
บทย่อ
กลางป่าเขาเขียวขจีระหว่างการหลบหนีไล่ล่ากองเพลิงแห่งไฟสวาทนั้นเร่าร้อนแผดเผาสองร่างดื่มด่ำรสสวาทสองหัวใจผูกพันยึดมั่นเร่าร้อน...รุนแรง…หากแต่แม้นออกจากป่าเปลวไฟสวาทนั้นก็ยังไม่มอดไหม้
บทที่ 1
1
พันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์ เดินงุ่นง่านวนไปวนมาจนพื้นห้องแทบทรุด ใบหน้าเข้มที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าคมจัด ออกหล่อเหลา ถูกแต่งเติมด้วยดวงตาคมกริบดุดันอยู่ตลอดเวลา และประดับด้วยปลายจมูกโด่งแหลม ริมฝีปากสีเข้ม หยักลึกได้รูปสวย รวมๆ แล้วเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินวนเป็นเจ้าเข้าอยู่นี่ รูปงามสมชายชาตรีทีเดียว
“ผู้พันครับ ผู้พันจะหมุนอีกนานไหมครับ ผมเวียนหัวไปหมดแล้วนะครับ”
จ่าเฉย แต่ไม่เฉยเหมือนชื่อ ถามผู้บังคับบัญชาหนุ่มอย่างอดไม่ได้ เพราะตนเริ่มวิงเวียนเกือบคลื่นไส้เต็มทีแล้ว
“มึงเวียนหัว มึงก็ปิดตาไว้ อย่ามองกูสิวะ”
“เว้ย...กูจะทำยังไงดีวะ กูอยู่ของกูดีๆ ก็หาเหาโยนใส่หัวกูซะงั้น โอ๊ย...คู่หมั้นไปไหนวะ ทำไมต้องเป็นกูด้วย”
พันตรีสุริยะตะโกนลั่น และยกมือขยี้เส้นผมที่ตัดสั้นเข้ารูป ราวกับคนบ้ายังไงยังงั้น ดีหน่อยที่ผมสั้น ถ้าผมยาวกว่านี้คงไปยืนข้างถังขยะแล้วล้วงมือเข้าไปหาของกินได้แล้ว
“เอ่อ...ผู้พันยะเป็นอะไรไปเหรอครับ มีอะไรให้ผมช่วย ก็บอกได้นะครับ เผื่อผมจะช่วยได้” จ่าเฉยบอกอย่างหวังดี
“ถ้ากูให้มึงช่วยได้ กูบอกมึงไปนานแล้ว ไม่ต้องเดินไปเดินมาจนรองเท้ากูสึกแบบนี้หรอก”
“แล้วผู้พันเป็นอะไรไปล่ะครับ ถึงต้องเดินไปเดินมาจนรองเท้าสึก”
“ก็...” พันตรีสุริยะเกือบหลุดปากบอกความลับออกไป “เฮ้ย...อย่ารู้เลย” พูดจบร่างสูงก็เดินหนีไป ปล่อยให้จ่าเฉยยกมือเกาหัวแกรกๆ อย่างมึนงง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พันตรีสุริยะที่แต่งกายด้วยชุดลายพราง และพรางหน้าด้วยการทาสีจนดำปิ๊ดปี๋ ซุ่มเงียบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ดวงตาคมกริบจับตามองไปยังกระท่อมกลางป่าหลังน้อยอย่างตั้งใจ หากแต่ในใจนั้นกำลังเดือดปุดๆ เมื่อคิดว่าผู้บังคับบัญชาส่งตนให้มายืนอยู่ตรงนี้อย่างง่ายดาย
‘ถ้ารู้ว่ามันง่ายดายขนาดนี้ ทำไมไม่ส่งคนอื่นมาแทนวะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้กูทำด้วย บ้าฉิบ...ลูกสาวคนเดียวอยู่ตรงไหนก็รู้ดี แล้วทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ’
ใจคิด แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เป้าหมายไม่วางตา สมาธิถูกจดจ่อไปที่กระท่อมหลังนั้น แล้วดวงตาคมก็หรี่ลง เมื่อมีบางอย่างเคลื่อนออกมาจากกระท่อม
จันทร์ดาราใช้ความสามารถของตนแก้มัดเชือกที่ผูกข้อเท้าได้สำเร็จ แต่ข้อมือบางยังคงมีเชือกผูกอยู่ และเธอก็ไม่มีเวลาจะแก้มันออก นอกจากตัดสินใจย่องเงียบออกมาทั้งที่มือทั้งสองข้างยังถูกมัดติดกันแน่น หญิงสาวใช้แผ่นหลังแนบฝา หันซ้ายหันขวาดูทางหนีทีไล่ เมื่อเห็นว่าปลอดคน ร่างบางก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตทันที
สุริยะผุดวิ่งตาม โดยก้มตัวลงแต่ยังคงซอยเท้าตามร่างระหงไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย! มันหนีไปแล้ว ตามจับมันให้ได้เร็วเข้า”
เสียงโจรเรียกค่าไถ่ดังตามหลัง ยิ่งทำให้จันทร์ดาราต้องซอยเท้าให้เร็วขึ้น
สุริยะออกจากที่ซ่อนและยิงใส่กลุ่มโจรเรียกค่าไถ่ แต่โชคร้ายที่กระสุนไม่โดนพวกมันเลย ชายหนุ่มวิ่งตามร่างบางจนทันด้วยฝีเท้าที่ไวกว่าอยู่หลายขุม และลากแขนบางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แต่มือที่ถูกผูกติดกันของจันทร์ดาราและไพล่ไปด้านหลังนั้นเป็นอุปสรรคในการฉุดรั้งจากคนร่างสูง ทำให้ปลายเท้าบอบบางสะดุดรากไม้ปลิวหวือลงกระแทกกับพื้นดินจนจุก ร่างสูงจึงต้องหยุดวิ่งหันมารวบร่างบางขึ้นพาดบ่า และพาวิ่งทั้งๆ อย่างนั้นเหมือนไม่หนักเลยสักนิด
“ว้าย...นายเป็นใครน่ะ นี่! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ” จันทร์ดาราหวีดร้องวี้ดว้ายไปตลอดทาง
“ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นมันฆ่าทิ้งรึไง หุบปากซะถ้ายังไม่อยากตาย”
“ก็แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ฉันวิ่งเองเล่า”
“คุณจะวิ่งไปได้สักกี่ก้าว เดี๋ยวก็ล้มลงไปอีก เป็นตัวถ่วงให้ไอ้พวกนั้นมันไล่ยิง”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกกระสุนปืนก็เฉี่ยวหูสุริยะไปจนร้อนฉ่า
“กรี๊ด! นี่นาย...วิ่งให้มันเร็วกว่านี้หน่อยสิ ไม่เห็นรึไงว่าพวกมันไล่ตามมาจะทันแล้ว”
คนไม่ช่วยแต่ยังเอาเท้าราน้ำ หวีดร้องแถมเร่งยิกๆ ทั้งที่หัวก็ห้อยต่องแต่ง เลือดในกายไหลมารวมกันอยู่ที่หน้านวลจนแดงเถือก
“โอ๊ย...แล้วนี่เห็นว่าผมกำลังเดินอยู่รึไงแม่คู้ณ ตัวคุณไม่ใช่นุ่นนะจะได้เบาหวิว นี่ผมคิดว่าผมอุ้มลูกช้างซะอีก เร็วแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ถ้าฉันเป็นลูกช้าง นายก็เป็นพ่อช้างล่ะ โอ๊ยๆๆ มันตามมาใกล้แล้ว” จันทร์ดาราเร่งคนที่แบกเธอวิ่ง แต่แล้ว... “กรี๊ด” จันทร์ดาราหวีดร้องดังลั่น เมื่อร่างของเธอและสุริยะพุ่งลงสู่เบื้องล่าง หลังจากที่วิ่งมาเรื่อยๆ แล้วสุริยะก็ตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาที่เห็นเบื้องล่างนั้นเป็นธารน้ำตกใหญ่
สุริยะกอดร่างบางไว้แน่น เมื่อร่างของทั้งคู่ร่วงลงสู่ผืนน้ำ “ตูม”
“เฮ้ย...มันบ้าหรือมันอยากตายกันวะ กระโดดลงไปได้ยังไง ไปอีกไม่ไกลก็เป็นน้ำตกแล้ว”
“เออ...งานนี้พวกเราชวดว่ะ ป่านนี้มันก็คงตายเป็นผีเฝ้าป่าแล้วล่ะ”
“อย่าเพิ่งนอนใจไป อีนังนั่นมันเห็นหน้าพวกเราชัดทุกคน มันต้องจำได้ขึ้นใจแน่ เพราะฉะนั้นต้องตามดูให้แน่ใจ ว่ามันรอดหรือว่ามันตายแล้ว”
สุริยะทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำ พร้อมทั้งดึงร่างบางของจันทร์ดาราขึ้นมาด้วย ชายหนุ่มลากหญิงสาวฝ่าสายน้ำที่เริ่มไหลเชี่ยวเข้าหาโขดหินใหญ่ และปีนขึ้นไปนั่งหอบหายใจจนตัวโยนด้วยกันทั้งคู่ ดีหน่อยที่น้ำลึกและเขาก็กอดหญิงสาวแน่นทำให้ร่างของเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน
“โอ๊ย...อีตาบ้า ไม่มีหัวคิดรึไง ถึงได้กระโดดลงน้ำตกแบบนี้”
“เพราะมีหัวไง เลยต้องโดดลงมานี่ ถ้าไม่โดด คุณคิดว่าเราจะรอดเหรอ”
จันทร์ดาราค้อนใส่ร่างหนาขวับๆ ใส่คนมีหัวคิด และยื่นมือให้สุริยะช่วยแกะเชือกให้ อดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า ‘นี่มีหัวคิดแล้วนะ ถ้าไม่มีหัวคิดเธอคงตายแน่ อีตาบ้าเอ๊ย!’
“แกะเชือกให้หน่อย”
เสียงห้วนๆ ที่ไม่คิดจะขอร้องด้วยเสียงหวาน ทำให้สุริยะเบ้ปากมองเธอหมิ่นๆ
“พูดเพราะๆ ไม่เป็นรึไง หรือคิดว่าเป็นลูกสาวนายพล แล้วจะเหยียบหัวใครก็ได้”
“นี่! ฉันก็พูดดีแล้วนะ เพียงแต่ไม่มีคำลงท้ายว่าคะขาเท่านั้น แล้วที่สำคัญเท้าฉันก็เหยียบบนหิน ไม่ได้เหยียบบนหัวนายเลยสักนิด”
“อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมพูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ ที่โรงเรียนไม่มีสอนหรือไง ว่าเวลาพูดจากับผู้ใหญ่น่ะ ต้องพูดยังไงบ้าง เอ...คุณก็น่าจะเรียนโรงเรียนผู้ดีหรอกนะ แต่ทำไม...”
“ทำไมอะไร พูดให้ดีๆ นะ”
“เปล่า อย่ารู้เลย รู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา” สุริยะแกะเชือกที่ผูกข้อมือบางออก “คุณชื่ออะไร”
จันทร์ดาราได้ยิน แต่ทำเป็นไม่ได้ยินไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียอย่างนั้น
“ผมถามว่าชื่ออะไร ไม่ได้ยินรึไง” สุริยะต้องถามซ้ำ
“แล้วนายมาจากไหน ทำไมไม่รู้ว่าฉันชื่ออะไร แล้วถ้าช่วยผิดคนจะทำยังไง”
ดูจากชุดทหารก็รู้แล้วว่าพ่อเธอคงส่งมาช่วย
“ก็คิดซะว่าทำบุญไง คุณคิดว่าผมอยากช่วยคุณนักเหรอ ผมรู้แต่หน้าตาและรูปร่าง เขาบอกเหมือนกันว่าชื่ออะไร แต่ไม่ใส่ใจเพราะถึงจะจำชื่อได้ แต่ถ้าจำหน้าไม่ได้ก็ไลฟ์บอย”
สุริยะแบมือออกด้านข้าง และยักไหล่ขึ้นน้อยๆ ด้วยท่าทีกวนประสาท
จันทร์ดาราทำหน้าย่นอย่างไม่พอใจผู้ชายข้างหน้านี้เลย ถ้าไม่ติดว่าต้องพึ่งพาเขา เธอจะเอาไม้ฟาดปากให้สลบเหมือดไปเลย
สุริยะเดินนำเลียบไปตามธารน้ำตก และไปหยุดลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
“จะบอกได้หรือยังว่าชื่ออะไร”
“นายก็บอกมาก่อนสิว่าชื่ออะไร” จันทร์ดาราย้อนถาม
“ผมชื่อพันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์ แต่ใครๆ เค้าก็เรียกผู้พันยะ” สุริยะยอมบอกก่อน
“ฉันชื่อจันทร์ดารา จักราพิมุข พ่อแม่เรียกว่าจันทร์เจ้า”
หญิงสาวจึงยอมบอกไปบ้าง แล้วต้องหน้างอง้ำ เมื่อสุริยะหัวเราะขำชื่อเธอจนตัวโยน
“คนอะไรชื่อจันทร์ดารา ชื่อเหมือนหนังโป๊ชะมัด”
“กรี๊ด! ไอ้บ้า ไอ้คนบ้า แล้วนายล่ะชื่อสุริยะได้ยังไง”
“ทำไมครับ ชื่อสุริยะมันเป็นยังไงไม่ทราบ”
สุริยะลอยหน้าลอยตาถามอย่างยียวน
“ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่แปลก แต่นายน่ะมันดำปิ๊ดปี๋ต้องชื่อราหูมากกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ นายราหู...”
ว่าแล้วจันทร์ดารา ก็เท้าสะเอวเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ
“ราหูเหรอ ได้...งั้นผมจะเป็นราหูอมจันทร์ให้คุณดู”
สุริยะบอก ก่อนกระชากร่างบางเข้าหา ใช้มือทั้งสองข้างกุมแก้มนวลกระชับ และบดขยี้ปากร้อนๆ แนบปากนุ่มอย่างรุนแรง
จันทร์ดาราถึงกับอ่อนปวกเปียก เพราะไม่เคยถูกจูบมาก่อน รางบางอ่อนระทวยเอนกายเข้าหาร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว กลีบปากนุ่มถูกแยกแย้มด้วยปลายลิ้นสาก และสอดแทรกดูดดื่มความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าอย่างหิวกระหาย ความหวานที่ได้รับนั้น ทำให้เขาลืมตัวเบียดต้นขากำยำแทรกขาเรียวและแยกออกกว้าง เบียดแนบความแข็งแกร่งเข้าหาความอ่อนนุ่มอย่างเร่าร้อน
เมื่อจูบจนพอใจ สุริยะก็ถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย สีหน้าและดวงตาที่มองจันทร์ดารานั้นแวววาวคล้ายกำลังเยาะหยันอะไรบางอย่าง ก่อนวาจาสามหาวจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป
“เป็นไงล่ะ เจอฤทธิ์ราหูอมจันทร์เข้าไปถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอ ถ้าอยากได้อีกก็บอกนะ จะจัดให้ตามที่ขอ”
“เพียะ”
เสียงฝ่ามือสะบัดใส่แก้มสาก ใบหน้าดำๆ หันไปตามแรงตบ ก่อนจะหันกลับมามองคนที่กล้าตบหน้าเขาเป็นคนแรกด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่ชั่วครู่เดียวมุมปากลึกก็ขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน
“ผู้หญิงตบ เขาว่าผู้หญิงรัก แต่สำหรับคุณคงอยากได้มากกว่าจูบ ถึงได้ตบผมซะจนหน้าชาแบบนี้”
จันทร์ดาราก้าวถอยหลังทันทีที่สุริยะก้าวเข้าหา หนึ่งก้าวต่อหนึ่งก้าว หญิงสาวมองร่างสูงอย่างหวาดผวา ริมฝีปากบ่วมเจ่อจากการถูกจูบอย่างรุนแรงนั้นสั่นระริก ดวงตาคู่สวยฉายชัดถึงความหวาดกลัวคนตรงหน้า
“อย่าเข้ามานะ ถ้านายทำอะไรฉันล่ะก็ ฉันจะฟ้องพ่อจริงๆ ด้วย แล้วฉันจะบอกพ่อให้ไล่นายออกจากราชการ”
“เหรอ...อย่าลืมบอกด้วยล่ะ ว่าได้พันตรีสุริยะเป็นผัวตั้งแต่อยู่กลางป่าแล้ว”
“อ๊าย...คนบ้า ถึงฉันจะดูง่าย แต่ฉันก็เลือกนะยะ” จันทร์ดาราบอกเสียงหลง แต่เท้าบางที่เดินถอยหลังไปทีละก้าว ต้องหยุดนิ่ง เมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ผมไม่อยากเป็นตัวเลือกของคุณหรอก” สุริยะก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกชิดกัน “แต่ถ้าแก้ขัดล่ะก็พอได้”
“เอาหน้าดำๆ ของนายออกไปนะนายราหู ไม่งั้น...ฉันจะร้องจริงๆ ด้วย” จันทร์ดาราเบี่ยงหน้าหลบปลายจมูกโด่งที่เอียงวูบเพียงให้ริมฝีปากทำงานได้ถนัดถนี่
“เชิญเลย ถ้าคุณไม่กลัวพวกมันมาตามไล่ล่าอีก ก็เอาสิ” สุริยะขู่เสียงดุ แต่ดวงตานั้นพราวระยับ
จันทร์ดาราจึงหุบปากฉับ และเม้มปากแน่นเมื่อเรียวปากร้อนผ่าวแตะทาบเบาๆ แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดชะงักเสียดื้อๆ ไม่บดคลึงและไม่ถอยห่าง ไม่พูดไม่จา นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แล้วจันทร์ดาราก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้ กลีบปากนุ่มขยับเพียงเล็กน้อย ตั้งใจจะบอกให้สุริยะถอยห่าง แต่เธอก็เสียทีจนได้ เมื่อคนเจ้าเล่ห์รอเวลานี้อยู่พอดี เพราะทันทีที่กลีบปากนุ่มเผยอแย้มเรียวปากหนาก็บดคลึงและสอดเรียวลิ้นทักทายลิ้นนุ่ม ยั่วเย้าและหลอกล่อให้เรียวลิ้นนุ่มตามติดเข้ามาในโพรงปากร้อน
มือบางที่ยันอกกว้างเอาไว้ไต่ขึ้นไปโอบรอบลำคอหนาอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้จันทร์ดารากำลังรู้สึกว่าถูกราหูอมจันทร์เข้าจริงๆ ร่างกายของเธอร้อนวูบวาบแต่เส้นขนในกายลุกชันราวกับหนาวเหน็บ ความรู้สึกกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และเผลอตัวเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ
“จูบแรกล่ะสินะ ขอโทษด้วยที่ผมเป็นคนได้มันไป แต่ขอชมหน่อยนึงว่าหวานชะมัด”
สุริยะบอก เมื่อถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
จันทร์ดาราเริ่มรู้สึกตัว และผลักร่างหนาออกเต็มแรง มือบางยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเองแรงๆ ก่อนกระโดดไปตามก้อนหินและนั่งยองๆ ริมธารน้ำตก วักน้ำขึ้นล้างปากหลายๆ ครั้งด้วยท่าทีรังเกียจสัมผัสจากเขา
“โอ๊ย...ไม่ทันแล้วมั้ง รสจูบของผมมันคงฝังลึกเข้าไปในหัวใจของคุณแล้วล่ะ”
เสียงยั่วเย้าอย่างอารมณ์ดีดังไล่ตามมา
จันทร์ดาราจึงลุกขึ้น และก้าวฉับๆ เดินนำหน้าไปอีกทางอย่างฉุนเฉียว เธออยากบริภาษคนปากปีจอให้สาแก่ใจ แต่ก็กลัวจะถูกลงโทษด้วยการกระทำอันจาบจ้วงอีก หญิงสาวทำปากขมุบขมิบเจริญพรสุริยะไปตลอดเวลา และไม่คิดจะหันมามองว่านายราหูจะเดินตามมาหรือไม่
“นี่คุณ...แถวนี้ไม่มีควายให้คุณไล่หรอกนะ จะรีบเดินไปไหนกัน แล้วรู้เหรอว่าต้องเดินไปทางนั้น”
“ข้างหน้าฉันไม่มี แต่ข้างหลังฉันมี และฉันก็ไม่ได้เดินไล่ควายนะ แต่ฉันกำลังเดินหนีควายที่ไล่ตามมาต่างหาก”
“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ก็สวยสิ” สุริยะสาวเท้าเร็วขึ้น ไล่ตามคนตัวบางไปติดๆ
“เชอะ สวยอยู่แล้วย่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก ฉันส่องกระจกอยู่ทุกวัน”
สุริยะกระชากแขนบางจนจันทร์ดาราปลิวเข้ามาปะทะอกกว้าง
“คุณนี่นะ...มันน่าจะเอาผงซักฟอกมาล้างปากจริงๆ เสียดายหน้าตาก็สะสวย แต่ปากเสียชะมัด”
“แล้วนายมันต่างกับฉันตรงไหนกัน นายก็ปากปีจอไม่แพ้ฉันหรอกน่ะ”
“จะบอกอะไรให้ ผู้หญิงปากปลาร้าอย่างคุณ ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้ไปทำเมียหรอก ผมทำนายได้เลย ว่าคุณต้องขึ้นคานแหงๆ”
“ฮึ ฉันเพิ่งจะอายุ 23 ยังห่างไกลจากคำนั้นอีกเยอะ แต่...อย่างนายนี่...คงใกล้จะ 40 แล้วถ้าให้ฉันเดา นายก็คงยังไม่มีเมียหรอกจริงมั้ย คำว่าขึ้นคานควรจะเก็บไว้ใช้กับตัวเองดีกว่าล่ะมั้ง นายราหู...”
จันทร์ดาราจีบปากจีบคอพูด แถมยังลอยหน้าลอยตาไปมาอย่างน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ผมอายุ 34 ครับคุณผู้หญิง แล้วคำว่าขึ้นคาน เขาก็ใช้เฉพาะสาวแก่ไม่มีผัวเท่านั้น”
ระหว่างที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่นั้น สายตาของจันทร์ดาราก็มองเห็นโขลงช้างป่าที่เดินต่อแถวมากินน้ำ มีทั้งตัวใหญ่ ที่เธอคิดว่าคงจะเป็นตัวพ่อหรือตัวแม่ และตัวเล็กๆ ก็คงจะเป็นตัวลูกเดินตามกันมา
“นี่ๆ นายราหู ดูนั่นสิ”
สุริยะขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองตามนิ้วที่ตวัดขึ้นชี้ไปยังโขลงช้างป่า ผู้พันหนุ่มถึงกับคลายปมที่หัวคิ้ว เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างตื่นเต้นของจันทร์ดารา หญิงสาวแทบกระโดดเหมือนเด็กที่พ่อแม่พามาเที่ยวสวนสัตว์ และแทบถลาเข้าไปหา ถ้าไม่ติดว่าอยู่คนละฟากฝั่งธารน้ำ
“สาวเมืองกรุงไม่เคยเห็นช้าง ก็เป็นอย่างนี้ล่ะน๊า”
“ฉันเคยเห็นแต่ในสวนสัตว์ แต่ไม่เคยเห็นเป็นโขลงแบบนี้ นายราหู...ช้างป่านี่มันดุร้ายใช่มั้ย แล้ว...มันจะข้ามฝั่งมาเหยียบเรามั้ย”
จันทร์ดาราถาม โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากภาพของธรรมชาติอันงดงามเบื้องหน้าเลย
“หึ หึ ช้างมันก็กลัวตายเหมือนกันนะคุณ น้ำเชี่ยวขนาดนี้ มันคงไม่ลงไปหรอก แต่...ถ้าคุณยังยืนดูมันอยู่ตรงนี้ แล้วมันมองเห็นคุณ ก็ไม่แน่หรอกนะ มันอาจจะอยากข้ามมาหาคุณก็ได้”
สุริยะแสร้งขู่ให้จันทร์ดารากลัว ก่อนเดินนำหญิงสาวออกไปก่อน
“นี่ๆ รอฉันด้วยสิ นายราหู”
จันทร์ดารารีบวิ่งตามร่างสูงไปทันที สงครามฝีปากสงบลงไปชั่วขณะ ต่างคนก็ลืมๆ ไปว่าได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกันบ้าง
ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกดังสนั่น สุริยะจึงมองหาหนทางใหม่ เขามองเห็นกองหินสลับซับซ้อนเป็นขั้นๆ ไล่ลงไปเบื้องล่างอ้อมไปทางที่สายน้ำตกลงไป เขาจึงหันไปคว้ามือบางและพาไต่ก้อนหินลงไปช้าๆ บางก้อนมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มจนลื่นไปหมด ผู้พันหนุ่มก็ใช้วิธียกร่างบางส่งข้ามไปอีกก้อน ใช้กำลังและความชำนาญในการเดินป่ามาช่วยเต็มที่
ปลายเท้าในรองเท้าคอมแบ็ตก้าวไปข้างหน้าและหยุดชะงักพร้อมกับยกร่างบางข้ามเป็นระยะๆ โดยไม่บ่น และจันทร์ดาราก็ไม่พูดมากเช่นเดียวกัน กว่าสุริยะจะพาจันทร์ดาราไต่ลงมาถึงข้างล่างได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
สุริยะเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ และเห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงไปมาก บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงผืนป่าแห่งนี้ก็จะมืดครึ้ม และมีแสงนวลลออจากดวงจันทราเข้ามาแทนที่
“เราคงต้องหาที่พักแล้วล่ะ มันใกล้จะมืดแล้ว”
“นายว่ายังไง ฉันก็ว่าตามนั้น”
สุริยะหันมามองร่างบางที่สูงแค่ไหล่ของเขา และอดแปลกใจไม่ได้ที่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนๆ นั้น หญิงสาวตรงหน้าเขาคนนี้คงเริ่มเหนื่อยและกำลังหิว ถึงไม่มีแรงต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก แต่เวลาที่เธอทำตัวสงบๆ แบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน
“มองอะไร หน้าฉันมีอะไรติดรึไง”
จันทร์ดารายกมือป้ายหน้าป้ายตาของตนเอง เพื่อปัดสิ่งที่คิดว่าจะมีติดอยู่บนใบหน้าของเธอ
“หน้าคุณน่ะไม่มีอะไรติดหรอก แต่ผมมองคุณ เพราะไม่เคยเห็นคุณเงียบแบบนี้ไง คงจะหิวแล้วสิท่า”
“จ๊อก” เสียงท้องของจันทร์ดาราร้องประจานเจ้าของขึ้นทันควัน และสุริยะก็หัวเราะลั่น จนหญิงสาวบิดตัวไปมาอย่างเขินอายหน้างอลงนิดๆ
“ทนอีกนิดนะ ผมมีปลากระป๋อง แต่ไม่มีข้าว ก่อนอื่นเราคงต้องหาที่พักก่อนจะกิน”
พูดจบ ผู้พันหนุ่มก็เหลียวมองไปรอบๆ และสายตาก็ไปหยุดที่ม่านน้ำตกขนาดใหญ่ สุริยะเห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างค่อยๆ เลื้อยออกมาจากหลังม่านน้ำตก และมันก็ค่อยๆ เลื้อยออกไปทางด้านซ้าย สายตาคมกริบมองเส้นทางที่เจ้างูเหลือมตัวนั้นเลื้อยออกมา ก่อนที่มันจะเลื้อยหายไป
“ผมรู้แล้วว่าคืนนี้เราจะนอนที่ไหน”
พันตรีสุริยะเดินนำจันทร์ดาราผ่านชั้นน้ำตกเล็ก สายน้ำบริเวณนี้ไม่แรงเท่าน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกใหญ่ แต่ก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน เพราะหินที่เหยียบใต้น้ำนั้นมีตะไคร่จับหนา ร่างสูงจับมือบางเอาไว้มั่นและค่อยๆ เดินผ่านไปทีละก้าวช้าๆ จนในที่สุดก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
สุริยะพาร่างเล็กเดินไปถึงม่านน้ำตก เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรงและทางเดินที่พาเขาและเธอเดินไปนั้นมันทั้งแคบและลื่น
“คุณเห็นช่องระหว่างน้ำตกและก้อนหินนั่นมั้ย”
ชายหนุ่มถาม พร้อมกับชี้ไปที่หลังม่านน้ำตก
“เห็น เอ๊ะ! นั่นมัน...”
“ถ้ำ...คืนนี้เราจะต้องเข้าไปนอนในนั้น มันเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด เพราะถ้าพวกนั้นยังตามมา มันคงไม่คิดว่าเราจะเข้าไปนอนในนั้น”
“มันไม่คิด เพราะในนั้นมันอันตรายยังไงล่ะ แล้วนายจะเข้าไปนอนทำไม” จันทร์ดาราสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามันอันตราย คุณคิดว่าจะมีตัวอะไรอยู่ในนั้นรึไง” สุริยะไม่บอกหญิงสาวว่าเขาเพิ่งเห็นงูเหลือมเลื้อยออกมาจากในนั้น เพราะถ้าเธอรู้ เธอก็คงกรี๊ดๆๆ จนป่าแตกก็เป็นได้ “คุณดูสิ ว่าทางเข้ามันลำบากและอันตรายแค่ไหน แล้วจะมีตัวอะไรเข้าไปอยู่ในนั้นได้” ชายหนุ่มให้ความเห็นเพื่อคลายความกังวลแก่หญิงสาว
“รู้ว่ามันลำบากและอันตราย แล้วนายจะพาฉันเข้าไปได้ยังไง”
“ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ถามมากแบบนี้ ผมพาคุณเข้าไปได้แน่ๆ”
จันทร์ดาราจำต้องหุบปากฉับ ไม่ถามอะไรอีก แต่ยังหวั่นใจระคนสงสัยว่านายราหูจะพาเธอเข้าไปในนั้นได้ยังไง
สุริยะเปิดกระเป๋าเป้ทหารที่สะพายมาตลอด และหยิบเชือกเส้นใหญ่ออกมา ก่อนจะผูกเป็นบ่วงและเงยหน้ามองหาหลัก ชะง่อนหินเล็กๆ ที่ยื่นออกมานั้นเป็นหลักให้สุริยะเหวี่ยงบ่วงขึ้นไปหาอย่างแม่นยำในคราเดียว เขาทดสอบความแข็งแรงของชง่อนเล็กๆ นั่นจนรู้ว่ามันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักตัวของคนทั้งคู่ไหว ก็ใช้ปลายเชือกอีกข้างผูกลำตัวของทั้งคู่เอาไว้
“นี่...ทำไมต้องผูกเชือกให้ตัวติดกันด้วยล่ะ นายอย่าบอกนะว่าจะใช้เชือกเส้นนี้โหนเข้าไปในถ้ำนั้นน่ะ”
“ผมบอกให้คุณเงียบไงล่ะ ทำตามที่ผมบอกทุกอย่างก็พอ” เขาสั่งเสียงดุ ดวงตามีแววไม่พอใจ
“แต่...ฉันกลัวนี่” เสียงหวานนั้นสั่น จนสุริยะอดสงสารไม่ได้
“ถ้าตกลงไปก็คงไม่ตายหรอก แต่ที่ผมต้องผูกคุณไว้แบบนี้ เพราะผมขี้เกียจลงไปช่วยคุณ”
เอวบางถูกมัดติดกับเอวหนาแน่นจนไม่มีอะไรลอดผ่านไปได้
“กอดคอผมไว้แน่นๆ ถ้ากลัวก็ซุกหน้ากับอกของผม”
แล้วโดยที่จันทร์ดารายังไม่ทันตั้งตัว สุริยะก็เหวี่ยงตัวเข้าไปใต้สายน้ำ แล้วใช้เท้าเหยียบบนพื้นหินหน้าปากถ้ำ รองเท้าคอมแบ็ตไถลเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังทรงตัวได้อย่างปลอดภัย
จันทร์ดาราถอนใจยาวอย่างโล่งอก และอดทึ่งในความสามารถของผู้พันหนุ่มไม่ได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาเลือกเขาให้มาช่วยเธอ เพราะฝีมือและความเก่งกาจของเขานี่เอง
สุริยะเห็นร่างบางที่เงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ ไม่โวยวายหรือร้องแลกแหกกะเชออะไรเลย ทั้งที่เขาก็ยังไม่ได้แกะเชือกที่ผูกเอวออก ริมฝีปากหนากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนฉกวูบลงจุมพิตแผ่วเบาที่เรียวปากนุ่ม นั่นล่ะที่ทำให้จันทร์ดาราได้สติ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คนฉวยโอกาส”
“ก็โอกาสมันน่าฉวยนี่นา ผมเห็นคุณมองผมแบบนั้น นึกว่าพิศวาสผมขึ้นมาซะอีก”
“ใครจะไปพิศวาสคนอย่างนายลง นายราหู”
“คำก็ราหู สองคำก็ราหู เห็นทีคืนนี้ราหูจะต้องอมจันทร์ซะหน่อยแล้ว”
พูดไป มือก็แกะปมเชือกไปด้วย ร่างบางก้าวหนีทันทีเมื่อเป็นอิสระ
“แล้วคิดเหรอว่าดวงจันทร์อย่างฉันจะยอมให้นายอมน่ะ เชอะ...ฝันไปเถอะ”
“ก็ลองดู ว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมนี้”
