บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

เนตรดาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ร่างสูงของบุตรชายเดินเข้ามาในบ้าน บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ซุงสองชั้นตกแต่งสไตล์คันทรีส์ตามความชื่นชอบของเจ้าของ บ้านและสวนยางพารานับพันไร่กินอาณาเขตภูเขาเป็นลูกๆ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของนายหัวพยัคฆ์ทั้งสิ้น นี่ยังไม่รวมถึงที่ดินเปล่าของมารดาริมชายทะเลหลายสิบไร่ และรีสอร์ตเล็กๆ บนเนินเขาได้วิวทิวทัศน์งดงามซึ่งเป็นที่ดินของมารดา แต่พยัคฆ์เอามาต่อยอดด้วยการสร้างรีสอร์ต ยังเหลือเป็นที่ดินเปล่าริมชายทะเลเท่านั้นที่เขากำลังวางแผนจะสร้างรีสอร์ตอีกแห่งในเร็วๆ นี้

อะไรที่ทำแล้วเปลี่ยนเป็นมูลค่าเพิ่มมากขึ้น พยัคฆ์ก็อยากทำไปเสียหมด จากนักศึกษาวิชาการเกษตรสู่นายหัวหนุ่มวัยฉกรรจ์มีฐานะร่ำรวยกว่าใครๆ ในจังหวัด แม้กระทั่งนายหัวสิงขรก็ยังรวยสู้ไม่ได้ เพราะพยัคฆ์มีแบล็คหลังที่ดีอย่างไกรนาถหรือลุงเจ็ท ลุงของเขามีเงินมากใช้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด แถมลุงก็ไม่มีครอบครัว เงินทองหามาได้จะไปไหนเสียถ้าไม่ให้หลาน

“ตาเสือ แม่ได้ยินว่าลูกไปก่อเรื่องมาอีกแล้วใช่ไหม”

คำถามของมารดาทำให้บุตรชายต้องชะงัก ก่อนจะโน้มตัวลงสวมกอดเอวหนาของผู้หญิงวัย 58 คนที่เป็นทุกอย่างของเขา

“ไม่ใช่ผมซะหน่อยครับแม่ ไอ้เรืองต่างหาก มันกับพวกไปเดินเที่ยวในตลาด แล้วก็ถูกคนของไอ้นายหัวสิงขรลอบทำร้าย”

“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกนายหัวสิงขรว่าไอ้ อย่าพูดอีกนะเสือ” เนตรดาวเตือนลูกเสียงต่ำ แม้จะรู้ว่าเตือนไปก็เท่านั้น ความเกลียดชังในตัวสิงขรไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง พยัคฆ์เกลียดสิงขรจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกกันเลยด้วยซ้ำ

“คนอย่างนั้นทำไมแม่ต้องให้เกียรติมัน...เอ่อ...เขาด้วย ผมเกลียดเขา แม่ก็รู้”

“แม่รู้ และพยายามจะบอกเสือหลายหนแล้วว่าอย่าไปจงเกลียดจงชังเขา มันไม่ดีเลยนะลูก แล้วมันก็บาปด้วย เสือกำลังทำบาปรู้ตัวไหมลูก”

พยัคฆ์ถอนใจดันตัวออกห่าง เนตรดาวมองใบหน้าคมเข้มที่ถอดแบบมาจากใครบางคนไม่น้อย แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับนิสัยใจคอที่ไม่เคยลงให้ใครหากไม่ใช่คนสำคัญ นิสัยเย่อหยิ่งจองหองและเอาแต่ใจแบบนี้เหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด

“แม่ครับ ตอนนี้ผมก็พยายามเลี่ยงแล้วนะครับ แต่พวกมัน...พวกเขาลอบทำร้ายคนของเราก่อน ถ้าแม่จะให้ผมเลิกเกลียดเขา ก็ไปบอกเขาสิครับว่าอย่ามายุ่งกับผม”

“แม่จะไปบอกเขาได้ยังไง เอาเถอะ ความเกลียดชังสักวันมันต้องจบ หากวันหนึ่งความจริงมันเปิดเผย”

“ไม่ครับแม่ มันไม่มีวันนั้นตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่แล้วล่ะครับ”

เนตรดาวลูบแก้มสากอย่างสงสาร พยัคฆ์น่าสงสารตรงที่เขาไม่มีพ่อ ลืมตาดูโลกวันแรกก็ไม่เห็นหน้าพ่อเสียแล้ว แต่พอรู้จากปากแม่ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร พยัคฆ์ก็เปลี่ยนไปนับจากนั้น ลุงเจ็ทกลายเป็นพ่อบุญธรรมที่เขารักไม่ต่างจากพ่อบังเกิดเกล้า

ยิ่งพิศก็ยิ่งเหมือนพ่อ

“แล้วนี่ไอ้เรืองมันเป็นยังไงมั่ง เห็นคนงานบอกมันถูกยิงไม่ใช่เรอะ” เนตรดาวเปลี่ยนเรื่อง ปล่อยให้ความคับแค้นใจถูกฝังอยู่ในดินเหมือนเดิมจะดีกว่า หากยิ่งสะกิดบ่อยๆ บาดแผลก็อาจจะกลัดหนองและลามไปเป็นอย่างอื่นได้

“ก็ยังคงน่าเป็นห่วงน่ะครับ แต่คงต้องปล่อยให้หมอดูแลไปก่อน พรุ่งนี้ถ้าไม่ดีขึ้นจะพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่”

“อื้ม...หมอนีนก็รักษาเก่งนี่นะ รักษาคนหายเจ็บหายป่วยมาตั้งมากมาย แม่เชื่อว่าไอ้เรืองจะต้องหาย”

“ผมก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นแล้วกันนะครับ หวังว่าเค้าคงมีจรรยาบรรณสูงพอจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

“ฮื้อ...เสือล่ะก็ เป็นอะไรถึงชอบไปว่าคุณหมอเค้านัก แม่ไม่เห็นว่าเค้าจะร้ายตรงไหน ตรงกันข้ามหมอนีนใจดีน่ารักจะตาย”

พยัคฆ์เผลอค้อนคมให้มารดา เมื่อมารดาพูดยกยอปอปั้นลูกของศัตรูคู่อาฆาต ใจเขาไม่ชอบพ่อยังไงก็ไม่ชอบลูกอย่างนั้น ลูกเสือลูกตะเข้ไว้ใจได้ที่ไหนกัน

“ผมหิวแล้วล่ะครับ วันนี้มีอะไรให้ทานเอ่ย แล้วนี่ลุงเจ็ทไปไหนเสียล่ะครับ” เขาถามหลังจากมองหาแล้วไม่เจอ

“เห็นว่าจะออกไปดูกล้ายางแล้วก็เลยไปบ้านลุงสนด้วย คงจะไปนั่งคุยกันประสาชายโสดนั่นแหละ”

บุตรชายพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าหอมแก้มมารดาที่รักฟอดใหญ่ ไม่มีใครจะมีแก้มหอมเท่าแก้มแม่อีกแล้ว

“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวจะลงมาทานข้าว”

เนตรดาวพยักหน้ารับ มองแผ่นหลังกว้างของลูกด้วยคิดว่ามีสิ่งเดียวที่พยัคฆ์แตกต่างจากบิดาผู้ให้กำเนิด นั่นก็คือรูปร่างสูงตระหง่านและใบหน้าคมเข้ม พยัคฆ์มีเชื้ออิตาลีจากตาของเขา ตาของเขามี 2 เมีย เมียแต่งก็คือแม่ของลุงเจ็ท ส่วนเมียนอกสมรสก็คือยายของเขาซึ่งเป็นคนไทย แม่ของเขาเป็นสาวไทยที่ไม่ค่อยจะมีเคล้าความเป็นลูกครึ่งมากนัก ต่างจากพยัคฆ์ถอดแบบความเป็นลูกครึ่งค่อนข้างมาก ยกเว้นนิสัยที่เหมือนพ่อไม่มีผิด

ไกรนาถกลับมาแล้วในสภาพที่เมาเล็กน้อย เขาตรงเข้ามาในบ้านของสองแม่ลูกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของเขาเท่าไหร่ มาถึงเห็นพยัคฆ์กำลังนั่งทานข้าวอยู่ด้วยก็รีบปรี่เข้าไปหา

“อ้าว...ลุงเจ็ท มาครับ มาทานข้าวกัน” ชายหนุ่มเอ่ยชวนคนที่มีศักดิ์เป็นลุงให้มาร่วมวงรับประทานอาหาร

“ได้ข่าวว่าไปปะทะกับไอ้พวกนั้นอีกแล้วเหรอเสือ” ผู้เป็นลุงถามพร้อมกับนั่งเคียงข้างเนตรดาว ฝ่ายเนตรดาวก็ลุกไปหยิบจานกับช้อนส้อม ก่อนจะตักข้าวให้ไกรนาถ หนุ่มใหญ่วัย 61 ยิ้มกว้างพึมพำขอบคุณหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นน้อง

“มันมาหาเรื่องพวกเราก่อนครับ แถมยังทำให้ไอ้เรืองเจ็บปางตาย”

“จริงเหรอ แล้วไอ้เรืองมันเป็นยังไงบ้าง”

“ตอนนี้อยู่ในความดูแลของหมอนีนน่ะครับ”

“ไฮ้...ปล่อยไอ้เรืองไว้กับลูกเสือลูกตะเข้ได้ยังไง ป่านนี้แม่นั่นไม่ฆ่าไอ้เรืองทิ้งไปแล้วรึ”

“พี่เจ็ทคะ หมอนีนไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ” เนตรดาวปรามความคิดของชายสองวัยอย่างนึกเห็นใจผู้ที่ถูกดึงให้มาเกี่ยวข้องด้วยตามหน้าที่

“จะไว้ใจมันได้ยังไงล่ะเนตร ไอ้สิงขรมันชั่วช้าสารเลวขนาดนั้น ลูกของมันก็คงเลวไม่ต่างกัน”

พยัคฆ์มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันควัน กรามหนาขบกันกรอด มือที่จับช้อนก็เกร็งขึ้น เนตรดาวส่ายหน้าพยายามเอ็ดผู้เป็นพี่ชายไม่ให้พูดอะไรมากเกินไปทางสายตา แต่ไกรนาถกลับทำไม่เห็นตักข้าวเข้าปากไปก็ร่ายความแค้นใส่หัวพยัคฆ์ไปเรื่อยๆ

“ไอ้สิงขรมันทำได้ทุกอย่างที่เป็นการทำลายพวกเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเจ็บอย่างไอ้เรืองหรอก นี่ลุงก็ได้ยินข่าวมาว่ามันกำลังจะกว้านซื้อที่ดินในอำเภอสิเกาด้วยนะ เห็นว่าจะร่วมลงทุนกับใครก็ไม่รู้ทำรีสอร์ตติดชายทะเล ดีไม่ดีมันคงจะจ้องซื้อที่ดินของแม่แกด้วย”

“ไม่มีวันที่ผมจะขายให้พวกมัน” พยัคฆ์โพล่งขึ้น

“นั่นสิ ใครจะอยากขายให้ไอ้คนเลวๆ พรรค์นั้นกัน เลวยิ่งกว่าหมา เพราะหมามันยังรักลูกโดยไม่สนใจอะไร แต่นี่...”

“เลิกพูดถึงคนเลวพรรค์นั้นทีเถอะครับลุงเจ็ท ได้ยินแล้วผมแทบจะอาเจียนออกมาไม่ทันข้าวย่อย” พูดแล้วพยัคฆ์ก็รวบช้อน

“เสืออิ่มแล้วเหรอลูก” เนตรดาวถาม

“ครับแม่ แม่ทานต่อกับลุงเจ็ทเถอะครับ ผมขอตัวก่อนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนยังไงชอบกล”

พยัคฆ์ขึ้นห้องนอนไปแล้ว เนตรดาวก็หันมาถลึงตาใส่ไกรนาถ หนุ่มใหญ่ไหวไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ทานข้าวต่อไป

“เมื่อไหร่พี่เจ็ทจะเลิกยุยงตาเสือเสียทีคะ” จนทนไม่ไหวถึงได้โพล่งขึ้น

“ยุยงอะไรกัน พี่พูดเรื่องจริง ไอ้สิงขรมันเลวชาติขนาดนั้น เธอยังจะเห็นมันดีอีกเหรอเนตร”

“ไม่ใช่นะคะ แต่พี่เจ็ทก็ไม่ควรทำให้ใจของตาเสือร้อนเป็นไฟ พี่เจ็ทก็รู้ว่าตาเสือเกลียดนายหัวสิงขรขนาดไหน รู้ดีกว่าใครด้วยซ้ำเพราะพี่เจ็ทนั่นแหละทำให้ตาเสือเป็นแบบนี้” คนเป็นแม่ร้อนใจพูดออกมาเสียงสั่น

“เอ๊ะ! นี่เธอจะเห็นไอ้สิงขรมันดีกว่าฉันเหรอเนตร” แต่คนพาลยังไงก็พาลอยู่วันยังค่ำ

“ฉันไม่เห็นใครดีทั้งนั้น ถ้าเขายังไม่เลิกทำให้ใจของเสือร้อนรนอีก” เนตรดาวลุกขึ้นยืนเก็บจานข้าวของลูกชายและของตัวเองเดินหนีเข้าครัว

ไกรนาถมองตามอย่างไม่พอใจ แล้วมุมปากหนาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ชายวัย 62 มีรูปร่างสูงค่อนข้างลงพุงแต่ยังแข็งแรงมีราศีจับกำลังซอยเท้าลงบ้านไดที่ยกตัวบ้านขึ้น 3 ชั้น โดยมีผู้หญิงร่างท้วมที่ใครๆ ก็รู้จักในฐานะภรรยาวัย 50 เดินตามมา

“พี่สิงห์จะไปไหนแต่เช้าคะ” เปรมจิต หงส์ชาติ ตามสามีในนามทันที่รถกระบะยกสูงขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำทะมึน

“พี่เป็นห่วงยัยนีน จะรีบไปดูหน่อย อยู่กับไอ้โจรห้าร้อยทั้งคืนไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”

“พี่สิงห์คงจะไม่คิดว่ายัยนีนจะ...”

“ถึงต้องรีบไปดูที่โรงพยาบาลนี่ไง”

คำว่า ‘โรงพยาบาล’ ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนต้องถอนหายใจหนักหน่วง

“ถ้าเป็นที่โรงพยาบาลแล้วล่ะก็ ไม่มีใครทำอะไรยัยนีนได้หรอกนะคะ อีกอย่างยัยนีนเป็นหมอ มีหน้าที่ต้องรักษาคนไข้ แล้วคนไข้ที่เจ็บปางตายก็คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรหมอหรอกนะคะ” เปรมจิตเอ่ยเตือนให้สติคนใจร้อน

“ไอ้คนเจ็บมันไม่ทำ แต่ไอ้คนไม่เจ็บน่ะสิที่มันจะทำ” ผู้เป็นสามีบอก

“หมายถึงนายหัวพยัคฆ์น่ะหรือคะ เฮ้อ...เมื่อไหร่จะเลิกทะเลาะกันเสียทีคะ แผ่นดินจะต้องเปื้อนเลือดอีกนานเท่าไหร่”

“คนเลวอยู่ไปก็หนักแผ่นดิน”

“แสดงว่าที่ฝ่ายโน้นเจ็บเพราะคนของเราหาเรื่องก่อน ก็เป็นความจริงสินะคะ โธ่เอ๊ย...ฉันล่ะไม่คิดเลยว่าพ่...”

“หยุดเลยนะคุณเปรม หยุดพูดเรื่องที่ไม่จริงเสียที แล้วก็เลิกเชื่อเรื่องไร้สาระจากใครก็ไม่รู้ที่เอามาเป่าใส่หูคุณด้วย มันไม่จริงเลยคุณรู้มั้ย ไอ้เสือมันเป็นลูกของผู้หญิงชั่วกับผู้ชายเลว ไอ้เจ็ทเตอร์มันเอาไปพูดให้ใครๆ ฟังไปทั่วว่าไอ้เสือคือลูกของมัน ออกมาจากปากมันขนาดนี้แล้วคุณยังจะไปเชื่อคนอื่นอีกรึ”

“เฮ้อ...แต่ถึงยังไง ฉันก็ไม่อยากให้คนหลายคนต้องบาดเจ็บล้มตายกันเพราะความแค้นของคนไม่กี่คนนะคะ หยุดเสียทีเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ขอให้นึกถึงลูกบ้าง ยัยนีนเป็นผู้หญิงนะคะ ผู้หญิงย่อมเป็นเป้าหมายง่ายๆ ให้ผู้ชายโจมตีอยู่แล้ว และคุณนั่นแหละที่จะเป็นพ่อผู้สร้างตราบาปให้ลูกของ...ตัวเอง”

นายหัวสิงขรชำเลืองมองสีหน้าทุกข์ใจของเปรมจิต เห็นแล้วต้องเบือนหนีก่อนจะโบกไม้โบกมือเรียกคนขับรถให้ขึ้นนั่งประจำที่

“เข้าบ้านไปซะเปรมจิต เข้าไปนึกเมนูโปรดที่ลูกชอบ ยัยนีนกลับมาจะต้องหิวแน่” ไม่วายหันไปสั่ง

เปรมจิตได้แต่ถอนใจมองท้ายรถของสามีในนามจนลับตาแล้วจึงกลับเข้าบ้าน ท่ามกลางความคิดว้าวุ่นที่อยู่ในหัวพร้อมด้วยความรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวที่เหมือนลางสังหรณ์ยังไงชอบกล

‘ไม่มีประโยชน์ที่ต้องพร่ำขอให้คนหัวใจร้อนดั่งไฟสองคนหันหน้าเข้าหากัน หากพวกเขายังมีบุญต่อกัน สักวันพวกเขาจะต้องยิ้มให้กัน’

อาการของเรืองดีขึ้นมากร่างกายของเรืองตอบรับกับยาที่หมอนีนให้เป็นอย่างดี จนตอนนี้ ‘ไอ้เรือง’ ของทุกคนก็ยันตัวขึ้นนั่งได้แล้ว

นีรธาราเห็นเรืองลุกขึ้นนั่งได้แม้สีหน้าจะยังคงอิดโรยซีดเซียวอยู่มากแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อวาน เธอยิ้มให้คนเจ็บ แล้วคนเจ็บก็ยิ้มเซียวๆ กลับมาให้

“หมอดีใจที่อาการของเธอดีขึ้นมาก”

“ผมยังเจ็บแผลอยู่”

“แต่ตัวเธอไม่ร้อนเป็นไฟเหมือนเมื่อวานแล้วนะ”

อาหารสำหรับคนเจ็บจากฝีมือของฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลถูกวางลงบนชั้นแล้วเลื่อนมาชิดเตียงคนเจ็บ นีรธาราใช้ช้อนคนข้าวต้มไก่ในถ้วย เรืองมองการกระทำของคุณหมอคนสวยอย่างพอใจ ไร้ความสงสัยเคลือบแคลงใจใดๆ ทั้งสิ้น

“ทานข้าวต้มซะนะ ฝืนทานให้หมด ตามด้วยโอวัลตินร้อนๆ แก้วนี้ เธอจะได้มีแรงขึ้น”

“ขอบคุณ” เรืองขอบคุณหมอแบบไม่มีหางเสียง ซึ่งหมอก็เข้าใจว่าเพราะอะไร แค่เรืองยังไม่รีบหนีกลับบ้านตอนนี้นีรธาราก็พอใจแล้ว อย่างน้อยก็ให้เรืองได้พักอีกสักวัน ทานยาจนครบกำหนดแล้วเดินได้ จากนั้นจะกลับบ้านหรือกลับไปทำอะไรที่ไหนก็พ้นหน้าที่ของเธอแล้ว

คุณหมอสาวพอใจที่เห็นเรืองทานข้าวต้มได้เยอะ เธอคิดว่าจะปล่อยให้เรืองทานไปคนเดียวส่วนตัวเองจะลงไปคุยกับหมอพิรัชต์เรื่องเวร เธอกะจะขอแลกเวรกับหมอพิรัชต์เพราะเพลียเหลือเกิน เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน เรืองเพ้อจากพิษไข้กว่าจะสงบลงได้ก็ย่างเข้าอีกวัน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังต้องนั่งเฝ้าจนผล็อยหลับไปแล้วต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน

หมอพิรัชต์ส่งยิ้มให้หมอนีรธาราทันทีที่เธอเข้าไปหาในห้องพัก นัยน์ตาพราวระยับเป็นประกายอย่างผู้ชายที่ชอบความสวยความงามของผู้หญิง

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับหมอนีน”

“คือนีนอยากขอแลกเวรค่ะ คุณหมอกำลังจะกลับใช่ไหมคะ” นีรธาราเห็นหมอกำลังจะสะพายกระเป๋าคล้องบ่า “งั้นไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ เมื่อวานคุณหมอก็เหนื่อยมากพอแล้ว” เธอบอกปัดเสียเองอย่างเกรงใจ ลืมนึกไปถึงอุบัติเหตุเรือล่มที่มีนักท่องเที่ยวบาดเจ็บมากมาย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดีช่วย หมอนีนดูท่าจะเหนื่อยกว่าผมเสียอีกนะครับ” เพราะนึกเป็นห่วงผู้หญิงที่ถูกตาต้องใจอย่างหมอนีรธารา หมอพิรัชต์จึงออกปากช่วย แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยังทนไหวเพื่อเขาจะเป็นคนที่นางฟ้าอย่างเธอต้องเหลียวมอง

“นีนแค่เพลียน่ะค่ะ ไม่ได้เหนื่อย”

“แต่สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย แลกเวรกับผมก็ได้ครับ ไม่เป็นไร มีอะไรเราก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว”

“ขอบคุณนะคะ” นีรธารายกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอหนุ่มที่มีอายุมากกว่าหลายปี “ถ้าไงนีนฝากคนไข้ด้วยนะคะ แต่เดี๋ยวนีนจะรอให้เรืองทานยาก่อนแล้วค่อยกลับค่ะ”

“ได้เลยครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ”

หญิงสาวพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากมา เธอตั้งใจจะขึ้นไปดูเรืองก็พอดีกับเห็นรถกระบะคันใหญ่ของบิดาเลี้ยวเข้ามาก่อน แต่ยังไม่ทันที่รอยยิ้มหวานจะฉาบอยู่บนกลีบปากอิ่ม รถคันใหญ่อีกคันก็เลี้ยวเข้ามา นีรธาราเบิกตากว้างแล้วซอยเท้าเข้าไปหาบิดาเร็วๆ

ไม่! อย่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่นะ!

นายหัวสิงขรลงจากรถปุ๊บก็หันไปเท้าสะเอวใส่รถอีกคันที่จอดไม่ห่าง รถคันแรกเต็มไปด้วยคนของบิดาแต่รถคันหลังมีชายฉกรรจ์เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือนายหัวพยัคฆ์ คนของบิดาขยับกายแตะมือกับด้ามปืนที่เหน็บอยู่ซอกสะเอวทันทีเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้อย่างไม่คิดเกรงกลัว

“ไม่คิดว่าจะได้เจอหมาหมู่ที่นี่” พยัคฆ์กล่าวขึ้น เขามากับไอ้ทิตและไอ้แสดเพื่อจะมารับตัวเรืองกลับไป ไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่นี่

“คุณพ่อคะ อย่ามีเรื่องกันเลยค่ะ นีนขอร้อง” นีรธาราเกาะแขนบิดาพลางมองไปที่เจ้าของร่างสูงผึ่งผายตรงหน้า คนของเขาน้อยกว่าคนของพ่อเธอซึ่งมากันเต็มคันรถ เนื่องจากถิ่นนี้ไม่ใช่ถิ่นของนายหัวสิงขร แต่เป็นถิ่นของศัตรูจึงต้องเอาคนมาเตรียมรับมือจำนวนมาก

“ฉันก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแก”

“เอาผู้คุ้มกันมาซะเยอะ กลัวล่ะสิ” นอกจากพยัคฆ์จะพูดจาดูหมิ่นผู้สูงวัยกว่า ยังมองปราดไปที่ลูกสาวของศัตรูที่ยืนกอดแขนบิดาแน่น มองชนิดตั้งใจจะทำให้คนเป็นพ่อตัวสั่น มองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาโลมเลียอีกทั้งยังเบ้ปากหรี่ตาทำราวกับกำลังตีค่าของใช้ที่หาซื้อกันได้ง่ายๆ ตามตลาด

“อย่ามองลูกสาวฉันอย่างนั้นนะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน ไอ้คนจองหอง”

“ทำไม ลูกสาวของนายหัวสิงขรมีปีกด้วยเหรอ เป็นนางฟ้านางสวรรค์ลงมาเดินดินหรือไงถึงมองไม่ได้ ก็คนเหมือนกันล่ะว้า ฮึ!”

“ไอ้เสือ!!!” นายหัวสิงขรตัวสั่น คนของเขาก็ขยับตัวตาม ปืนหลายกระบอกยกขึ้นมาชี้หน้านายหัวพยัคฆ์ หนุ่มรุ่นลูกเบ้ปากหยามเหยียดคนใหญ่คนโตที่ทำตัวเป็นหมาหมู่

“ชื่อนี้คนที่มีสิทธิ์เรียกได้ก็มีแค่แม่กับลุงเจ็ท คนอื่นอย่าแส่เรียกหน่อยเลย”

“หน็อย!!! ไอ้...”

“หยุดเสียทีเถอะ ที่นี่โรงพยาบาลไม่ใช่สนามมวยที่จะให้คนบ้ามาวางมวยกันนะ” นีรธาราทนเฉยไม่ไหวตะโกนดังลั่นทำให้คนเป็นพ่อและพยัคฆ์หันมามองแต่เธอ “ถ้าอยากตีกันก็ไปตีที่อื่น”

“ยัยนีน! ลูกไม่เห็นเรอะว่ามันกวนบาทาพ่อก่อน”

“แต่หนูก็เห็นคนของพ่อกำลังจะรุมพวกเขานะคะ สิบรุมสาม นอกจากจะเสียศักดิ์ศรีแล้วก็ยังเป็นบาปด้วยนะคะพ่อ” เธอพยายามอธิบาย

“ถ้าพ่อไม่เอาคนของเรามา พ่อก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกรุมนะลูก”

พ่อเธอพูดถูก เธอไม่เถียง แต่เธอจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้ายๆ ที่นี่แน่ ใครจะมาฆ่าแกงกันที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!

“ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหาเรื่องก่อน เรื่องราวบานปลายก็จะไม่เกิด หยุดทะเลาะกันซะทีเถอะนะคะ นอกจากคนของทุกฝ่ายจะต้องเจ็บตัวแล้วชาวบ้านบางส่วนก็ยังได้รับความเดือดร้อนด้วย ให้นีนพูดแทนชาวบ้านทุกคนนะคะ”

นายหัวสิงขรขบกรามจนเป็นสัน ก่อนจะสั่งให้คนของตนลดปืนลง ทุกคนยอมทำตามแล้วถอยมายืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังเจ้านาย

“ไม่มีใครอยากเดือดร้อนหรอกนะคะ ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะพ่อกับนายหัวพยัคฆ์เป็นผู้มีอิทธิพลด้วยกันทั้งคู่ แต่เห็นใจคนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างสิคะ ถือว่านีนขอแล้วกันนะคะ แม้จะไม่เคยได้รับความร่วมมือเลยสักครั้ง หรือต้องให้นีนก้มกราบทุกคน นีนก็ยอมนะคะ” ว่าแล้วคุณหมอสาวก็ย่อตัวลง

“อย่านีน ลูกมีศักดิ์ศรีมากกว่าจะต้องมาก้มหัวให้ใคร” คนเป็นพ่อรั้งตัวลูกเอาไว้ไม่ให้ย่อต่ำลงไป นีรธาราคิดว่าบิดาจะรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง แต่...

“ถึงจะก้มกราบ ก็อย่าคิดว่าฉันจะยอม” เสียงทุ้มห้วนของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้น ทั้งนายหัวสิงขรและนีรธาราถึงกับคอแข็ง “จะมารับไอ้เรืองกลับ ถ้าใครเข้ามาขวาง โรงพยาบาลนี้พังยับแน่” พยัคฆ์เดินผ่านคุณหมอสาวไป หมอสาวหันไปร้องห้ามเพราะเห็นว่ายังไม่สมควรจะให้เรืองกลับไป

“คุณกำลังคิดผิดนะคะนายหัว ถ้าเอาตัวเรืองกลับไปตอนนี้ คุณจะต้องเสียใจ”

ร่างสูงหันมาขมวดคิ้วใส่ ท่าทางกวนโทสะเหลือร้ายจนคุณหมอสาวต้องเม้มปากแน่น

“ถ้าเรืองจะต้องตายเพราะฉันก็ยังดีกว่าต้องตายเพราะมือคนเลวๆ”

“คุณ!”

“ปล่อยมันไปเถอะ มันจะเอาใครไปตายที่ไหนก็ไป อย่าไปเสียเวลากับพวกมันเลยลูก ไปเถอะ กลับกันเถอะ”

นีรธาราถอนใจก่อนจะขอตัวไปเอากระเป๋าแล้วออกมาสมทบกับคนเป็นพ่ออีกครั้ง ถ้าเรืองกลับบ้าน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะอยู่ดูแลต่ออย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก จะขึ้นไปดูให้แน่ใจว่าเรืองปลอดภัยแล้วจะกลับไปพักผ่อนเสียที

ไฟท้ายรถที่แล่นหายไปจากสายตาเรียกสายตาคมของคนตัวสูงให้หรี่แคบลงอย่างครุ่นคิด นีรธาราคุณหมอสาวคนสวยเป็นลูกสาวของนายหัวสิงขรกับนายแม่เปรมจิต เธอสวยหวานเหมือนคนเป็นแม่แต่ไม่เหมือนพ่อเลยสักนิด สวรรค์คงไม่อยากให้เธอหน้าเหมือนผู้ชายเลวๆ พรรค์นั้น ผู้ชายที่ขาดความรับผิดชอบ ผู้ชายที่น่าจะสวมกระโปรงผู้หญิง

พยัคฆ์เดินกลับมาดูเรืองที่ลุกขึ้นยืนได้แล้ว

“แกดูดีขึ้นมากเลยนะไอ้เรือง”

“ครับนายหัว ถ้าไม่ได้หมอนีน ผมแย่แน่เลยครับ นี่หมอนีนก็เฝ้าผมตลอดทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอน ตื่นมาก็เป็นคนยกข้าวต้มมาให้แทนที่จะให้คนอื่นที่มีหน้าที่นี้ทำแทน”

“เหรอ แกเกือบจะหายดีแล้วสินะ ถูกพูดมากขนาดนี้ งั้นก็กลับเถอะ เดินไหวไหม”

“ไหวครับนายหัว” เรืองเดินเองได้แต่ก็มีทิตช่วยพยุงไปข้างหนึ่ง สภาพของเขาทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยเรืองก็ไม่ต้องมาตายที่นี่ แต่ถ้าเรืองเป็นอะไรไป พยัคฆ์จะล้างแค้นให้เรืองชนิดเลือดต้องล้างด้วยเลือด

รถเก๋งคันใหญ่ราคาหลายล้านแล่นเข้ามาจอดในเขตบ้านสวนศักดิ์วรวงศ์เรียกสายตาแทบทุกคู่ของคนงานต้องเหลียวมองตามๆ กัน และทันทีที่คนในรถก้าวลงมาเผยให้เห็นร่างสูงหนาที่สวมเสื้อลายพร้อยกับกางเกงสีขาวดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาของผู้มาเยือนซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดสีชา ริมฝีปากเข้มยกขึ้นเมื่อทอดสายตามองหาใครบางคน

อาทิตย์เป็นคนเดินมาถามผู้มาเยือนที่ตนแน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้า

“มาหาใครหรือครับ”

“ฉันต้องการพบนายหัวพยัคฆ์”

รถกระบะสีแดงเข้มแล่นตรงเข้ามาจนเห็นฝุ่นตลบ เสียงเบรครถดัง “เอี๊ยด” ดังขึ้นบาดหู แล้วร่างสูงตระหง่านของนายหัวพยัคฆ์ก็กระโดดลงจากรถ

“นายหัวครับ นายหัว” อาทิตย์เดินเข้าไปทำเสียงกระซิบบอกเจ้านายเรื่องผู้มาเยือน “คุณคนนี้เขาต้องการพบนายหัวครับ”

พยัคฆ์ดันปีกหมวกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีนิลที่อยู่หลังแว่นกันแดดทรงเรย์แบรนด์สีดำตวัดตามองแขกผู้มาเยือนอย่างสงสัย กวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยที่คนถูกมองไม่มีทางได้เห็น เขาอยากปฏิเสธและไล่ให้กลับบ้าน ถ้าหากจะไม่มองเลยผู้ชายตรงหน้าไปเห็นร่างอวบอิ่มของมารดาที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน

“คุณเป็นใคร มีธุระอะไร”

“คุณคือนายหัวพยัคฆ์สินะครับ ผมชื่อฉัตรา รุ่งเรืองทวีไพศาล มีเรื่องสำคัญอยากปรึกษาคุณ”

ฉัตรา ชื่อนี้ไม่เคยรู้จัก และพยัคฆ์ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคุยกับเขา ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ในเมื่อเขาไม่รู้จักแล้วจะมีอะไรให้ต้องปรึกษา หากแต่มารดาที่เดินตรงมาหาทำให้เขาต้องข่มอารมณ์แล้วทำหน้าสงสัย

“ผมอาจจะให้คำปรึกษาคุณไม่ได้ เพราะเราไม่เคยรู้จักกันเลย” พยัคฆ์ตอบเลี่ยง เขาไม่อยากทำให้มารดาไม่สบายใจ ท่านจะเป็นห่วงเรื่องการควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นพิเศษ บางครั้งมารดาคงจะยังคิดว่าเขาเป็นเด็กอายุ 3 ขวบ แต่นั่นแหละแม่ของเขา ไม่ว่าจะทำอะไรก็เห็นจะเป็นห่วงไปเสียทุกเรื่อง

“เรารู้จักกันแล้วไงครับ ตอนนี้” นายฉัตราตอบ

“หืม?” พยัคฆ์ขยับตัว ดึงแว่นกันแดดออกจากใบหน้า สายตาคมกริบเขม่นมองฉัตราอย่างสงสัย

“ผมอยากจะปรึกษาเรื่องที่ดินริมชายหาดของคุณ คือผมอยากได้ที่ดินผืนนั้นสร้างรีสอร์ต ถ้าคุณจะขายให้ผมล่ะก็...”

“ขอโทษเถอะนะคุณฉัตรา ผมไม่คิดจะขายที่ดินผืนนั้น”

พยัคฆ์ปฏิเสธแทบจะทันที คนๆ นี้นี่เองที่ลุงเจ็ทพูดให้ฟังวันก่อน จมูกไวขนาดตามหาเจ้าของที่ดินผืนนั้นได้แบบนี้ก็ไม่ใช่ย่อยสินะ ร่างสูงส่ายหน้าโบกมือตามสไตล์ของตน ก่อนจะทำเมินแล้วเดินผ่านหน้า ทว่าฉัตราก็หันไปเรียกเอาไว้

“คุณต้องการเท่าไหร่ ผมยินดีจ่าย สิบล้าน ยี่สิบล้าน หรือห้าสิบล้าน สำหรับที่แปลงนั้น”

พยัคฆ์หยุดกึกแล้วหันมาหา

“ที่แปลงนั้นที่คุณว่า คือที่ของแม่ผม ที่ดินติดชายหาดมีแค่ถนนกั้นขนาด 50 ไร่ คุณตีค่ามันแค่นั้นเองน่ะหรือ”

ฉัตราแค่นยิ้ม ตีความหมายของอีกฝ่ายไปผิดๆ

“ถ้างั้น 200 ล้าน ไร่ละ 4 ล้าน ผมคิดว่าไม่น้อยเกินไป”

“ต่อให้คุณทุ่มเงินพันล้านเพื่อแลกกับที่ดินของแม่ผม ผมก็ไม่ขาย เพราะผมไม่เดือดร้อนขนาดต้องขายที่ทางกิน เงินที่มีใช้ทุกวันนี้ ใช้ทั้งชาติได้สบายๆ ไม่เดือดร้อน กลับไปเถอะ ยังไงผมก็ไม่ขาย”

“อย่าทำเล่นตัวไปหน่อยเลย ผมกว้านซื้อที่ดินเปล่าแถวนั้นไว้เกือบหมดแล้ว เหลือแต่คุณ ต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา ผมยอมจ่ายให้คุณมากกว่าคนอื่นอีกนะ ถ้าคุณไม่อยากได้เงินก็น่าจะถามแม่คุณหน่อย ท่านอาจจะต้องการก็ได้”

“ไม่! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ยังไงก็ไม่ขาย อ้อ...เท่าที่รู้มาที่ดินติดชายหาดทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดปลายมีที่ใหญ่ๆ ไม่กี่แปลง และที่ใหญ่ที่สุดก็คือที่ดินของแม่ผม อืม...ถ้ารวมกันหลายแปลงก็คงได้เกือบเท่าของผมล่ะมั้ง” พยัคฆ์ทำท่าคิด

ฉัตราแทบจะเต้นผาง ภายในใจเดือดปุดกับคนหัวรั้นอย่างนายหัวพยัคฆ์ เมื่อกวาดตามองสวนยางพาราที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ก็เห็นความร่ำรวยของนายหัวหนุ่ม หากรวมถึงที่ดินติดชายหาดที่มีราคาสูงลิบที่ค่าพอๆ กับทองคำที่นายทุนต่างต้องการจับจองเป็นเจ้าของ คำว่ารวยคงยังไม่พอกระมัง

แต่ฉัตรายังไม่ยอมแพ้ เขาเสนอราคาที่ดินผืนนั้นในราคาที่ทำให้ร่างสูงชะงักได้อีกหน

“500 ล้าน ถ้าคุณโอเค พรุ่งนี้เงินมาพร้อมโอนเลย”

“หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” เสียงหัวเราะของพยัคฆ์ที่ดูคล้ายจะสะใจกับราคาที่ฉัตรานำเสนอ ฉัตราจึงมีสีหน้าดีขึ้นยิ้มออกมาได้ แต่... “หูคุณนี่ท่าจะมีปัญหาเอามากๆ เลยนะ ผมเพิ่งบอกไปเมื่อกี้ว่าพันล้านก็ไม่ขาย แล้วนี่จะให้แค่ 500 ล้าน ฮ่ะ ฮ่ะ”

“ขอโทษเถอะนะนายหัวพยัคฆ์ เงินพันล้านไม่ได้หากันง่ายๆ นะคุณ ที่ดินเปล่าผืนนั้นก็แค่ 50 ไร่ ถ้า 500 ไร่ ล่ะก็ยังทุ่มถึงพันล้านได้ จะโก่งราคาก็ให้มันสมเหตุสมผลหน่อยสิคุณ 500 ล้าน ไม่มีใครเขาจะบ้าให้เหมือนอย่างผมหรอกนะ ผมรู้ว่าคุณรวย แต่เงิน 500 ล้านก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะคุณ คุณเอาเงินนี่ไปต่อยอดได้อีกเยอะ”

“กลับไปซะเถอะ พูดไปยืดยาวก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ผม...รวย...พอ...แล้ว”

ฉัตราที่ตัวเตี้ยกว่าต้องเบี่ยงตัวหลบร่างสูงให้เดินผ่านไป เขามองตามหลังคนที่กล้าปฏิเสธเงิน 500 ล้าน เพื่อแลกกับที่ดินผืนนั้น ที่ดินที่ด้านหน้าติดชายทะเลมีถนนตัดผ่านและด้านหลังสุดติดลำธารที่ทอดเรื่อยลงมาตามแนวเขา หากสร้างรีสอร์ตหรูๆ บนที่ดินผืนนั้นรับรองว่ารายได้มหาศาลต้องไหลเข้ากระเป๋าแน่นอน

ฉัตราไม่เคยถูกปฏิเสธ แม้บางรายจะโก่งราคาสูงมากแต่เขาก็ยอมจ่าย สุดท้ายที่ดินผืนนั้นก็ต้องเป็นของเขา แผนการจะสร้างรีสอร์ตและสนามกอล์ฟติดชายหาดที่จะทำรายได้นับพันๆ ล้าน อาจจะต้องพับ ถ้าพยัคฆ์ไม่ยอมขาย

ไม่เป็นไร วันนี้เขาจะล่าถอยไปตั้งหลักก่อน แล้วจะกลับมาใหม่ถึงตอนนั้นนายหัวพยัคฆ์จะไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอของเขา ฉัตรากลับไปพร้อมกับความผิดหวังที่สุมขึ้นเป็นความแค้นทีละนิด รอวันที่จะได้รับการปลดปล่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel