขาต้องการ ก่อนปณิดาจะโผเข้ากอดเอกภพทันที ท่ามกลางสายตาของสองพนักงานกลุ่มเดิมที่เดินผ่านมาแล้วเห็นเข้าเต็มสองตา
“ต๊าย ยัยไหม เธอดูสิ เดี๋ยวก็เข้าห้องคุณภีม เดี๋ยวก็กอดกับพนักงานต้อนรับ ตกลงเธอจะเอาใครกันแน่” ท่าทางกวน ๆ ของหลินเอ่ยขึ้น ปณิดาจะถอนกอดออกจากเอกภพ แล้วหันกลับมายังทั้งสองด้วยใบหน้าราบเรียบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบป้องปกปณิดาในทันที
“พวกเธอไม่มีงานหรือไง ฉันเห็นพวกเธอคอยพูดแขวะปณิดาหลายครั้งแล้ว”
“เอกภพ นายลืมแล้วเหรอ ว่านายเองก็ขอให้พวกเราเล่าเรื่องที่ปณิดากอดกับคุณภีมวัจน์ในห้อง สมองเสื่อมหรือไง” ชายหนุ่มชะงักนิ่ง ก่อนปณิดาจะนิ่งเงียบไปในที่สุด เธอรู้ดีว่าเวลานี้ใครมองเข้ามาก็คงคิดไปต่าง ๆ นานาว่าเป็นหญิงหน้าไม่อาย วิ่งเข้าหาคนนั้นคนนี้วุ่นวายไปหมด ก่อนเอกภพจะจับมือปณิดาแน่น
“ตอนนี้ฉันกำลังดูใจกับปณิดาอยู่ เราเพิ่งตกลงคบกันเมื่อกี้” พนักงานทั้งสองเบิกตากว้าง ก่อนจะพากันหัวเราะออกมา
“เอกภพ หน้าอย่างนาย ฐานะอย่างนายอะนะ ที่ปณิดาจะเลือก นายลืมไปหรือเปล่าว่าปณิดาเป็นเด็กของคุณภีมวัจน์ นายโดนผู้หญิงคนนี้หลอกแล้วล่ะ” หญิงสาวเม้มปากแน่น พลันครุ่นคิดทบทวนครู่หนึ่งอย่างเงียบ ๆ การที่เธอดึงเอาเอกภพเข้ามา อาจไม่ใช่วิธีที่ดีนัก หากภีมวัจน์ไม่พอใจ เขาอาจตกงานเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
“พี่ภพคะ เมื่อกี้ที่ณิดาพูดไป ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นละกันค่ะ ณิดาคงทำงานหนักไป เลยพูดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนั้น” ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบเดินจากไปด้วยความสับสน ก่อนสีหน้าเจื่อนของชายหนุ่มจะเผยออกมาด้วยความผิดหวัง
“เห็นไหม ยัยนั่นก็แค่ปั่นประสาทนายเล่น ๆ ก็เท่านั้นล่ะ” ว่าแล้วสองพนักงานก็พากันเดินจากไป ปล่อยให้เอกภพยืนสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ภีมวัจน์นั่งทำงานด้วยความตั้งใจ จนลืมเวลาล่วงเลยมานานพอควร เขายกมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะหันไปสะสางงานต่ออีกเล็กน้อย แล้วรวบเอกสารข้าง ๆ มือไว้เป็นกองเดียวกัน ก่อนออกจากห้องไป เพียงลงมายังโซนของโรงแรมเสียงหัวเราะคิกคักของพนักงานดังลอดออกมาให้เขาต้องหยุดฟัง
“พี่วิสารู้ไหมคะว่าตอนที่หลินเห็นว่ายัยณิดา กอดกับเอกภพ หลินแทบไม่เชื่อสายตาเลยล่ะค่ะ ผู้หญิงอะไรเพิ่งออกจากห้องคุณภีมมาหยก ๆ ก็มากอดกับพนักงานต้อนรับทันทีเลย” ภีมวัจน์ได้ยินดังนั้นจึงตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ พร้อมสายตาสั่นไหว ก่อนวันวิสาจะยกมือขึ้นกอดอก
“ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าณิดาจะทำอย่างนั้น ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่ค่อยชอบหน้าณิดานัก แต่ก็อย่ากุเรื่องให้มากเกินไปหน่อย” ทั้งหลินและเพื่อนหันมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ถ้าพี่วิสาไม่เชื่อ งั้นก็ถามเอกภพดูสิคะว่าที่หลินเล่าให้ฟังนั้นจริงหรือเปล่า ว่าไงภพ” ชายหนุ่มอึกอักครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับออกมาโดยดี
“เป็นเรื่องจริงครับ ตอนนั้นผมกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ อยู่ ๆ ณิดาเหมือนวิ่งหนีอะไรมาสักอย่าง อยู่ ๆ ก็บอกว่าตกลงคบกับผม แล้วเธอก็กอดผม” วันวิสานิ่งเงียบไปด้วยความสับสน ก่อนหลินจะพูดแทรกขึ้นด้วยความหมั่นไส้
“พี่วิสาตาสว่างได้แล้วล่ะค่ะ ลูกน้องคนโปรดของพี่เล่นมั่วผู้ชายแบบนี้ พี่ก็น่าจะดูออกได้แล้วนะคะว่ามันเป็นคนยังไง จะเหลือก็แต่คุณภีมเท่านั้นแหละ ที่ยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมแม่คนนั้น” หลินพูดอย่างอคติ ก่อนภีมวัจน์จำคำพนักงานสาวไว้อย่างแม่นยำ แล้วตัดสินใจมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่นายอาทิตย์รักษาตัวทันที
สองเท้าของปณิดาเดินเข้ามาหาบิดา ก่อนชายกลางคนจะยกยิ้มให้ลูกสาวด้วยความรัก เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ในส่วนลึก ก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วเอ่ยถาม
“วันนี้เป็นไงบ้างคะ ยังหายใจเหนื่อยอยู่ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้คนป่วยส่ายศีรษะไปมา ขณะที่สายตาของปณิดาจะเลื่อนไปเห็นกระปุกยาห้อยระโยงอยู่ด้านบน
“ทำไมวันนี้พ่อรับยาเยอะจังคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกได้ไปลาออกจากงานหรือยัง” คำถามของบิดาทำให้ปณิดายิ้มกลบเกลื่อน
“พ่ออย่าห่วงเลยค่ะ เรื่องงานกับคุณภีมณิดาจัดการได้ ขอเพียงแค่ให้เขาจ่ายค่ารักษาของพ่อ ณิดาทนเขาได้ค่ะ” ชายกลางคนได้ยินดังนั้นจึงค่อย ๆ เลื่อนมาจับมือหญิงสาวแนบแน่น
“รักษาพ่อ เท่าที่ทำได้ก็พอ พ่อไม่อยากให้ณิดามาเดือดร้อนเพราะพ่ออีก”
“พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมพี่ภีมยังปักใจเชื่อความคิดบ้า ๆ พวกนั้นอีกคะ” หญิงสาวพูดออกมาด้วยความน้อยใจ หากแต่นั่นทำให้ชายกลางคนชะงักนิ่ง ก่อนจะปั้นหน้าแล้วยกมือลูบศีรษะลูกสาวช้า ๆ
“ลาออกเถอะนะลูก เชื่อพ่อ” ก่อนเสียงของพยาบาลสาวจะเดินเข้ามา พร้อมแก้วใส่ยาเล็ก ๆ
“ได้เวลาทานยาก่อนนอนแล้วนะคะคุณอาทิตย์” ปณิดาถือโอกาส เอ่ยถามอาการพ่อจากพยาบาลด้วยความเป็นห่วง
“คุณพยาบาลคะ วันนี้คุณหมอสั่งให้ยาคุณพ่อเพิ่มเหรอคะ” ก่อนพยาบาลจะหันกลับมาแล้วตอบตามความเป็นจริง
