ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
เนตรดาวถูกบุตรชายโอบบ่าพาเดินเข้าบ้าน และทันทีที่รถของฉัตราเคลื่อนจากไป เนตรดาวก็คว้าข้อมือใหญ่ของลูกชายด้วยสีหน้าร้อนใจ
“เสือ พูดไปแบบนั้นคิดว่าดีแล้วหรือลูก”
“ทำไมล่ะครับ ผมก็พูดเรื่องจริงทุกอย่าง คุณแม่เป็นห่วงเรื่องอะไรหรือครับ” ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว คนเป็นแม่จึงปล่อยมือลูกแล้วเดินไปนั่งโซฟาตัวถัดไป
“แม่อยากจะเตือนเรื่องการใช้คำพูด เสือควรจะพูดจาอย่างคนที่ได้รับการศึกษามากกว่านี้ ทั้งที่เราก็เรียนจบสูงพอที่ใครหลายคนจะยอมก้มหัวให้ได้ แต่ทุกคนไม่ใช่บริวารของเสือซะหมด การใช้คำพูดโดยไม่คิดจะนำพาเหตุร้ายมาสู่เราได้นะลูก”
พยัคฆ์ไหวไหล่ “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะพูดจาไม่ดีตรงไหนนี่ครับแม่”
“ก็เสือไปหัวเราะเยาะเขาแบบนั้น แถมยังพูดจาหักหน้าเขาอีก คุณคนนั้นเขาไม่รู้จักเสือนะลูก อย่าลืมสิ” มารดาเตือนอย่างหวังดี ตั้งแต่พยัคฆ์โตพอจะทำงานหาเงินได้ด้วยตนเองแล้ว พยัคฆ์มักจะพูดจาโผงผางไม่ค่อยให้เกียรติใคร จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่รู้จักพยัคฆ์และไม่ถือสา เพราะคำพูดไม่ใช่เครื่องวัดความดีที่มีอยู่ในตัว ถึงจะโผงผางแต่ลูกของเธอก็ไม่เคยกดขี่ข่มเหงใคร คนงานทุกคนต่างก็เคารพยกย่องนายหัวพยัคฆ์ทั้งนั้น
แต่สำหรับคนไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุยหรือแม้จะเห็นหน้ากันมาก่อนก็ไม่เคย การพูดจาโผงผางจะเป็นการสร้างศัตรูให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ผมไม่ได้ดูถูกเขานะครับ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยดูถูกใครนอกจาก...แต่ถ้านายฉัตราคิดเองเออเองก็ช่างเขาประไรครับ ผมไม่เห็นต้องแคร์”
“คุณคนนั้นท่าทางจะมีอิทธิพลพอสมควร ไม่งั้นคงไม่เอาเงิน 500 ล้าน มาถลุงให้กับที่ดินเปล่าแค่ 50 ไร่ของเราหรอกนะลูก ถ้าเขาไม่ชอบใจเสือขึ้นมา แม่กลัวว่า...”
“คุณแม่เลิกกลัวได้เลยครับ ผมไม่ยอมให้ใครทำร้ายพวกเราทุกคนได้แน่ เราไม่ได้ขอเงินใครกินนะครับแม่ เรามีทุกวันนี้ก็เพราะสองมือของผมทั้งนั้น จะมีก็แต่เงินทุนก้อนแรกที่ได้มาจากลุงเจ็ทเท่านั้น”
“แม่ก็เตือนเสือเท่านั้นล่ะ แม่รู้ว่าเสือโตพอจะไม่ต้องคอยสั่งคอยสอนอีกแล้ว”
พยัคฆ์เห็นมารดาออกอาการน้อยอกน้อยใจที่เขาไม่เชื่อฟังคำเตือนของท่าน จึงลุกขึ้นมานั่งบนที่เท้าแขนแล้วกอดร่างท้วมของท่านไว้เต็มอ้อมแขน
“อย่างอนสิครับ ผมรักแม่นะครับ แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผม ที่แม่เตือนผมก็พอจะทราบ และจะพยายามปรับปรุงตัวเองนะครับ”
“ดีแล้วลูก เรามีกันแค่นี้ แม่ก็อยากอยู่กับเสือนานๆ”
เนตรดาวนึกถึงผู้ชายที่ให้กำเนิดพยัคฆ์ ผู้ชายที่เป็นสามีของเธอ ผู้ชายที่ไล่เธอออกจากบ้านหลังนั้นทั้งที่เธออุ้มท้องลูกของเขาอยู่ พยัคฆ์เด็ดเดี่ยวเหมือนพ่อของเขา เธอตั้งชื่อนี้ก็เพราะเห็นแววความน่าเกรงขามที่อยู่ในตัว ดวงตาของเด็กทารกในห่อผ้าแม้จะเป็นดวงตาของเด็กแรกเกิด แต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
เมื่อ 33 ปีที่แล้ว ในกลางดึกคืนหนึ่ง...
บ้านหลังเล็กกลางป่าบนเนินเขา มีผู้หญิงท้องแก่เจ็บท้องจะคลอดลูก เธอเก็บสัมภาระที่จำเป็นใส่กระเป๋าใบย่อมและสะพายบ่าเดินไปตามถนนลูกรังที่ตัดผ่านเนินเขาเป็นทางแคบๆ แต่กว้างพอจะให้รถแล่นเข้ามาได้ ทว่ากลางดึกแบบนี้ไม่มีรถใครสักคนหลงเข้ามา คงเพราะสุดทางเส้นนี้ก็เป็นลำธาร ไม่มีบ้านคนอยู่เลยสักหลัง ที่แถวนี้เป็นที่ดินมรดกตกทอดของมารดา ซึ่งท่านล่วงลับไปนานแล้ว
หลังจากถูกไล่ออกจากบ้านของสามีพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าที่ถูกเหวี่ยงออกมา เนตรดาวซึ่งมีเงินฝากในบัญชีจำนวนหนึ่ง และมันก็มากพอจะหาช่างมาถางป่าแล้วสร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่ตามลำพังกับลูกในท้อง เธอเป็นคนเข้มแข็งและถือว่าเป็นผู้หญิงแกร่งร่างกายแข็งแรงมากคนหนึ่ง เธอไม่ค่อยป่วยบ่อยนัก แม้ในขณะตั้งครรภ์เธอก็ยังไม่มีอาการแพ้ท้อง ลูกคงสงสารแม่ก็เลยไม่ทำให้เธอต้องทรมาน จวบจนกระทั่งตอนนี้ ลูกในท้องคงอยากออกมาดูโลกเต็มทีแล้วสินะ
“รออีกนิดนะลูก อดทนอีกนิด ขอให้แม่เดินไปถึงปากซอยก่อน ที่นั่นจะมีคนพาเราไปโรงพยาบาลนะลูก”
เธอหมายถึงป้อมตำรวจที่อยู่ตรงสี่แยกปากทางเข้า แต่ทำไมหนทางที่เคยเดินผ่านอยู่ทุกวันกลับดูยาวไกลถึงเพียงนี้ ถุงน้ำคร่ำแตก ขาของคนที่กำลังจะเป็นแม่สั่นเทิ้ม หว่างขาของเธอเปียกชื้นและลื่นไปหมด
“ช่วย...แม่ อดทน...อีกหน่อยนะลูก แฮ่กๆ” เธอลูบท้องนูนใหญ่ไปมา ดูเหมือนว่าลูกจะรับรู้เพราะถีบตอบสัมผัสของแม่ และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อเนตรดาวคลายความเจ็บร้าวลงบ้าง
“ขอบใจลูก ลูกเก่งมาก เข้มแข็งแบบนี้ โตขึ้นจะต้องเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งมาก รออีกนิดนะลูกเสือ รออีกนิด แม่จะ...” ทันใดนั้น แสงไฟจากรถคันหนึ่งก็สาดส่องเข้ามาถึงตัวเธอ เนตรดาวต้องหรี่ตาแล้วโบกมือเรียกรถคันนั้นให้จอด “โอ้...เสือ ลูกแม่ช่วยแม่จริงๆ ด้วย เรากำลังจะไปโรงพยาบาลกันแล้ว เสือจะได้ออกมาคำรามสู่โลกกว้างแล้วนะลูก”
เดชะบุญของเธอที่ตำรวจนึกอยากเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยในละแวกบ้านของเธอ ต้องขอบคุณนายตำรวจผู้นี้ที่เขายังมีแก่ใจนึกถึงผู้หญิงท้องแก่อยู่บ้านตามลำพังในป่าบ่อยๆ เขามักจะแวะเวียนเข้าไปสำรวจตรวจตราให้แน่ใจว่าเธอยังปลอดภัยดี เหมือนคืนนี้ที่เขาฉุกคิดถึงท้องใหญ่ๆ จวนคลอด เป็นห่วงว่าเธอจะคลอดลูกไม่วันใดก็วันหนึ่ง จึงขับรถเข้าไปหา
นายตำรวจผู้นั้นพาเนตรดาวมาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แถมยังอยู่รอจนเธอออกจากห้องคลอดด้วย
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณเนตร หมอบอกว่าลูกชายคุณแข็งแรงมาก ผมได้ยินเสียงร้องไห้จ้าเลยทีเดียว ฟังแล้วท่าจะดังกว่าเสียงเด็กคนอื่น”
“เขาร้องหรือคำรามกันคะ ลูกฉันชื่อเสือค่ะ เสือหรือพยัคฆ์ เขาต้องเสียงดังกว่าเด็กคนอื่นอยู่แล้ว” เนตรดาวอารมณ์ดีจนแกล้งเย้านายตำรวจผู้นั้น
“แต่เสือก็ยังไม่ใช่เจ้าป่า แม้ว่าสมควรจะเป็นเจ้าป่ามากกว่าสิงโตก็ตาม”
พอพูดถึงสิงโต เนตรดาวก็มีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย และนายตำรวจก็แทบอยากตบปากตัวเองสักที
“ผมขอโทษนะครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณกับลูกปลอดภัยทั้งคู่ก็ดีแล้ว เด็กคนนี้ต่อไปจะแข็งแกร่งเพื่อเป็นผู้คุ้มครองและปกป้องดั่งลายของเขานะครับ”
“ขอบคุณคุณตำรวจมากๆ นะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ เพราะมันเป็นหน้าที่ของตำรวจอย่างผม ตำรวจเพื่อประชาชนไงล่ะครับ” นายตำรวจกล่าวกลั้วหัวเราะและเดินจากไป
ตำรวจนายนั้นที่ทราบชื่อในภายหลังว่าพินิจ เป็นตำรวจที่ย้ายมาใหม่แต่ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม เขาพูดไม่ผิดความจริงเลยสักนิด เสือแข็งแกร่งฉันท์ใด ลูกชายของเธอก็แข็งแกร่งฉันท์นั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไกรนาถ เจ็ทเตอร์ ริชแมนด์ ก็เดินทางมาจากประเทศอิตาลี มาขออยู่ด้วยโดยให้เหตุผลว่า
“พี่เบื่ออิตาลีแล้ว ขอใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทยด้วยนะ เราเป็นพี่น้องกัน หวังว่าเนตรคงไม่ไล่พี่กลับบ้าน ใช่มั้ย”
“เนตรจะไล่พี่เจ็ทได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อเราสองคนเป็นพี่น้องกัน แต่พี่เจ็ทจะมาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันกับเนตรไม่ได้หรอกนะคะ”
“อ้าว...ทำไมล่ะ เนตรรังเกียจพี่เหรอ” เจ็ทเตอร์ทำหน้าเศร้า อันที่จริงการที่เขาคิดจะมาปักหลักอยู่เมืองไทยสักพัก ไม่ใช่เพราะเบื่อประเทศบ้านเกิดอย่างเดียวหรอก เขามีบางอย่างที่เป็นสาเหตุหลัก สาเหตุที่บอกใครไม่ได้
“เปล่าค่ะ แต่เราไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันนะคะ พี่เจ็ทอย่าลืมสิ คนไทยเขาถือ ชายหญิงที่ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา จะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันสองต่อสองไม่ได้ ถึงแม้จะมีตาเสืออยู่ด้วยก็ตาม ถ้าพี่เจ็ทอยากอยู่เมืองไทย เนตรขอให้พี่เจ็ทปลูกบ้านสักหลังได้ไหมคะ”
“อ๋อ...พี่เข้าใจแล้ว เนตรกลัวไอ้หมอนั่นจะเข้าใจผิดอีกสินะ ทำไมเนตรยังแคร์มันล่ะฮะ มันไล่เนตรออกมาจากบ้านอย่างกับหมูกับหมา จนเนตรต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่คนเดียวทั้งๆ ที่กำลังท้อง คนระยำขนาดนั้นทำไมยังต้องแคร์มันอีกฮะ”
เนตรดาวเบิกตากว้างโต เจ็ทเตอร์รู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขากลับอิตาลีไปครั้งก่อน แล้วสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องระเห็จออกมาอยู่ที่นี่ ถ้าจะพูดแบบไม่รักษาน้ำใจกันก็มาจากเขาล้วนๆ ถ้าเขาไม่เข้าใกล้เธอเกินไป ถ้าเขารู้ว่าระยะห่างที่สมควรมันจะห่างแค่ไหน ก็คงไม่เกิดเรื่องที่ทำให้หลายคนอึดอัดใจและสุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายทุกข์ทรมานมากที่สุดก็คือเธอ
“พอเถอะค่ะพี่เจ็ท อย่าพูดถึงเขาอีกเลยค่ะ เนตรตัดเขาออกไปหมดแล้ว แต่ที่เนตรให้พี่เจ็ทอยู่ด้วยกันไม่ได้ เนตรไม่อยากเป็นขี้ปากใครมากไปกว่านี้อีกแล้วค่ะ ขอให้พี่เจ็ทเข้าใจเนตรเถอะนะคะ ถ้าไม่เห็นแก่เนตร ก็ขอให้เห็นแก่หลานเถอะนะคะ”
เจ็ทเตอร์หลุบตาลงมองเด็กทารกตัวกระจ้อยในอ้อมแขนของเนตรดาว ดวงตาสีนิลของเด็กชายจ้องแป๋วมาที่เขานิ่ง เด็กยังกะพริบตาได้ไม่เร็วเรียกรอยยิ้มของเจ็ทเตอร์ได้ในทันที อะไรบางอย่างพุ่งปราดจากหัวใจขึ้นสู่สมอง หลังจากประมวลผลแล้ว เขาก็ยอมตอบตกลงกับเนตรดาว
“ก็ได้ เพื่อเนตรจะไม่ต้องลำบากใจมากไปกว่านี้ พี่จะขอซื้อที่ดินผืนที่ติดกับที่ของเนตรก็แล้วกัน พี่จะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้เนตรจนเกินไป แล้วคนอื่นจะได้ไม่มองเนตรผิดๆ โอเคมั้ย”
ที่ดินที่เจ็ทเตอร์พูดถึงคือที่ดินเปล่าซึ่งเจ้าของติดประกาศขายในราคาแพง ยังไม่มีใครสักคนกล้าสู้ราคาที่ดิน เพราะเป็นที่บนเนินเขาหากซื้อไปจะต้องปรับเปลี่ยนซึ่งก็ต้องใช้เงินมากพอสมควร ทว่า...เจ็ทเตอร์ ริชแมนด์ รวยมากขนาดซื้อภูเขาอีก 3 ลูก ก็ยังไหว น่าแปลกเหตุใดที่ทำให้เศรษฐีอย่างเขาอยากปักหลักที่ประเทศไทย
“ตามใจพี่เถอะค่ะ แต่พี่แน่ใจแล้วเหรอคะ”
“แน่สิ ที่โน่นพี่ไม่มีญาติพี่น้องอีกแล้วเนตรก็รู้ คุณพ่อของเราและคุณแม่ของพี่ท่านก็เสียไปพร้อมกัน พี่ตัวคนเดียวไม่มีครอบครัว นึกเบื่ออิตาลี เบื่อการท่องเที่ยวไปวันๆ พี่อยากอยู่อย่างสงบ ประเทศไทยน่าอยู่จะตายไป แล้วพี่ก็เหลือเนตรที่เป็นญาติอยู่คนเดียวเองนะ อ้อ...ไม่สิ ยังมีหลานของพี่อีกคน หลานพี่ชื่ออะไรหรือเนตร”
“พยัคฆ์ค่ะ ชื่อเล่นคือเสือ”
ชื่อของหลานชายในอ้อมแขนผู้ที่เปรียบดั่งน้องสาวทำให้เรียวปากหนาภายใต้หนวดเครากระตุกยึก เจ็ทเตอร์ยิ้มเกลี่ยข้อนิ้วกับพวงแก้มบอบบางของทารกน้อย
“หลานเสือของลุงเจ็ท ลุงจะช่วยแม่ของหลานเลี้ยงดูหลานจนเติบใหญ่เอง”
เนตรดาวถอนใจ ถ้าลองเจ็ทเตอร์พูดแบบนี้แล้ว ต่อให้ไล่ยังไงเขาก็คงไม่ไป ยังไงเสียเขาก็เป็นพี่ชายของเธอ เป็นลูกของคุณพ่อ แม้จะต่างมารดากันก็ตาม หากจะต้องอยู่ด้วยกันก็อยากอยู่ด้วยกันอย่างสงบ และเธอคิดว่าสักวันเจ็ทเตอร์จะต้องมีครอบครัว เขาชอบผู้หญิงไทยเพราะแม่ของเจ็ทเตอร์หรือแม่ใหญ่ของเธอเป็นคนไทย และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ็ทเตอร์อยากมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของแม่ตน
การติดต่อขอซื้อที่ดินและข้อแลกเปลี่ยนของฉัตราส่งผลให้พยัคฆ์คิดทบทวนอยู่หลายตลบเกี่ยวกับที่ดินผืนนั้น กระทั่งวันนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขัดขวางคนที่ต้องการที่ผืนนั้นเพื่อหวังประโยชน์มหาศาล ด้วยการพลิกฟื้นที่ดินว่างเปล่าให้เป็นรีสอร์ตเล็กๆ มีบ้านพักเพียงแค่ 24 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามที่นักท่องเที่ยวนิยม ในราคาไม่แพงจนจำกัดฐานะของผู้เข้าพัก
อย่างน้อยเขาก็ไม่ปล่อยให้คนอื่นมาหาผลประโยชน์จากที่ดินของแม่ แต่หากทำประโยชน์เพื่อครอบครัวก็คงจะดี
“นายหัวครับ ได้แล้วครับเรื่องที่นายหัวให้ไปสืบมา นี่ครับ”
พยัคฆ์รับซองสีน้ำตาลจากมือเรือง เขารีบเปิดอ่านรายงานผลของนักสืบเอกชนที่ว่าจ้าง
“นายฉัตรา รุ่งเรืองทวีไพศาล เป็นลูกของนายขจรยศ รุ่งเรืองทวีไพศาล ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครศรีธรรมราช ฐานะร่ำรวยที่สุดของจังหวัด และ...รู้จักกับนายหัวสิงขร องอาจสกุลไกร” พยัคฆ์อ่านทุกตัวอักษรจนมาเห็นชื่อของสิงขร มือก็เกร็งจิกกระดาษจนยับ
“นายหัวครับ นักสืบยังบอกอีกว่า นายฉัตรากว้านซื้อที่ดินเตรียมจะสร้างรีสอร์ตและสนามกอล์ฟให้พวกมหาเศรษฐีมาพักผ่อน”
“แต่คงสร้างไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ้าว...ทำไมล่ะครับ”
“เพราะเจ้าของเขาไม่ขายให้น่ะสิ ขอบใจแกมากไอ้เรือง มีงานอะไรทำค้างไว้ก็ไปเถอะ” พยัคฆ์ไล่ “อ้อ...เดี๋ยวนี้พวกนั้นยังมารังควานเราอีกหรือเปล่า” พยัคฆ์หมายถึงคนของนายหัวสิงขร
“วันก่อนไอ้ติพาเมียไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดก็เจอคนของนายหัวสิงขร พวกนั้นได้แต่เห่าหอน มันมีกัน 3 คน ส่วนไอ้ติก็มีเมียและลูก มันเลยปล่อยให้หมาเห่าต่อไป มันว่าหมาเห่าอย่าเห่าตอบเพราะเราไม่ใช่หมาครับนายหัว”
“หึ หึ ดีที่ไอ้ติคิดอย่างนั้น แต่กูคันปากยิบๆ ไม่ได้อยากเห่านะโว้ย แต่อยากกัดว่ะ หมั่นไส้”
“หมั่นไส้ใครหรือครับนายหัว เมื่ออาทิตย์ก่อนลูกไอ้พาไม่สบาย มันพาลูกไปรักษากับหมอนีน กลับมาพักไม่นานก็วิ่งปร๋อ ท่าทางยาของหมอนีนจะดีนัก รักษาใครคนนั้นก็หาย แต่นายหัวครับ ผมยังสงสัยว่าหมอนีนกินอะไรถึงสวยขนาดนั้น สวยหยาดฟ้ามาดิน เสียตรงที่เกิดเป็นลูกนายหัวสิงขร ไม่งั้นผมจะเชียร์ให้นายหัวไปปล้ำทำเมียซะเลย”
พยัคฆ์กระตุกยิ้มตรงมุมปาก ไอ้เรืองพร่ำไปเรื่อยเปื่อยเพราะมันไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของนายหัวสิงขรเท่าไหร่นัก แต่พยัคฆ์รู้ รู้ว่าคนๆ นั้นใจวิปริตผิดมนุษย์มากแค่ไหน ไม่มีทางที่เขาจะเอาลูกสาวมันมาทำเมีย
“มึงก็พูดมากเกินไปแล้ว ไปๆ รีบไปให้ไกลบาทากูเลย เดี๋ยวโดนถีบ”
ไอ้เรืองหัวเราะ ก่อนวิ่งหนีบาทาใหญ่ในรองเท้าหนังหุ้มส้นของเจ้านาย พยัคฆ์ส่ายหัวแล้วโทร.หาศิลาผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับจ้างทั่วราชอาณาจักร สร้างทุกอย่างจากดินให้เป็นปูนได้
“สวัสดีคุณศิลา ผม...นายหัวพยัคฆ์ หวังว่าคุณจะจำกันได้”
“ครับๆ นายหัว มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”
“ผมอยากสร้างรีสอร์ตเล็กๆ ว่างเมื่อไหร่ขอเชิญที่บ้านหน่อยนะครับ”
“ได้ครับได้ เย็นนี้เลยแล้วกัน ผมจะรีบไปนะครับ”
พยัคฆ์วางสาย เขาตัดสินใจจะสร้างรีสอร์ตตัดหน้าฉัตรา พลางนึกถึงข้อมูลของฉัตราที่อยู่บรรทัดล่างๆ นายหัวขจรยศและฉัตรามีธุรกิจบังหน้าเป็นรีสอร์ตติดชายทะเลหลายจังหวัด แต่ฉากหลังที่พวกมันพยายามปกปิดแต่ก็ยังเล็ดลอดข้อมูลให้นักสืบที่ทำงานได้ยอดเยี่ยมรู้ และคาบข่าวมาบอกเจ้าของเงินค่าจ้างเหยียบแสนอย่างเขา พยัคฆ์ไม่เสียดายเงินค่าจ้างจำนวนมากนั้นเลย เพราะมันคุ้มแสนคุ้มที่ทำให้รู้ว่าฉัตราและขจรยศทำอะไรบ้าง
พวกมันคงจะซื้อที่ดินเปล่าทำรีสอร์ตบังหน้า สนามกอล์ฟที่มันอยากทำคงจะกลายเป็นแหล่งอโคจร นอกจากการพนันแล้วยังมีซ่องขายเนื้อสด มันคงจะคิดว่าตัวเองฉลาดส่วนคนอื่นน่ะโง่บรม หึ มันคิดผิดแล้ว และเขาจะทำให้มันรู้ว่าคนอื่นไม่ได้โง่อย่างที่มันคิด
ถ้าขาดที่ดิน 50 ไร่ สนามกอล์ฟก็คงสร้างขึ้นไม่ได้
“เสือ ลูกจะลงทุนสร้างรีสอร์ตที่สิเกาจริงๆ หรือ รีสอร์ตของเราก็มีอยู่แล้วนี่ลูก” เนตรดาวหมายถึงรีสอร์ตปันดาว ที่มีอยู่แล้ว เจ็ทเตอร์ปรายตามองหลานชายอย่างรอคอยคำตอบ
“ครับแม่ ผมจะทำรีสอร์ตเล็กๆ มีพื้นที่กว้างขวางพอจะจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ คิดว่าจะสร้างบ้านพัก 24 หลัง มีสระว่ายน้ำส่วนตัวทุกหลัง และอาจจะเพิ่มอาคารห้องพักที่ราคาประหยัดลง แต่มีสระว่ายน้ำส่วนกลางให้ ผมกะจะเจาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำที่อยากพักผ่อนระดับ 5 ดาว แต่ราคาเท่า 3 ดาว”
“แล้วจะคุ้มทุนเมื่อไหร่กันเสือ” เจ็ทเตอร์แย้งขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ คุ้มเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ผมไม่รีบ แค่อยากสร้างขัดขวางนายฉัตราเท่านั้น”
“ทำแบบนั้นก็เท่ากับขัดแข้งขัดขาเขาน่ะสิ แล้วแบบนี้จะไม่มีเรื่องกันเรอะ” เนตรดาวห่วงบุตรชาย ไม่อยากให้สร้างศัตรูที่ไหนอีก แค่นี้ก็มีเหตุการณ์เลือดตกยางออกแทบทุกวันแล้ว
“แต่ผมไม่ยอมให้มันมาสร้างรีสอร์ตและสนามกอล์ฟบังหน้า แต่เบื้องหลัง...เอาเถอะครับแม่ อย่าห่วงเลย ลูกชายแม่คนนี้พร้อมจะขัดขวางคนเลวไม่ให้ทำร้ายทำลายคนดีๆ หรอกครับ”
เนตรดาวฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ หากแต่จะพูดเตือนมากมายนักก็ไม่ใช่เรื่อง พยัคฆ์อายุ 34 เขามีสิทธิ์คิดเองทำเอง และเผชิญปัญหาเองแก้ปัญหาเอง เขาโตจนพ้นอกแม่ไปนานแล้ว เธอก็ควรจะปล่อยเขาไป และได้แต่คอยห่วงใยอยู่ข้างหลัง
“สนใจเกาะดาราของลุงไหมล่ะ” เจ็ทเตอร์เอ่ยขึ้น
“จริงสิครับ เกาะดาราของลุงเจ็ทซื้อไว้ตั้งนานแล้ว ผมไม่เห็นลุงเจ็ททำอะไรเลยนี่ครับ”
“ลุงว่าจะทำรีสอร์ตส่วนตัวเหมือนกันนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวลุงจะคุยกับศิลาเขาอีกที”
“ครับ ถ้าทำได้ก็ดีครับ”
หลังจากมื้ออาหารเที่ยงผ่านพ้นไป พยัคฆ์ก็ได้รับโทรศัพท์จากศิลาเรื่องขอนัดคุยกันที่ร้านอาหารในตัวเมือง คุยไปกินไปจะได้ไม่ซีเรียสจนเกินไป พยัคฆ์ก็เห็นด้วยเลยบอกมารดาว่าไม่ต้องทำกับข้าวไว้รอ เย็นนี้จะไปฝากท้องนอกบ้าน
ศิลา ก้องก่อเกียรติ เป็นผู้รับเหมาฝีมือดีที่สุดของจังหวัดเลยก็ว่าได้ ศิลาเป็นผู้ชายหน้าตี๋และเป็นคนใต้โดยกำเนิด เขารีบลุกขึ้นเต็มความสูง 180 ซ.ม. เมื่อเห็นเจ้าของร่างสูงตระหง่านจนแทบจะต้องก้มหัวลอดประตูร้านเข้ามา นายหัวพยัคฆ์ไม่ได้มาคนเดียว มีผู้ติดตามมาด้วย 3 คน นี่ถือว่าน้อยเพราะปกติจะมีผู้ติดตามมากกว่านี้ ด้วยเรื่องที่เป็นศัตรูกับนายหัวสิงขร ผู้มีอิทธิพลต่างอำเภอแต่ในจังหวัดเดียวกัน
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าสองผู้ยิ่งใหญ่อาจจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่ต้องมาปะทะกันในทุกครั้งที่เจอหน้าเพราะความไม่พอใจส่วนตัว ไม่เคยมีการขัดแข้งขัดขาทางธุรกิจเกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดเพราะความไม่พอใจซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่ศิลาก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของสองคนนี้เท่าไหร่นัก ได้ยินแค่จากปากต่อปากพูดกันหนาหู หากทว่าศิลาเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่ เขาจึงไม่คิดสนใจเรื่องส่วนตัวของคนที่ก้าวเข้ามาหาด้วยท่วงท่าองอาจ
องอาจเหมือนชื่อไม่มีผิด
“สวัสดีครับนายหัวพยัคฆ์ เชิญนั่งครับ”
ศิลาอาจจะคิดไปเองตรงที่ว่า หากต้องยืนเผชิญหน้ากันนานๆ แล้วเหมือนตัวเองจะเล็กกระจ้อยร่อย ทั้งที่ความสูงก็เกินมาตรฐานชายไทยแต่ยังไม่เท่าคนตรงหน้า ที่ทั้งสูงทั้งใหญ่จนดูน่าเกรงขาม มันทำให้เขารู้สึกอกสั่นยังไงบอกไม่ถูก
พยัคฆ์วางนิตยสารแบบบ้านลงตรงหน้า และเปิดหน้าที่คั่นเอาไว้ให้ศิลาดู
“ผมอยากได้บ้านพักรูปทรงแบบนี้สัก 24 หลัง เป็นหลังเล็กสำหรับ 2 คน สัก 16 หลัง เป็นหลังที่พักได้ประมาณ 4 คน สัก 6 หลัง และหลังใหญ่พักได้ 6-8 คน 2 หลัง แล้วนี่” มือหนาได้รูปวางนิตยสารอีกเล่มลง “เป็นอาคารห้องพัก เอาแค่ 2 ชั้นพอ ส่วนนี่เป็นส่วนของสำนักงาน ร้านอาหาร” ชายหนุ่มแจ้งความจำนงทุกอย่างที่ต้องการ รวมไปถึงสระว่ายน้ำของบ้านแต่ละหลัง
“ไม่ใช่รีสอร์ตเล็กๆ แล้วนะครับแบบนี้ ถ้าจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบริเวณบ้านพักทุกหลัง แล้วยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลางสำหรับนักท่องเที่ยวที่พักบนอาคารอีก” ศิลาออกความเห็น
“ผมต้องการรีสอร์ตที่ให้เช่าพักในราคาสบายกระเป๋า รับนักท่องเที่ยวที่หาเช้ากินค่ำแต่อยากจะพักผ่อนในโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งถ้าไปพักที่อื่นคงไม่ไหว ก็จะมาพักที่รีสอร์ตของผม สระว่ายน้ำก็สร้างขึ้นตามขนาดของบ้านแต่ละหลัง บ้านหลังเล็ก สระว่ายน้ำก็เล็กหน่อย บ้านหลังใหญ่สระว่ายน้ำก็ใหญ่หน่อย และมีอ่างน้ำสำหรับเด็ก”
“ที่ดินกี่ไร่ครับสำหรับรีสอร์ตแห่งนี้”
“50 ไร่ ผมว่าคงไม่น้อยไปนะ”
“ไม่หรอกครับ 50 ไร่ กำลังดีนะครับ จะให้ผมสร้างตามแบบในเล่มนี้เลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ ผมอยากได้เหมือนแบบนี้ แต่ภายในค่อยว่ากันอีกที คุณเสนอราคาเบ็ดเสร็จพร้อมเข้าพักได้เลย งานนี้งบประมาณผมไม่อั้น” พยัคฆ์ตอบแล้วดื่มน้ำเปล่าที่บริกรเอามาเสิร์ฟ สายตาของเขามองศิลาสลับกับมองภายนอกทะลุผ่านกระจกบานใส และเขาก็เห็นร่างอรชรของคุณหมอสาวปากดีกำลังเดินเข้าไปในตลาดสด
“ได้ครับนายหัว ขอเวลาให้ผมสัก 3 วันนะครับ แล้วผมจะส่งใบเสนอราคาไปให้”
“ไม่ต้องแล้ว คุณลงมือเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเขียนเช็คให้จำนวนหนึ่งพร้อมกับสัญญาว่าจ้าง คุณออกสัญญามาให้แล้วกันนะ เรื่องอื่นค่อยส่งมาให้ผมดูเรื่อยๆ อ้อ...แล้วผมจะให้คนพาไปดูที่ทาง”
ศิลาเงยหน้ามองร่างสูงอย่างงงๆ เมื่อพยัคฆ์พูดรัวเร็วจนแทบจะจับใจความไม่ทันแล้วผุดลุกขึ้นยืน พอจะอ้าปาก พยัคฆ์ก็ชิงเอ่ยขอตัวเสียแล้ว
“ขอตัวก่อนนะคุณศิลา พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องทำ”
ศิลากำลังจะเอ่ยลา แต่ไม่ทันเสียแล้ว นายหัวพยัคฆ์คงจะรีบร้อนจริงๆ ไม่รู้จะรีบไปไหน เขามองตามร่างสูงพร้อมลูกน้องที่ตามติดเข้าไปในตลาดสด ก็ยิ่งงงงวย
หรือว่า...นายหัวจะไปซื้อกับข้าว?
“นายหัวจะซื้อผักหรือครับ”
ไอ้สิน ไอ้ศร และไอ้ทิต แทบจะจ้ำอ้าวตามขายาวๆ ของเจ้านายไม่ทัน จนต้องร้องถามเมื่อเจ้านายเดินอ้าวเข้ามาในตลาดขายผัก การปรากฏตัวของนายหัวพยัคฆ์ในตลาดสด ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันมองมาอย่างสนใจ กลุ่มหนึ่งก็ลุ้นตัวโก่งว่าการปรากฏตัวของนายหัวหนุ่มจะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง แต่อีกกลุ่มที่มองอย่างสนใจ ชม้ายตามองบ้าง ส่งสายตาหวานให้บ้าง บางคนก็ยกมือสางผมฉีกยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุด บางคนก็กวักมือเรียกให้เข้าไปซื้อของที่ร้านของตน และหากจะจ้องมองให้ทั่วก็จะเห็นสาวๆ ขยับคอเสื้อไปมา
“อุ๊ย! น้องสาว ร้อนมากก็ถอดเถอะจ้ะ มาพี่ช่วยถอดให้เอามั้ย” ไอ้ศรสะบัดลายความเจ้าชู้ทำท่าจะปรี่เข้าไปหา ทว่าพอเป็นไอ้ศร สาวๆ พวกนั้นกลับแยกเขี้ยวให้ซะนี่
“ไปตายซะไป๊” สาวเจ้าไล่เสียงสะบัด ไอ้ศรหน้าหงายไม่เป็นท่า ไอ้สินก็เลยได้หัวเราะแล้วเสยผมกอดอก
“เค้าไม่ชอบมึงหรอกไอ้ศร ไอ้หน้าปลากระป๋อง ต้องอย่างกูนี่ น้องสาวจ๊ะ ให้พี่สินช่วยปลดกระดุมเสื้อให้เอามั้ยจ๊ะ อากาศร้อนแบบนี้ หรือจะให้พี่ไปพัดให้ก็ได้นะจ๊ะ”
“ไอ้หน้าปลากระโห้ ไปให้ไกลๆ เลย เชอะ! เสียเส้นหมด” สาวคนเดิมตวาดแว้ดกลับมา เล่นเอาไอ้สินหน้าม้านเหลือ 2 นิ้ว ไอ้ทิตหัวเราะเยาะ ส่ายหน้าไปมาอย่างอดสู
“ใครที่ไหนจะสนใจพวกมึงวะ ไอ้ศร ไอ้สิน โน่น...นายหัวโน่นที่พวกสาวๆ เค้าสนใจ ไปเร็วพวกมึง นายหัวเดินหายไปไหนแล้วไม่รู้” ไอ้ทิตเร่ง ไอ้สินกับไอ้ศรเป็นต้องรีบจ้ำให้ทันตามลูกพี่ของพวกมันไป
นีรธารากำลังเลือกซื้อผักที่ร้านประจำ เธอตั้งใจจะกลับไปทำผัดเปรี้ยวหวานของโปรดทานที่บ้านเนื่องจากวันนี้ได้นางพยาบาลมาช่วยอยู่โยงกับคุณหมอพิรัชต์ที่โรงพยาบาล และในอนาคตอันใกล้โรงพยาบาลกระบี่จะส่งแพทย์มาช่วยผลัดเวรเป็นคราวๆ ไป คุณหมออย่างเธอจึงมีเวลาว่างในช่วงที่ไม่มีคนเจ็บเข้ามารักษา กลุ่มมาเฟียวังวิเศษก็ไม่ค่อยมีเรื่องกับกลุ่มของบิดาเธอ ไม่มีเรื่องถึงขั้นส่งเข้าโรงพยาบาลอีก
จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกสักกี่วันนะ อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไปจังเลย
นีรธาราถอนใจก่อนจะคว้าผักที่เลือกไว้แล้วส่งให้แม่ค้า
“เท่าไหร่จ๊ะ” เธอถาม
“ทั้งหมดนี่ก็ 50 บาทค่ะคุณหมอ” แม่ค้าที่เสียงหวานเหมือนหน้าตอบ ก่อนจะส่งถุงผักให้คุณหมอสาว “ดีจังเลยนะคะคุณหมอ มีเวลาว่างพอจะกลับไปทำครัวเองแบบนี้ เท่ากับได้พักไปในตัวสินะคะ”
“จ้ะ แต่ไม่รู้จะเงียบสงบแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่เนอะ ฉันล่ะอยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป สงสารคนเฒ่าคนแก่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
“นั่นสิคะ แต่ก็อย่างว่าคนเกลียดกันจะให้รักกันเร็วๆ น่ะยาก ไม่รู้จะทะเลาะกันทำไม เป็น...” แม่ค้าหน้าหวานหุบปากฉับ เมื่อเห็นใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังคุณหมอ
“พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ จ้ะ คนแบบนี้เขาเรียกว่าไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา แต่อยากเห็นโรงศพนักก็น่าจะไปเปิดลานฆ่าฟันกันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลย ไม่ต้องมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแบบนี้” นีรธาราไม่เห็นหน้าแม่ค้า เพราะกำลังก้มหน้าหยิบเงินในกระเป๋าสะพายส่งให้ แต่กระเป๋าของเธอก็ของเยอะจนหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ “เจอแล้ว นี่จ้ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณหมอ รีบกลับเถอะค่ะ” แม่ค้าไม่ยอมบอกคุณหมอว่าข้างหลังเธอมีใครบางคนยืนหน้าบูดบึ้งอยู่
นีรธารายิ้มหวานและพอจะหมุนตัวเดินห่าง ก็กลายเป็นว่าต้องเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน
“อุ๊ย!!! ขอโทษค่ะ ฉัน...” เธอจะกล่าวคำขอโทษที่หันไปชนเขาคนนั้น แต่พอเห็นเสื้อยีนส์สีเข้มก็ต้องเงยหน้าขึ้นอัตโนมัติ เห็นปลายคางที่รกไปด้วยหนวดเครา เห็นปลายจมูกโด่งแหลม ยังไม่ต้องสบตา เธอก็รู้ว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดของใคร
“นายหัวพยัคฆ์!!!”
