บทที่ 8
8
จันทร์ดารามองตามร่างของลุงผวนและทุกคนที่เดินตามกันออกไปทำนาอย่างที่บอก อยากรู้อยากเห็นที่นาที่ชายชราว่า แต่ตอนนี้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะตัวไปหมดคงต้องอาบน้ำชำระร่างกายก่อน เธอหันไปมองร่างสูงซึ่งหันมามองเธออยู่เช่นกัน เขายกมือขึ้นและกวักเรียกเธอให้เข้าไปหา แต่หญิงสาวส่ายหน้าเดียะรู้ดีว่าเขาเรียกทำไม
“จันทร์เจ้าจะไปอาบน้ำ”
เธอบอกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวซึ่งป้าลำยองอีกนั่นแหละที่นำมาให้ ร่างบางไม่สนใจมือหนาที่กวักยิกๆ ให้เข้าไปหา เธอทำเป็นมองไม่เห็นคนใกล้ตายเพราะฤทธิ์ของม้ากระทืบโลง ร่างบางเดินออกไปจากกระท่อมไม่สนใจเสียงเรียกเหมือนเจียนจะขาดใจของคนเจ้าเล่ห์ มุมปากอิ่มยิ้มบางๆ ให้กับความเจ้าเล่ห์อันน่าขันของเขา
“คิดว่าจะหนีพี่รอดเหรอ ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกคนสวย”
สุริยะดีดตัวลุกขึ้นแล้วแทบถลาตามร่างงามออกไป หากสายตาไม่เหลือบไปเห็นห่อผ้าอนามัยที่เธอลืมไว้ซะก่อน เขาทำท่าจะเดินผ่านแต่แล้วก็ก้มลงหยิบของใช้สำคัญสำหรับวันนั้นของเดือน แล้วถือมันติดมือออกไปด้วย ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนอื่นจะทำแบบนี้ให้ผู้หญิงของเขาไหม แต่ที่เขาแน่ใจที่สุดในตอนนี้ก็คือถ้าไม่ใช่จันทร์ดารา เขาคงไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ
จันทร์ดาราสอดส่ายสายตาหามุมเหมาะๆ เธอเดินลัดเลาะริมธารน้ำไปเรื่อยๆ จนเจอที่เหมาะๆ มีกำแพงหินล้อมรอบราวกับห้องๆ หนึ่ง หญิงสาวแทรกตัวเข้าไปในซอกหินแล้วค่อยๆ เปลื้องผ้าออกจากร่าง เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถอดชั้นในชิ้นสุดท้ายออกเปลือยกายลงนั่งในลำธารสายน้ำอยู่ระดับเอว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาจนบอกไม่ถูก การนั่งเปลือยกายแช่น้ำท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บดังแว่วตลอดเวลา เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันในยามที่ต้องลมดังขับกล่อมให้จิตใจยิ่งเบิกบาน
ร่างสูงเดินตามมาหยุดมองนางเงือกแสนสวย เขานั่งลงบนก้อนหินมองเธอเงียบๆ อยู่นาน จันทร์ดาราไม่ได้หันไปสนใจเขาเลยสักนิดทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ฉะนั้นเขาก็ขอแอบมองนางเงือกสาวแสนสวยแบบไม่มีตัวตนอยู่อย่างนี้ สายตาคมมองความงามตรงหน้าอย่างหิวกระหาย สายตาของเสือร้ายที่จ้องมองเหยื่ออันโอชะแต่ยังประวิงเวลาให้เหยื่อตายใจซะก่อนแล้วค่อยขย้ำทีหลัง แต่ในแววตาของเสือร้ายตัวนี้มีบางอย่างที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง มันวาวแสงของความอบอุ่นที่สำคัญแสงนั้นเป็นสีชมพูหวาน
สุริยะหรี่ตามองลำคอขาวผ่องซึ่งเจ้าของรวบผมขึ้นสูงอวดความงามที่มีลูกผมตกลงมาเต้นหยอยๆ อย่างน่าเอ็นดู บ่าไหล่บอบบางขาวเนียนเคลื่อนไหวอย่างงดงามในยามที่เจ้าตัววักน้ำเล่น เอวบางกิ่วที่เล็กจนกลัวว่ามันจะหักและเข้าโค้งได้อย่างงดงามกับสะโพกผายตึงแน่น รอยแยกที่สะโพกทำให้เขามองตาปรอยและถอนใจออกมาดังๆ
หญิงสาวหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงคนถอนใจ แต่เธอทำผิดมหันต์เพราะนั่นเป็นการทำให้เขาได้เห็นความงามตรงหน้า ความงามที่เคยเห็นและสัมผัสมาแล้วหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็เกิดในความมืด ไม่ได้แจ่มชัดกระจ่างตาแบบนี้ ดวงตาคมจับจ้องดอกบัวคู่งามที่ประดับด้วยทับทิมสีชมพูหวาน ความขาวผ่องตัดกับสีชมพูได้อย่างลงตัว ดูหนั่นเนื้อนุ่มขนาดพอดีมืออวบกำลังสวยอย่างหลงใหล
“อ๊าย...ตาบ้า มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เธอยกมือขึ้นปิดบังดอกบัวที่ถูกเขาลูบโลมด้วยสายตาคมอยู่นาน ทำให้สุริยะต้องเป่าปากอย่างแสนเสียดายก่อนถอดเสื้อผ้าออกจนเนื้อตัวล่อนจ้อนในพริบตา
“หมดเวลาที่ปล่อยให้เหยื่อตายใจแล้ว”
ร่างสูงกระโดดลงจากที่นั่งมายืนตัวเปลือยอยู่ข้างๆ นางเงือกสาวซึ่งเบิกตากว้างมองชีเปลือยหน้าไม่อาย ยืนโดดเด่นท้าแดดท้าลมอวดสายตาของเธอ จันทร์ดาราอดกวาดสายตามองตั้งแต่อกกว้างไล่ลงมาถึงต้นขาแกร่งไม่ได้
“หล่อล่ะสิ แหมๆ ไม่ต้องมองตาเป็นมันขนาดนั้นหรอก พี่รู้น่าว่าตัวเองน่ากินขนาดไหน”
คนชมตัวเองทรุดนั่งลงตรงหน้า ยิ้มกระชากใจใส่ดวงตาคู่สวยของนางเงือกน้อย
“กรี๊ด”
จันทร์ดาราตบเผียะเข้าที่แก้มสากไม่หนักนัก แต่ชายหนุ่มก็ยกมือลูบแก้มป้อยๆ
“อะไรนี่ มาตบหน้าพี่ทำไม อยากให้พี่ทำอะไรก็บอกสิจ๊ะ เอ...หรืออยากกินพี่กันนะ”
“คนบ้า หลงตัวเองที่สุด แล้วลงมานั่งตรงนี้ทำไม คนเค้าจะอาบน้ำให้มีความสุขซะหน่อย”
“เหรอ แล้วจันทร์เจ้าจะรู้ว่าการมีพี่อาบน้ำด้วย มันมีความสุขมากกว่าอาบคนเดียวอีกนะ”
“เชอะ”
เธอสะบัดหน้าแต่ไม่ปฏิเสธคำกล่าวของเขา จะให้ปฏิเสธได้ไงในเมื่อคำพูดของเขามันเป็นจริงทำคำ
“ไม่เถียง แสดงว่าเห็นด้วย งั้นเรามาอาบน้ำด้วยกันนะ”
สุริยะวางมือบนอกอวบ
“นี่ ไหนว่าจะอาบน้ำไง”
“ก็อาบไง ตอนนี้กำลังจะถูตัวให้อยู่ ไม่งั้นจะเกลี้ยงเหรอ”
คนเจ้าเล่ห์ตอบนัยน์ตาพราว จนหญิงสาวหมั่นไส้อยากหยิกให้เนื้อหลุด มือน้อยถูกมือใหญ่ยกขึ้นวางบนแผงอกกว้าง
“ถูตัวให้พี่ด้วยสิ เดี๋ยวพี่ไม่เกลี้ยง”
จันทร์ดารามองคนตัวโตตาขุ่นเขียว เธอลูบมือไปทั่วอกแข็งๆ นั้นอย่างห้ามตัวห้ามใจไม่อยู่ จนมาหยุดอยู่เหนือตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ เธอกดมือลงอีกนิดจนรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เริ่มกระชั้นขึ้นของเขา ดวงตากลมโตเหลือบมองสบตาคมที่มองตอบมา ก่อนหลุบลงมองตำแหน่งที่มือน้อยทาบทับ
“ใจเต้นแรงเชียว”
เสียงหวานถูกเปล่งออกมาเบาๆ
“ก็คนมันตื่นเต้น อยู่ใกล้จันทร์เจ้าใจพี่ไม่เคยเต้นเป็นปกติเลยสักครั้ง”
“แหวะ...ลิเกจัง”
“ลิเกที่ไหน ความจริงเลยนะนี่ แล้วหัวใจจันทร์เจ้าล่ะ เต้นแรงเหมือนใจพี่รึเปล่า”
ชายหนุ่มทดสอบการเต้นของหัวใจดวงน้อย ด้วยการเพิ่มน้ำหนักของฝ่ามือกดลงบนอกอวบข้างซ้าย เขานิ่วหน้าแต่ตาวาวขัดกับสีหน้า
“ทำไมไม่รู้สึกล่ะ สงสัยมันจะใหญ่ไปต้องเพิ่มแรงกดอีกนิด”
“เพียะ” หญิงสาวตบมือใหญ่ที่คลึงอกข้างซ้ายแทนการกดอย่างที่บอก “ลามก ทหารเนี่ยเป็นแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่า”
“คงงั้นมั้ง นานๆ จะได้เจอสาวสักที แถมสาวสวยหอมไปทั้งตัวแบบนี้หาเจอยาก”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะหาเจอยาก พี่ยะเป็นระดับผู้บังคับบัญชาเรื่องแบบนี้คงไม่ยากหรอกมั้ง”
“พี่มันรูปหล่อไง เป็นข้อยกเว้น ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
เสียงหัวใจของคนหลงตัวเองทำให้จันทร์ดาราอดหัวเราะตามไม่ได้
“หัวเราะแบบนี้ แสดงว่าจริง พี่หล่อใช่มั้ย”
“แหวะ...นายราหูชัดๆ”
“เป็นราหูก็ได้ แต่ราหูต้องอมจันทร์นะ แล้วราหูคนนี้จะอมจันทร์บ่อยๆ ด้วย”
มือใหญ่ฟอนเฟ้นทรวงอกนุ่มหนักมือ ปลายนิ้วหัวแม่มือสะกิดทับทิมสีสวยเรียกเลือดในกายสาวให้เดือดพล่าน หญิงสาวครางเบาๆ ให้กับความรู้สึกนั้น ยอดทรวงงามแข็งเป็นไตสู้มือหนา
สุริยะละมือข้างหนึ่งออกจากทรวงงามเพื่อประคองท้ายทอยในยามที่เขากดริมฝีปากบดจูบบนเรียวปากหวาน ริมฝีปากรุมร้อนบดคลึงเบาๆ ก่อนปลายลิ้นสากร้อนจะยื่นออกมาตวัดเลียลิ้มรสหวาน รอยแยกของกลีบปากถูกปลายลิ้นซอกซอนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากนุ่ม หยอกล้อเล่นกับเรียวลิ้นเล็กที่ตวัดออกมาตอบรับเรียวลิ้นสาก ดูดรัดแลกเร้าความซ่านสยิวทรวงจนเสียงครางออกมาจากลำคอของคนทั้งคู่
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกและสั่งเสียงพร่า
“แลบลิ้นออกมาสิที่รัก”
หญิงสาวทำตามที่เขาบอก แล้วต้องจิกปลายเล็บลงบนบ่ากว้างเมื่อปลายลิ้นของเธอถูกดูดเล่นราวกับเป็นอมยิ้มรสหวานที่ยากจะตัดใจ การกระทำของเขาทำให้หญิงสาวบิดกายเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นในหัวมันปลุกบางอย่างที่ตื่นโพลง บางอย่างที่ทำให้เธออยากให้เขาทำมากกว่านั้น
“พี่ยะ”
สุริยะมองสบตาคู่สวยแล้วตวัดแขนเรียวให้คล้องต้นคอเขา มือใหญ่ละจากอกอวบและช้อนสะโพกหนั่นแน่นขึ้นสูงให้ระดับของดอกบัวงามพอดีกับใบหน้า แล้วริมฝีปากร้อนผ่าวก็ครอบครองทับทิมสีสวย เขาดูดดึงหยอกล้อโบกสะบัดปลายลิ้นวนป้านถัน ขบเม้มริมฝีปากบนเนินเนื้อนุ่มฝากรอยรักเป็นจ้ำแดงแล้วย้ายไปทำอีกข้างไม่ให้น้อยหน้ากัน
เจ้าของปทุมงามหยัดอกให้ชายหนุ่มเชยชมได้ถนัดถนี่ มือบางลูบผมสั้นๆ ของเขาเล่นและกดแนบอกนุ่มในบางจังหวะ ชายหนุ่มซุกไซ้ใบหน้าเข้าหว่างอกสูดความหอมยิ่งกว่าน้ำหอมใดๆ เข้าปอดลึก ลมหายใจร้อนผะผ่าวรินรดผิวกายอ่อนบาง หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นจนร้อนระคนวาบหวามหวิวไหวในทรวงอก เลือดในกายฉีดพล่านจนริมฝีปากสั่นระริก
สุริยะเงยหน้าขึ้นจูบกลีบปากหวานรับรู้ถึงความต้องการที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของหญิงสาว ร่างระหงสะท้านไหวเมื่อมือใหญ่ลากปลายนิ้วแผ่วเบาบริเวณหน้าท้องน้อย วนเป็นวงกลมรอบๆ สะดือสวยน่ารัก ต่ำลงยังเนินสามเหลี่ยมกลางร่างสาว พายุกำลังก่อตัวที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าแห่งนี้ คลื่นทะเลสัดสาดจนเรือน้อยอย่างเธอไหวไปตามระลอกคลื่น บางคลื่นก็เล็กบางคลื่นก็ใหญ่จนหัวสมองหมุนคว้างราวกับล่องลอยอยู่บนอากาศ
“พี่ยะขา...”
จันทร์ดาราครางเสียงสั่น เมื่อจุดอ่อนไหวที่สุดในร่างกายถูกปลายนิ้วแกร่งบดคลึง สิ่งที่เคยห้ามปรามเขาไว้ว่าไม่เหมาะไม่ควรถูกฉุดกระชากและเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ตั้งใจหลงลืมทุกสิ่งทุกคำที่เคยห้ามปรามของเธอ เวลานี้จะให้เขาหยุดง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้แล้ว มุมปากลึกกระตุกเมื่อคิดว่าสงสัยม้ากระทืบโลงจะได้สำแดงฤทธิ์เดชที่แท้จริงก็คราวนี้ นึกขอบใจที่จันทร์ดาราหาที่อาบน้ำได้ถูกใจเขานัก กำแพงหินที่ล้อมรอบสูงจนคนที่มองมาจากที่ไกลๆ มองไม่เห็นทั้งคู่ หากไม่เดินเข้ามาสอดส่องใกล้ๆ แต่ใครล่ะจะเข้ามาส่อง เวลานี้ทุกคนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็ออกไปเกี่ยวข้าวกันหมด กว่าจะเข้ามาที่พักก็คงเที่ยง เขายังมีเวลามอบความสุขให้เธอได้อีกหลายชั่วโมง
จันทร์ดาราก้าวถอยหลังไปตามแรงผลักเบาๆ จนแผ่นหลังเบียดก้อนหินใหญ่ ความเย็นจากก้อนหินทำให้เธอสะท้านเล็กน้อย สะโพกผายสะบัดและหยัดเข้าหาปลายนิ้วแกร่งที่สอดแทรกเข้าไปในความอุ่นนุ่มและลื่น เมื่อมีสติกลับมาเล็กน้อย เธอก็เผยอปากตั้งใจห้ามปรามเขาว่าตอนนี้ร่างกายของเธอยังไม่พร้อม แต่สุริยะก็บดจูบปิดปากนุ่มกลืนเสียงห้ามอย่างเอาแต่ใจ กลีบกายถูกลูบคลำและสอดลึกครั้งแล้วครั้งเล่า เขาปรนเปรอรสสวาทให้เธอลืมตัวลืมใจปล่อยใจไปตามครรลองธรรมชาติ ในที่สุดกล้ามเนื้อเล็กๆ ก็ตอดรัดปลายนิ้วเรียวพร้อมกับร่างระหงกระตุกแรงๆ สองสามครั้ง
“ทิ้งพี่ไปเที่ยวคนเดียวไม่กลัวหลงเหรอ สวรรค์น่ะมันกว้างเกินกว่าจะไปเที่ยวคนเดียวนะคนสวย”
เขากระเซ้าและเบียดร่างเข้าหา ตวัดเรียวขาอวบรัดสะโพกสอบข้างหนึ่ง ผลักดันความเป็นตัวตนที่ผงาดล้ำเข้าไปในช่องทางที่คับแคบ ทางสวาทสายหฤหรรษ์บีบรัดความกำยำจนสุริยะต้องกดหน้าลงในซอกคอหอมละมุน และขบเม้มพร้อมกับครางเสียงแผ่วใกล้ใบหูหอมกรุ่น
“โอ้...ที่รัก สุดยอดเลยคนดี”
เขาเอ่ยชมและเริ่มขยับสะโพกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ต้นคอหนาถูกมือน้อยนวดคลึงสร้างความสยิวจนขนในกายหนุ่มตั้งชัน ความสุขเอ่อล้นเมื่อเร่งจังหวะในบางช่วง และผ่อนลงเป็นเชื่องช้าเร่งเร้าให้ร่างนุ่มตอบสนองด้วยการหยัดกายเข้าหาเสียเอง
“พี่ยะ...”
“ชู่ว์ ใจเย็นๆ สิคนดี ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามนะ”
“จะ...จันทร์เจ้า...มะ...ไหว เร่งสิพี่ยะ เร่ง...”
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเมียพี่ใจร้อน”
คำกระเซ้าเย้าแหย่ที่มาพร้อมกับปลายลิ้นตวัดเข้าไปซอกหู ยิ่งทำให้จันทร์ดาราแทบคลั่ง เธอจิกปลายเล็บลงบนบ่ากว้างแล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างทุรนทุราย ทำให้ปลายเล็บคมครูดไปกับเนื้อเรียกเลือดซิบๆ
“ซี๊ด...” เขาสูดปากอย่างแสบร้อนในบริเวณนั้น แต่ยังประวิงเวลาให้ยาวนานด้วยการขยับสะโพกเชื่องช้า
จันทร์ดาราส่ายหน้าแล้วร่างของเธอก็เกร็งกระตุกไปอีกรอบ เป็นการบอกว่าเธอทนให้เขายั่วและทรมานต่อไปอีกไม่ได้
“โถ...ที่รัก ไปเที่ยวสองรอบแล้ว ไม่คิดจะรอพี่บ้างเลยหรือไง”
คราวนี้เขากระทั้นสะโพกเข้าหาถี่รัว เน้นหนักและส่ายวนเร่งเร้าให้ตัวเองตามติดหญิงสาวไปในเวลาต่อมา ร่างแกร่งกระตุกเกร็งค้างปลดปล่อยสายธารแห่งรักให้อาบชโลมในความนุ่มแน่นทุกหยาดหยด ริมฝีปากพึมพำเสียงสั่นติดกับต้นคอระหง และจันทร์ดาราก็จับใจความได้ว่า
“กอดพี่ให้แน่นกว่านี้หน่อยสิ พี่สั่นไปหมดทั้งตัวแล้ว เหมือนจะเป็นไข้เลย”
“อ้าว...งั้นเรารีบอาบน้ำแล้วขึ้นกันดีกว่าค่ะ”
เธอตอบแต่ก็ยอมรัดอ้อมแขนให้แน่นขึ้น กายแกร่งสั่นสะท้านจริงเขาไม่ได้แกล้งบอก
“ไม่เอา อยากอยู่แบบนี้”
ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดต้นคอระหงนั้นทำให้หญิงสาวคิดว่าเขาคงเป็นไข้จริงๆ
“อย่าดื้อสิคะ อยู่แบบนี้ก็จะยิ่งไข้หนักไปใหญ่”
“ใครบอก อยู่แบบนี้สิดี ไข้จะได้ลด”
“แช่น้ำครึ่งตัวอยู่แบบนี้น่ะนะ ไปเอามาจากตำราไหนกัน”
จันทร์ดาราดันบ่ากว้างออก พอเห็นดวงตาของคนบอกเป็นไข้เธอก็รู้แจ้งเห็นชัดว่าเขาเจ้าเล่ห์ขนาดไหน คนเป็นไข้ที่ไหนจะตาพราวขนาดนี้ แล้วดูรอยยิ้มนั่นสิมันเป็นรอยยิ้มของหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์เวลาเห็นเหยื่อแสนหวานชัดๆ
“ตำราพี่ไง ไข้ของพี่มันต้องใช้ยาเสน่หารักษา ไม่งั้นไม่หายหรอก”
“หนอยแน่ะ” หญิงสาวจิกปลายเล็บหยิกต้นแขนล่ำสันแรงๆ “ให้มันได้อย่างนี้สิ คนเจ้าเล่ห์”
“แล้วได้ไหมล่ะ”
เขายิ้มกว้างออดอ้อนเสียงหวาน เหมือนเด็กอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ยังไงยังงั้น
“ไม่ได้แล้ว”
เธอปฏิเสธหน้าตูม แล้วต้องห่อปากเมื่อกายแกร่งซึ่งยังคงฝากฝังอยู่ในส่วนสำคัญเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“ไม่ได้ก็จะเอา ไม่ให้ปฏิเสธด้วย”
สุริยะดันร่างแกร่งให้ส่วนกลางลำตัวแนบชิดให้ลึกที่สุด จนรู้สึกถึงความนุ่มของเส้นไหมบางๆ อดแกล้งเธอด้วย การวนสะโพกเป็นวงกลมไม่ได้ เห็นใบหน้านวลเหยเกและครางลึกก็ยิ้มกริ่ม เป็นอันเข้าใจว่าจันทร์ดาราไม่มีทางปฏิเสธการรักษาอาการไข้ของเขาอีกแล้ว
แรงกดสะโพกของเขาทำให้จันทร์ดาราหัวหมุน ร่างนุ่มอ่อนระทดระทวยไม่มีแรงจะทรงตัวได้อีก เธอเหนื่อยล้าจากการท่องเที่ยวยังดินแดนสุขาวดีติดกันถึงสองครั้ง และอีกไม่นานก็คงได้ไปเยือนสวรรค์นั้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มกระทั้นกายเข้าหาอย่างหนักหน่วงใช้สองแขนประคองต้นขาซึ่งอ่อนแรงเอาไว้ เขาอุ้มหญิงสาวหมุนตัวจนแผ่นหลังของตนยันกับก้อนหิน ช้อนสะโพกกลมกลึงขยับขึ้นลง ริมฝีปากงับปลายคางเรียวแหลมก่อนตวัดปลายลิ้นจากปลายคางขึ้นไปหากลีบปากหวาน ดูดกลืนเสียงครางผะแผ่วของเธอลงคอ ดูดเม้มความหวานของเรียวปากสวยแรงๆ ปลายลิ้นเลียไล้ไปตามรอยแยกของกลีบปากนุ่มจนผ่านเข้าไปยังไรฟันซี่สวย หยอกล้อกับเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากและหลอกล่อด้วยประสบการณ์ให้หญิงสาวส่งปลายลิ้นนุ่มออกมา
สุริยะลิ้มรสความหวานที่ปลายลิ้นน่ารักนั้นเบาๆ แล้วผละห่างก่อนจะหวนกลับไปใหม่อย่างติดใจ เขาทำเช่นนี้ซ้ำๆ กันหลายครั้งปลุกอารมณ์ให้กับหญิงสาวทั้งบนและร่าง โดยไม่ปล่อยเวลาให้ว่างเว้นจนลมหายใจของหญิงสาวขาดห้วง เขาผละห่างเล็กน้อยให้เธอได้หายใจก่อนบดจูบอีกครั้งอย่างหิวกระหาย
ทำไมเขาต้องการเธอมากขนาดนี้ มันเป็นผลจากการดื่มเหล้าดองม้ากระทืบโลงของลุงผวนหรืออย่างไร เขาเองก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่อยากห่างจากกายนุ่มแสนหวานนี้เลยสักวินาทีเดียว หัวใจของเขาลิงโลดแค่ได้ใกล้ชิดเธอ พอได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำราวกองศึก มันคึกคะนองทั้งร่างกายและจิตใจจนบอกไม่ถูก ร่างหวานนี้ก็แสนอร่อยรสชาติของเธอหวานล้ำและหอมกรุ่นจนยากจะตัดใจ ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าถ้ากลับไปถึงกรุงเทพฯ พาเธอไปส่งให้ถึงบ้านแล้วเขาจะได้เจอเธออีกหรือเปล่า แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอเธอใจของเขาก็สั่นระริกมันบีบรัดจนต้องผละริมฝีปากออกห่าง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกถี่ระรัว ดวงตาคมมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่หรี่ปรือ เขาเห็นความรู้สึกวาบไหวในดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกเดียวกับที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้
“รักพี่บ้างไหม...คนดี”
สุริยะถามออกไปเหมือนคนเหม่อลอย ไม่แน่ใจว่าอยากจะได้ยินคำตอบหรือไม่ หากแต่หญิงสาวแทบไม่ได้ยินคำถามนั้นเลยสักนิด เพราะตอนนี้หัวสมองเธอหมุนคว้างเป็นลูกข่าง เห็นดาวพร่างพรายเต็มไปหมด ดวงดาวระยิบระยับสวยสดแตกพร่าเมื่อเธอเดินมาถึงปลายทางที่ไร้ถนนทอดผ่าน ขาของเธอก้าวต่อไปในอากาศแล้วร่างของเธอก็ลอยหวือขึ้นสูงเหมือนถูกจับเหวี่ยงเต็มแรง
“พี่ยะ...”
จันทร์ดาราหวีดร้องเสียงดังในจังหวะสุดท้ายที่เธอลอยละลิ่วไม่รู้ทิศทาง ไม่มีความเจ็บปวด มีแต่ความสุขวาบหวามและซ่านไหว สุริยะยิ้มกริ่มเขาเร่งจังหวะกระทั้นเข้าหาร่างระหง กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ตอดรัดทำให้เขาต้องกัดฟันแน่นและโหมกระหน่ำร่างเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง แล้วเสียงครางลึกก็ดังออกมาจากลำคอแกร่งพร้อมสะโพกสอบที่กระตุกถี่ระรัวอยู่หลายครั้ง
“สุดยอดเลยคนดี”
จันทร์ดาราหายใจเหนื่อยหอบจนทรวงอกสะท้านขึ้นลงล่อตาล่อใจให้ชายหนุ่มกดใบหน้าฝังลงกลางหว่างอก มือใหญ่ขยำลอนสะโพกผายหนักๆ ย้ำชัดถึงความสุขสมที่เพิ่งได้รับจนแทบกระอัก
“ปล่อยได้แล้วค่ะ”
เธอบอกเบาๆ กับเส้นผมสั้นสีดำสนิท เขาผละใบหน้าออกจากความนุ่มหอมอย่างเสียดาย
“ได้ยินที่พี่ถามไหม”
“อะไรคะ พี่ยะถามอะไรจันทร์เจ้า”
“โธ่...คนดี นี่พี่ทำให้จันทร์เจ้าไม่มีเวลาคิดเรื่องอะไรเลยรึนี่”
เขากระเซ้าและแกล้งขยับสะโพกซึ่งยังผนึกเข้าหากันอยู่
“พี่...ยะ ไม่เอาแล้ว...นะคะ ไม่ไหว...แล้ว”
เสียงหวานกระเส่าและขาดห้วงราวกับคนใกล้จมน้ำเต็มทีอย่างน่าสงสาร สุริยะเองก็สงสารแต่อารมณ์รักที่ก่อตัวเหมือนพายุทอร์นาโด้ที่ยังคงพัดหมุนยังไม่ผ่อนแรงลงหรือแตกสลาย ทำให้เขาต้องข่มความสงสารและปล่อยให้ความต้องการมีอำนาจเหนือการควบคุมอีกครั้ง
“แต่พี่ยังไหวนี่ นะ...ขออีก”
“อื้อ...จันทร์เจ้าเหนื่อย”
“เหนื่อยได้ยังไง ยังไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด”
“พี่ยะ...คนใจร้าย”
“หึ หึ...” คนใจร้ายหัวเราะชอบใจที่ทำให้เธอครางได้อีกครั้ง เสียงหวานใสในยามครวญครางนั้นเหมือนเสียงระฆังอันไพเราะที่เขาชอบฟังไม่รู้เบื่อ ยิ่งครางยิ่งชอบ ยิ่งสั่นยิ่งสู้
“พี่ยะ...พี่ยะขา...”
ร่างบางถูกผ่อนลงยืนด้วยขาแข้งสั่นๆ เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอทันได้ร้องห้ามจับร่างอิ่มหันหลังโดยให้เธอเท้าแขนกับก้อนหิน มือใหญ่สอดเข้าไปยกหน้าท้องแบนราบให้สะโพกลอยเด่น จดจ่อความเป็นตัวตนที่ไม่ยอมอ่อนแรงง่ายๆ เข้าหาความฉ่ำชื้น โค้งกายแกร่งลงนวดเฟ้นเต้าทรวงสล้างแล้วโถมกายเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
สุริยะกำลังบ้า เขาแน่ใจในตัวเองเดี๋ยวนี้ว่ารู้สึกกับหญิงสาวมากกว่าเป็นเพียงคนที่เขาต้องช่วยเธอจากภยันตราย แต่เป็นคนที่เข้าไปวิ่งเล่นในสี่ห้องหัวใจของเขา และสร้างความแช่มชื่นให้กับหัวใจจนเย็นฉ่ำ
“รักพี่ไหม”
“อะ...อะไรนะคะ”
เธอถามซ้ำเพราะได้ยินไม่ถนัด
“รักพี่บ้างไหม”
สุริยะย้ำถามอีกครั้ง สะโพกแกร่งหยุดชะงักค้างรอฟังคำตอบ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้ยินเสียงใสตอบกลับมา
“จันทร์เจ้า...ถ้าไม่ตอบพี่จะหยุดนะ”
“ไม่นะ พี่ยะขา...ได้โปรดเถอะค่ะ”
“ตอบพี่มาก่อนสิ แล้ว...พี่จะให้ทุกอย่างตามที่ขอ”
สุริยะต่อรองอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“อื้อ...คนใจร้าย”
“คำก็ใจร้าย สองคำก็ใจร้าย อยากให้พี่ใจร้ายมากใช่ไหม หือ...จันทร์เจ้า”
“พี่ยะ...”
“ตอบมาเร็วเข้า”
เขาเร่งเร้าให้เธอตอบคำถามที่อยากได้ยิน
“ระ...รัก แล้วพี่ยะล่ะ”
ตอบไปแล้วก็หันไปมองหน้าชายหนุ่ม เห็นความปลาบปลื้มดีใจชั่วแวบหนึ่งในดวงตาคม แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
สุริยะขยับกายอีกครั้งโหมสะโพกเข้าใส่อย่างหนักหน่วง ริมฝีปากก็แต้มจูบไปตามแนวกระดูกสันหลัง มือหนาก็ยังคงฟอนเฟ้นเต้าทรวงอวบอย่างติดใจ จันทร์ดาราลืมคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบเพราะสติปัญญาเริ่มลางเลือน หัวสมองลอยคว้างบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ ร่างกายติดปีกโบยบินผ่านก้อนเมฆใหญ่เล็กจนในที่สุดก็พ้นชั้นบรรยากาศ ลมหายใจติดขัดในบางจังหวะ จนกระทั่งเสียงหวานครางหลงรับแรงถาโถมเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างหนาถอดถอนแก่นกายออกแล้วทิ้งตัวลงนั่ง พร้อมกับรั้งร่างระหงให้นั่งลงข้างๆ สองแขนโอบร่างอิ่มเข้าแนบอกรับรู้ถึงร่างที่ยังสั่งสะท้านจากการร่วมรักติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งคู่นั่งหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวก็ดันกายออกห่าง
“พี่ยะยังไม่ตอบคำถามของจันทร์เจ้าเลยนะคะ”
“พี่รักจันทร์เจ้า”
คำตอบที่โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความตกตะลึงให้หญิงสาวอยู่ไม่น้อย ดวงตากลมโตจ้องมองคนตอบที่นั่งหน้านิ่งอย่างงงๆ เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้หลุดออกมาจากปากของเขา แต่พอได้ยินก็ดีใจจนหัวใจแทบโลดแล่นออกมานอกอก
“ขอแค่ได้รัก แค่ได้รักในเวลานี้”
“ค่ะ ขอได้รักแค่ในเวลานี้ก็พอ”
“กลับไปแล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม”
มือน้อยลูบไล้แก้มสากที่มีไรเคราขึ้นเขียวแล้วพยุงตัวขึ้นจูบปลายคางบึกบึนเบาๆ
“พี่ยะมีเวลาว่างจะเจอจันทร์เจ้าด้วยเหรอคะ”
“มีสิ จันทร์เจ้าคงลืมไปแล้วมั้งว่าพี่ไม่ใช่พลทหารนะ จะได้ออกไปไหนไม่ได้ต้องอยู่แต่ในค่าย”
“เปล่าค่ะ นึกว่าพี่ยะจะงานยุ่ง”
“ขอให้รู้เอาไว้เถอะคนดี สำหรับจันทร์เจ้า...พี่ปลีกตัวสละเวลาอันมีค่าไปหาได้เสมอ เพราะจันทร์เจ้ามีค่ามากกว่า”
“ปากหวาน เพิ่งรู้นะคะว่าคนห่ามๆ อย่างพี่ยะพูดอะไรหวานๆ แบบนี้เป็นด้วย”
“หึ หึ...หวานแล้วอยากกินอีกรอบนึงไหม”
“ห๊า...อย่าบอกนะว่า...”
“ต้องสะสมไว้สิ เดี๋ยวพอกลับไปก็ต้องแยกจากกันแล้ว”
“คนหื่นกาม”
“ก็อยู่ใกล้ๆ คนสวยก็ต้องหื่นเป็นธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่จะได้ทนเฉยได้”
“พี่ยะ...”
หญิงสาวเรียกชายหนุ่ม เมื่อรู้สึกถึงความกลัวที่คืบคลานในจิตใจ
“จ๋า” ชายหนุ่มขานรับเสียงหวาน
“เราต้องได้เจอกันอีกใช่ไหมคะ จันทร์เจ้ากลัวจัง กลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่ยะอีก”
ชายหนุ่มเชยคางมนขึ้น เห็นความหวาดกลัวในดวงตาคู่สวยนั้น เขาไล้ปลายนิ้วไปตามโหนกแก้ม พวงแก้มนุ่ม และหยุดลงที่กลีบปากสวย
“เราต้องได้เจอกันแน่ที่รัก บอกเบอร์โทรพี่มาแล้วพี่จะโทรหาเอง เชื่อพี่มั้ยคนดี”
“ค่ะ จันทร์เจ้าเชื่อพี่ยะ ถ้าไม่เชื่อคนที่ช่วยชีวิตและคนที่...รัก แล้วจะให้เชื่อใครล่ะคะ”
“ดีมาก จำคำนี้เอาไว้นะ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ต่อไป ขอให้เชื่อพี่เสมอ”
ชายหนุ่มพลิกตัวเป็นฝ่ายทาบทับหญิงสาวอีกครั้ง กลีบปากหยักสวยแบบผู้ชายฉกวูบลงบนเรียวปากอิ่ม คลึงเนื้อนุ่มหนักๆ แล้วผละออก
“กลับไปนี่ จะทำอะไรต่อไป เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่คง...จะต้องไปหาพี่ระบิล”
ชื่อคู่หมั้นหนุ่มรูปงามยศร้อยเอกของจันทร์ดารา ทำให้ชายหนุ่มชะงักงัน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาคู่นั้นเปลี่ยนแสงจากแวววาวหวามไหวเป็นประกายกร้าวขึ้นมา
“พี่เคยบอกไปรึยัง ว่าเวลาอยู่กับพี่ห้ามพูดถึงผู้กองระบิล”
“ก็...พี่ยะถามนี่นา จันทร์เจ้าก็แค่ตอบ”
“ก็ตอบเรื่องอื่นสิ พี่ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้สักหน่อย”
สุริยะบอกเสียงเข้ม เขาหึงเธอก็น่าจะรู้ แล้วทำไมถึงยังพูดถึงศัตรูหมายเลขหนึ่งให้ฟังอีก
“จันทร์เจ้าตอบตามความจริงนี่คะ ไม่เห็นต้องโกรธเลย นี่พี่ยะหึงเหรอคะ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก ยัยซื่อบื้อเอ๊ย”
จันทร์ดาราเกือบจะโกรธที่เขาว่าเธอเป็นยัยซื่อบื้อ แต่พอเห็นหน้าคมซึ่งมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อยและดวงตาที่หลุบลงเหมือนคนพยายามจะปิดบังบางอย่าง เธอก็กระตุกรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วจูบมุมปากลึกของเขาเบาๆ อย่างปลอบใจ
“หึงก็ไม่บอก ยิ่งหึงมากก็เพราะรักมากใช่มั้ยล่ะ”
“ฮึ...ไม่ได้รักมากหรอก” เขาบอกเล่นเอาจันทร์ดาราถึงกับหน้าถอดสี “แค่รักหมดใจ”
“แหวะ น้ำเน่าชะมัด”
“นั่นสิ ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ”
สุริยะจูบจันทร์ดาราอย่างเต็มอารมณ์หวาน เบียดอกกว้างเข้าหาอกนุ่ม ใช้สองแขนช้อนร่างหอมแล้วยกขึ้นในยามที่เขาสอดความกำยำเข้าหาดอกไม้งาม ไม่ต้องมีคำพูดหรือคำบอกรักอีกต่อไป เพราะเวลานี้หัวใจสองดวงตรงกันและเต้นแรงเป็นจังหวะเดียวกัน
สะโพกนุ่มหยัดขึ้นในยามที่สะโพกสอบกดลง สอดคล้องกันทุกคราและดิ่งลึกทุกอณูความรู้สึก เสียงครวญครางประสานกันหอบกระเส่าอย่างไม่มีใครยอมใคร ความรู้สึกรักใคร่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นจังหวะรัก ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามและแสนโรแมนติก ทั้งสองอยากหยุดเวลานี้ไว้ไม่อยากให้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ไม่อยากให้พระจันทร์ขึ้นมาแทนที่ไม่อยากให้วงจรธรรมชาติดำเนินต่อไป เพราะนั่นหมายถึงใกล้เวลาที่ต้องแยกจากเข้าไปทุกที ฉะนั้นวินาทีนี้ขอให้มีแต่เรามีแค่เราเท่านั้นก็พอ
