บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

9

ระบิลเดินทางกลับนครราชสีมาไปด้วยความใจหาย เขาอยากแวะไปบอกลาพิริตาก่อนจาก แต่บางอย่างบอกให้เขาต้องยั้งตัวยั้งใจเอาไว้ เขาต้องจำให้แม่นว่าหญิงสาวมีคนที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะรักกันหรือไม่ ชายหนุ่มก็ต้องตัดใจ ระบิลหลุบตาลงมองแหวนเงินเกลี้ยงๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายของตน แหวนวงนี้จันทร์ดาราซื้อให้ใส่เล่นๆ แต่ขนาดของมันดันพอดีกับนิ้วนางข้างซ้ายของเขาเป๊ะ ราวกับมันเป็นสิ่งจองจำเขาไว้กับเธอ

“โอ๊ะ พี่บิลใส่มันที่นิ้วนั้นได้เหรอคะ จันทร์เจ้าว่าเอาไปเปลี่ยนให้มันใหญ่กว่านี้ดีไหมคะ ถ้าใส่นิ้วนั้นเดี๋ยวพี่บิลก็อดมีสาวมาเหลียวมองกันพอดี”

เสียงของคนที่ซื้อมาดูตื่นเต้นระคนตกใจมากกว่าเขาเสียอีก

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถึงยังไงพี่ก็คงไม่มีสิทธิ์มองคนอื่นอยู่แล้วนอกจากจันทร์เจ้า”

“ไม่ค่ะ พี่บิลอย่าพูดแบบนี้สิคะ เรื่องของเราที่เป็นแบบนี้เพราะคุณพ่อ แต่เราสองคนไม่ต้องฝืนใจทำตามใจคุณพ่อก็ได้นะคะ”

“พี่...ขอโทษนะครับ ที่ทำให้จันทร์เจ้าเดือดร้อน”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่บิลไม่ต้องห่วงความรู้สึกของจันทร์เจ้านะคะ พี่บิลเป็นพี่ชายที่น่ารักที่สุดในโลก เป็นเหมือนคนในครอบครัว และเป็นคนที่จันทร์เจ้าไว้ใจมากที่สุด ถ้าพี่บิลเจอสาวสวยถูกใจเมื่อไหร่รีบบอกจันทร์เจ้าทันทีนะคะ จันทร์เจ้าจะสแกนคนที่ต้องมาเป็นพี่สะใภ้ด้วยตัวเอง”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ขอบคุณครับ ถ้าพี่มีคนที่ชอบเมื่อไหร่แล้วจะบอก”

นั่นเป็นอดีตในวันที่หญิงสาวซื้อแหวนมาให้เขา ทั้งเขาและจันทร์ดาราถูกบังคับด้วยกันทั้งคู่ เธอเป็นลูกสาวปฏิเสธพ่อไม่ได้ ส่วนเขาเป็นลูกหนี้ที่ต้องรับหน้าที่ดูแลเธอเพื่อชดใช้หนี้สิน ถึงแม้หญิงสาวจะบอกว่าไม่ต้องกังวลแต่เขาจะทำให้เธอเดือดร้อนได้ยังไง

“ตู๊ด...ตู๊ด”

ระบิลปัดความคิดของตัวเองทิ้งแล้วรับโทรศัพท์มือถือ เพียงเห็นเบอร์ที่โชว์หน้าจอเขาก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่

“ครับท่าน”

“เธออยู่ที่นครราชสีมาแล้วใช่ไหม”

“ครับท่าน ผมเพิ่งกลับมาถึง มีข่าวของจันทร์เจ้ารึยังครับ”

“ยัง ฉันก็เป็นห่วง ที่โทรมาหาเธอเพราะจะขอปรึกษาเธอว่า เราจะพาคนเข้าไปสืบหาติดตามและช่วยเหลือลูกสาวของฉันออกมาดีไหม”

ระบิลแปลกใจไม่น้อย คนอย่างท่านนายพลจักรกฤษไม่เคยต้องถามความคิดเห็นจากใคร แต่เรื่องนี้มันคือความเป็นความตายของลูกสาวเพียงคนเดียว ความปลอดภัยของจันทร์ดาราคงบั่นทอนความมั่นใจของเขาลงไปมาก เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของลูกสาวสุดที่รัก

“ผมว่ารออีกสักนิดเถอะครับ คนที่ท่านส่งไปช่วยอาจอยู่กับเธอ แล้วกำลังหาทางติดต่อเราก็เป็นได้ ถ้าเราขืนบุ่มบ่ามทำอะไรไปตอนนี้บางทีจันทร์จันทร์อาจเป็นอันตรายก็ได้นะครับ”

“อืม...ฉันก็คิดอย่างเธอนะระบิล ถึงฉันจะมั่นใจในฝีมือของผู้พันสุริยะมากแค่ไหน แต่คนเราก็ย่อมทำพลาดได้ตลอดเวลา”

“ท่านนายพลโปรดวางใจเถอะครับ ผมเองก็เป็นห่วงเธอไม่น้อยไปกว่าท่าน แต่ผมเชื่อว่าจันทร์เจ้าจะต้องปลอดภัย”

“เธอรู้จักพันตรีสุริยะเป็นการส่วนตัวไหม”

“ไม่ครับ ผมแค่เคยเห็น แต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง ได้ยินว่าผู้พันเก่งกาจและดุดันจนลูกน้องกลัวหัวหด”

“หึ...ถ้าชาติตระกูลของเขาดีกว่านี้ และถ้าเธอมีเงินมาใช้หนี้ให้กับฉัน บางทีฉันอาจเปลี่ยนใจอยากได้ผู้พันยะมาเป็นลูกเขยก็ได้”

“...”

“ระบิล ฉันรู้ว่าเธอกับจันทร์เจ้าไม่ได้รักกัน แต่ที่หมั้นหมายกันก็เพราะฉัน ถึงเธอจะไม่ได้มีฐานะหรือชาติตระกูลร่ำรวย แต่เธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหนี้ของฉัน ฉะนั้นเธออย่าทำให้จันทร์เจ้าเสียใจเป็นอันขาด ถ้าลูกสาวของฉันต้องร้องไห้เพราะเธอเมื่อไหร่ล่ะก็ เธอเตรียมหาเงิน 3 ล้าน มาใช้หนี้ฉันได้เลย จำไว้นะระบิล”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปนานแล้ว แต่ระบิลยังคงถือมันแนบหู มือหนากำโทรศัพท์มือถือแน่นจนสั่นสะท้าน คำพูดของนายพลจักรกฤษทำให้เขาเครียดแค้น ทำไมต้องตกเป็นเบี้ยล่างอยู่แบบนี้ เขาเคยเสนอว่าขอชำระหนี้เป็นรายเดือน เพราะลำพังเงินเดือนนายทหารยศร้อยเอก คงต้องเก็บสะสมอีกนานกว่าจะได้ครบ 3 ล้าน แต่นายพลจักรกฤษก็ไม่ยอม ยื่นข้อเสนอว่าในระหว่างที่ยังไม่ได้แต่งงานกับจันทร์ดารา ถ้าเขาหาเงินครบและชำระหนี้หมด เขาก็จะเป็นอิสระทันที แล้วเขาจะไปหามาจากที่ไหนล่ะ

ระบิลลดโทรศัพท์ในมือลง เขาอยากโยนมันทิ้งแต่ก็เสียดายถ้าจะต้องทำลายข้าวของ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนหลับตาอยู่ชั่วครู่อย่างตรองไม่ตกว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี แล้วภาพใบหน้าสวยหวานของพิริตาก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ ผู้กองหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำหน้าแล้วทุบที่นอนแรงๆ สองครั้งอย่างอัดอั้น เขาหลับลงไปเพราะความเหนื่อยล้าในเวลาต่อมา

สุริยะพาจันทร์ดาราไปดูพวกลุกผวนเกี่ยวข้าว ที่นาของพวกเขามีไม่มากนักแต่ก็พอจะมีข้าวกินตลอดทั้งปี จากนั้นก็ไปดูเล้าหมู ในเล้ามีหมูอยู่สิบกว่าตัวใกล้ๆ กันมาเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดไม่ใหญ่ ถัดมาก็เป็นพืชผักสวนครัวนานาชนิด ช่างเป็นเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ จากที่ดูๆ สุริยะฟันธงได้ว่าจุดนี้อยู่ลึกเข้ามาในป่ามากแน่ๆ เพราะการลักลอบถางป่าเป็นการกระทำอันผิดกฎหมายแต่พวกลุงผวนก็ยังทำได้โดยไม่มีใครมาเห็น หรือคงเป็นเพราะพื้นที่ที่ทำการเกษตรครบวงจรแห่งนี้มีขนาดเล็ก ถ้ามองมาจากด้านบนด้วยเฮลิคอร์ปเตอร์อาจมองไม่ถนัดเพราะเป็นป่าดิบชื้นมีต้นไม้ใหญ่แน่นขนัด

จันทร์ดาราเข้าไปในเล้าหมูเพราะนึกครึ้มอยากอุ้มลูกหมูขึ้นมา แต่เธอลืมไปว่าแม่หมูหวงลูกขนาดไหน เพียงเธอเข้าไปใกล้แม่หมูตัวอ้วนพีก็ร้องและชนเธอจนหญิงสาวต้องหนี ร่างบางลื่นแผละเพราะเหยียบขี้หมูแฉะๆ ก้มจ้ำเบ้าไปกับพื้น

“โอ๊ย! พี่ซัน เจนเจ็บ”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ร่างสูงหัวเราะจนน้ำตาเล็ด “อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัวจนได้”

“นี่...ไม่ช่วยก็ไม่ต้องมาว่าเค้าเลย”

เธอพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่รองเท้าเจ้ากรรมกลับลื่นแพล็ดไปอีกครั้ง ร่างบางนั่งลงที่เก่าหน้านิ่วคิ้วขมวด เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากร่างสูงที่ยืนมองจนเจ้าตัวต้องขว้างค้อนคมให้อย่างหมั่นไส้และโกรธกรุ่น

“อ๊าย...คนบ้าไปไกลๆ เลยนะ คนนิสัยไม่ดี เห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วยังมีหน้ามายืนหัวเราะเยาะอีก คนไม่มีน้ำใจ คนใจร้าย คน...”

“อ๊ะ อ๊ะ พอได้แล้ว พูดมานี่พี่ก็ไม่เหลืออะไรดีแล้วล่ะ”

“ฮึ...แล้วคิดว่าตัวเองดีหรือไง แหยะ...คนดีๆ เขาต้องรีบเข้ามาช่วย ไม่ใช่ยืนกอดอกหัวเราะเค้าอยู่แบบนี้”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ก็ดูเจนตอนนี้สิ น่าขำแค่ไหน”

“อีตาบ้า หันหลังไปเลยนะ ไม่ต้องมองเค้าเลย”

สุริยะเดินเข้าไปหาจันทร์ดารา หญิงสาวเจริญพรเขาปากขมุบขมิบ ตาเขียวๆ ก็ตวัดขวับๆ ให้เขาไม่ลดละ ชายหนุ่มนั่งยองๆ บนส้นเท้าเรียวปากได้รูปคลายยิ้มลงเล็กน้อย แต่มุมปากยังคงกดลึกไม่สร่างซา

“ลุกขึ้นสิ ไม่เหม็นมั่งหรือไงนั่งอยู่บนกองขี้หมู อืม...ถ้ากลับไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ หรือญาติโกโหติกาฟังนี่ พวกเขาคงหัวเราะเยาะน่าดูเลยนะ”

“ชิ ใครจะปากสว่างไปเล่าเรื่องบ้าๆ นี่ให้ฟัง”

“โอเค เราจะรู้เรื่องนี้กันแค่สองคน ตกลงไหม”

“เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราในป่านี้ เราจะต้องรู้กันแค่สองคน พี่ซัน...สัญญากับเจนนะ”

อยู่ดีๆ เธอก็เรียกร้องสัญญาปากเปล่าจากเขา จันทร์ดาราคงกลัวใครจะรู้เรื่องระหว่างเขากับเธอ แต่สำหรับเขายินดีจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้รู้ ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“ไม่ พี่ไม่สัญญาโง่ๆ แบบนั้นหรอก”

“พี่ซัน! พี่ซันจะเล่าเรื่องของเราให้ใครฟังไม่ได้นะ”

“ไม่เล่าก็ได้ แต่ไม่สัญญา เพราะพี่ไม่ชอบสัญญาส่งเดช”

“ก็อย่าสัญญาส่งเดชสิ สัญญาจริงๆ สัญญากับเจนนะพี่ซัน...นะ”

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินหนี เรื่องอะไรเขาต้องสัญญาแบบนั้นด้วย ในเมื่อเธอเป็นเมียเขาแล้วจะปฏิเสธหรือไม่ยอมรับได้ยังไง เขาเป็นลูกผู้ชายเป็นชายชาติทหาร กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ

“พี่ซัน...”

“พี่ไม่สัญญาหรอก แต่พี่จะไม่บอกใครแล้วกัน” เขาบอกโดยไม่ยอมมองหน้า

“พี่ซัน...ช่วยหน่อยสิ”

สุริยะหันไปมองเห็นจันทร์ดารายื่นมือให้ เขาเกือบส่งมือออกไปรับแต่พอเห็นขี้หมูเต็มมือของเธอก็เบ้ปาก แล้วหันไปมองรอบๆ หาเครื่องทุ่นแรง ชายหนุ่มเดินไปหยิบกิ่งไม้แล้วส่งให้เธอ

“จับไว้”

หญิงสาวยื่นมือมาจับกิ่งไม้หลุบตาลงซ่อนประกายตาบางอย่าง ถ้าหากสุริยะเห็นมุมปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาอาจต้องขนลุกไปทั่วร่าง

จันทร์ดาราออกแรงกระตุกในขณะที่ชายหนุ่มเผลอ โดยไม่ทันระวังตัวร่างสูงก็เซถลาล้มลงใส่กองขี้หมูข้างๆ หญิงสาว

“ฮิ ฮิ ฮิ...ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เป็นไงบ้างล่ะ ขี้หมูน่ะเหม็นไหม ฮ่ะ ฮ่ะ...”

ดีที่สุริยะเอามือยันไว้ได้ทันก่อนที่หน้าจะทิ่ม ไม่งั้นเขาไม่อยากจะคิด เสียงหัวเราะอย่างสะใจของเธอทำให้เขาคาดโทษในใจ

‘เดี๋ยวเถอะ จะทำให้หัวเราะไม่ออกเลยคอยดู’

สุริยะดีดตัวขั้นแล้วถอยฉากออกจากกองขี้หมูอย่างรวดเร็ว เขาทิ้งให้เธอนั่งลงในกองขี้หมูอยู่แบบนั้น ก็อยากแกล้งเขาแล้วยังมาหัวเราะเขาดีนักนี่

“พี่ซัน...จะไปไหนล่ะ ช่วยเจนก่อนสิ”

เสียงหวานใสออดอ้อนปนเสียงกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ทำให้ชายหนุ่มหยุดมอง

“นั่งอยู่นั่นแหละ อยากแกล้งดีนัก ไม่ช่วยแล้ว ลุกขึ้นมาเองแล้วกัน”

“อะไรกันพ่อหนุ่ม อ้าว...นังหนู ทำไมเอ็งลงไปนั่งในกองขี้หมูแบบนั้นล่ะ ตายแล้วไม่เหม็นไปหมดทั้งตัวแล้วเหรอ พ่อหนุ่มด้วยนี่ หือ...ไปๆ ลุกขึ้นนังหนู รีบไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวซะ”

ป้าลำยองเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ร้องถาม เพราะสภาพของทั้งคู่ย่ำแย่พอๆ กัน

“ปล่อยให้นั่งอยู่ในกองขี้หมูนั่นแหละป้า เห็นหน้าหวานๆ แบบนั้น ร้ายกาจมากเลยนะป้า ดูสิทำผมเปื้อนไปทั้งตัว”

“ช่วยไม่ได้ อยากโง่เองทำไม ฮิ ฮิ...คนโง่ ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาดอยู่วันยันค่ำ”

คนแกล้งยังคงเชิดหน้าถือดี แถมยังว่าเขาว่าโง่อีก มันน่านัก

“งั้นคนฉลาด ก็เชิญลุกขึ้นเองแล้วกัน” บอกแล้วก็แกล้งเดินหนี

“อ๊าย...พี่ซัน ช่วยเจนก่อนสิ เจนลุกขึ้นไม่ได้”

สุริยะทำเป็นไม่สนใจ เขาย่ำเท้าเดินออกไปจากเล้าหมูหน้าตาหงิกงอ

“มานังหนู ป้าช่วย” ป้าลำยองฉุดมือบางขึ้นอย่างไม่รังเกียจรังงอน จันทร์ดารากล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจของหญิงชรา “ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจป้าหรอก ไปๆ ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เหม็นไปหมดทั้งตัวแล้ว” ป้าลำยองบอกโดยไม่ลืมเอาสบู่และยาสระผมให้หญิงสาวไปใช้ด้วย

หญิงสาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามร่างสูงที่เห็นหลังไวๆ เขาเดินไปที่ลำธารที่เคยไปอาบน้ำด้วยกัน จัดการถอดเสื้อถอดกางเกงออกเหลือเพียงกางเกงชั้นในชายที่ปิดบังความใหญ่โตของส่วนสำคัญกลางร่างแทบไม่มิด หญิงสาวที่เดินตามมาด้วยความหงุดหงิดเพราะเขาทำใจร้ายไม่ยอมช่วยเธอขึ้น ถ้าไม่ได้ป้าลำยองช่วยเธอเอาไว้ เธอก็คงนั่งจมในกองขี้หมูทั้งวันแน่

“ใจร้ายแล้วยังไม่อายผีสางเทวดาอีก”

เสียงบ่นพึมพำของคนหน้ามุ่ยซึ่งยืนมองหน้าหงิกงอ ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองสภาพของเธอตอนนี้สกปรกมอมแมมเหมือนเด็กที่มาจากกองขยะในสลัมไม่ผิดเพี้ยน

“แบบนี้ให้อาย แล้วไอ้ที่แก้ผ้าอาบลมห่มฟ้าเป็นนางเงือกเปลือยกายแช่น้ำล่ะ ไม่คิดอายผีสางเทวดาบ้างรึไง”

“ฮึ ของสวยๆ งามๆ จะอายทำไม มีแต่คนอยากดูทั้งนั้น...หรือจะเถียง”

จันทร์ดาราลอยหน้าลอยตาตอบ ถ้ายอมรับโดยดุษฎีง่ายๆ ก็ไม่ใช่จันทร์ดาราล่ะ

“นี่ก็สวย สวยแบบผู้ชายแล้วจะอายทำไม ก็อยากดูเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ชิ...ไม่เห็นสวยตรงไหน ตัวใหญ่ๆ มีแต่กล้าม แถมยังดำเป็นมันเงาซะขนาดนี้ เฮ้อ...ราหูชัดๆ”

เธอแกล้งพูดให้ต่างกับความจริงลิบลับ เพราะจริงๆ แล้วชายหนุ่มไม่ดำหรอก ความจริงเขาน่าจะเป็นคนขาวมากกว่า แต่เพราะเป็นทหารก็เลยกร้านแดดซะจนผิวเป็นสีทองแดง

“คร๊าบ...คุณจันทร์กระจ่างฟ้า คุณคนสวย ผมน่ะมันคนโฉด รูปชั่วตัวดำ แต่คนโฉดคนนี้ก็เป็นผัวคุณนะคร๊าบ”

ปากก็พูดมือก็วักน้ำในลำธารล้างตัวไปเรื่อยๆ ความเป็นคนตัวสูงทำให้เขาต้องโค้งตัวให้ต่ำสุด จันทร์ดารามองสะโพกสอบที่ลอยเด่น ความคิดอยากแกล้งชายหนุ่มผุดขึ้นในหัวสมองน้อยๆ แต่ปราดเปรื่องของตน ร่างบางเดินไปใกล้อย่างหมายมาดก่อนจะยื่นมือออกไปที่สะโพกสอบ

“นี่แน่ะ...คุณผัวใช่มั้ย”

หญิงสาวเอามือเปื้อนขี้หมูผลักสะโพกสอบเต็มแรง ร่างหนาซึ่งไม่ได้ตั้งตัวถลาหน้าทิ่มลงน้ำ ดีที่เขาพลิกตัวได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าหล่อๆ คงกระแทกก้อนหินเสียโฉมแน่

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ สมน้ำหน้าคุณผัว โดนจารึกรอยขี้หมูบนกกน. มีตัวเดียวซะด้วย ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

สุริยะหันมาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่น่าวางใจเธอเลยจริงๆ เพราะเธอไม่ใช่นางกวางน้อยที่ตกเป็นเหยื่อให้หมาป่าได้งาบตลอดเวลา แต่เธอเป็นชะนีบ่าค่างที่ซนแสนซนแล้วยังชอบใช้ความฉลาดกลั่นแกล้งคนอื่น ถ้าเธอไม่สวยและน่ารักในบางครั้งล่ะก็...เขาไม่มีทางรักเธอแน่ๆ

“ยัยเบื้อก ยังเล่นไม่เลิกใช่ไหม ยังอยากหัวเราะนักใช่ไหม”

“ใช่...แล้วไง” แม่สาวจอมดื้อเชิดหน้ายื่นปากออกมาในท่าทางลูกคุณหนูเต็มเหนี่ยว “หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“เคย แล้วก็อยากหัวเราะบ้าง”

ร่างสูงเดินเข้าไปหาร่างบางช้าๆ สายตาคู่นั้นเหมือนเสือจ้องตะครุบเหยื่อไม่ผิดเพี้ยน แต่เหยื่ออย่างจันทร์ดาราไม่ยอมให้ตะครุบง่ายๆ หรอก หนึ่งก้าวเดินหน้าอีกหนึ่งก้าวถอยหลัง

“อย่านะ มือเปื้อนแล้วตัวก็เปื้อนหมดเลยเห็นมั้ย ยังจะแกล้งได้ลงอีกเหรอ”

ชายหนุ่มไม่สนใจคำขออุทธรณ์ของเธอ เขาจ้องมองเธออย่างหมายมาดและไม่คิดจะปล่อยเธอไปง่ายๆ ไม่กลัวว่าร่างกายของตนจะเปื้อนขี้หมูจากร่างบางรึเปล่าด้วย ตอนนี้เขาคิดแต่จะสั่งสอนจันทร์ดาราให้รู้สำนึกว่าหัวเราะที่หลังดังกว่าหลายเท่า

พอหญิงสาวเห็นท่าไม่ดี เธอก็หมุนตัวคิดจะเอาตัวรอดด้วยการวิ่งหนี แต่ร่างบางก็ช้าไปกว่าอ้อมแขนแข็งแรงที่ตวัดเข้ารัดเอวกิ่วแล้วจับขึ้นพาดบ่าตีเพียะลงบนสะโพกงอนซึ่งเต็มไปด้วยขี้หมู กลิ่นเหม็นๆ นั้นทำให้ชายหนุ่มเบ้หน้าหนีแต่เขาไม่ยอมแพ้เธอด้วยการปล่อยเธอเพียงเพราะทนดมกลิ่นเหม็นๆ นี่ไม่ไหวหรอก เขาอยากจะบอกหญิงสาวด้วยซ้ำว่าเขาผ่านกลิ่นที่เหม็นกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่ามานักต่อนักแล้ว

“ว้าย...ปล่อยนะ นายราหู...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”

ความตกใจระคนไม่พอใจที่เธอต้องห้อยหัวต่องแต่งแถมยังถูกตีสะโพกจนเจ็บอีกด้วย ทำให้เธอเปลี่ยนสรรพนามไปเรียกเขาว่าราหู สำหรับจันทร์ดาราแล้วสุริยะก็คือราหูอยู่วันยังค่ำ เพราะราหูจะเป็นสิ่งเดียวที่ได้อมจันทร์อย่างเธอ

ชายหนุ่มแบกร่างนุ่มเดินดุ่มๆ ลงน้ำแล้วนั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง หญิงสาวถูกจับโน่นดึงนี่จนในที่สุดร่างระหงก็อยู่ในชุดเกือบเปลือย นั่นคือมีแต่ซับในตัวจิ๋วซึ่งปิดบังส่วนล่างอันอวบอิ่ม

“จะถอดทำไม เอามานี่นะ”

“ไม่ถอดแล้วจะซักได้ไหม ยัยงี่เง่า”

“เอ๊ะ! มันมากเกินไปแล้วนะ มีสิทธิ์อะไรมาว่าเค้าว่าเป็นยัยงี่เง่ากัน”

“คนฉลาดๆ เขาไม่ทำแบบนี้หรอก มีแต่คนงี่เง่าเท่านั้นที่ทำแบบนี้”

“นายราหู!!”

“อยากให้อมจันทร์นักรึไง ถึงได้เรียกราหูอยู่นั่น”

คราวนี้หญิงสาวหุบปากหน้าหงิกงอ แต่พอเธอเงียบได้ไม่นานเอวบางก็ถูกปลายนิ้วเรียวแกร่งจี้หนักๆ เธอไม่ใช่คนบ้าจี้ก็จริง แต่ก็อดหัวเราะและบิดตัวหลบปลายนิ้วของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจี้เอวเธอไม่หยุด

“ฮิ ฮิ ฮิ ปล่อยนะ...เจ็บ ฮิ ฮิ ฮิ”

“อยากแกล้งนักใช่ไหม นี่แน่ะๆ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ นี่แน่ะๆ”

“โอ๊ย...เจ็บพี่ยะ เจ็บ”

สุริยะไม่ยอมเลิก เธอจึงงับติ่งหูเขาแล้วดึง

“โอ๊ย...บ้านี่ เป็นหมารึไงถึงได้กัด”

เขาปล่อยมือจากเอวบางมาดันหน้าหญิงสาวแทน จันทร์ดาราปล่อยติ่งหูเขา เห็นมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกก็รู้สึกผิด

“เจ็บไหมคะ” เธอถามอย่างออดอ้อนออเซาะ เพราะกลัวเขาจะโกรธ

“สงสัยกลับไปนี่ต้องฉีดยากันโรคพิษสุนัขบ้าซะแล้ว”

จันทร์ดาราหยิกหมับเข้าที่ตุ่มไตเล็กๆ บนแผงอกกว้าง

“โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องออกมาอีกครั้ง “อะไรกันนี่ ทำพี่เจ็บไปทั้งตัวแล้วนะ”

“ฝากรอยไว้ไง กลับไปจะได้ไม่ลืมกัน”

คำพูดนั้นของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มชะงัก เขามองสบตากลมโตก่อนกดท้ายทอยของเธอลงมาแล้วปิดกลีบปากหวานนั้นรุนแรง สุริยะทำตามหัวใจเรียกร้อง อ้อมแขนรัดร่างนุ่มจนแทบจะกลืนเข้าไปในร่างแกร่ง อกนุ่มเบียดแนบไปกับอกกว้างจนรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ เรียวปากหยักลึกดูดปากนุ่มอย่างหิวกระหาย ดื่มด่ำความหวานอย่างรุนแรงเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำ มือใหญ่ฟอนเฟ้นสะโพกหนั่นแน่นอย่างหนักหน่วง ต้นขาเรียวสวยไขว้เกี่ยวรอบเอวหนา

“แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าฝากรอย ถ้าจะฝากให้ลึกถึงจิตวิญญาณต้องกลับกระท่อมกันแล้วล่ะ”

“แต่ว่า...”

“แต่อะไร”

เขามองหน้านิ่วน้อยๆ ของเธอแล้วก็เข้าใจ ปลายนิ้วเรียวสอดเข้าไปในขอบกางเกงชั้นในตัวน้อย อุปกรณ์สำหรับผู้หญิงที่เธอสวมนั้นแห้ง จนเขาเอะใจเลยสอดปลายนิ้วเข้าไปในความนุ่มนิ่ม

“พี่ยะ...” ร่างบางสะท้านเยือกรับการรุกรานที่ไร้การเล้าโลมนั้น

สุริยะดึงปลายนิ้วออกมาดู แล้วต้องยิ้มกว้างเมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติสำหรับเขาอาบเรียวนิ้ว

“ไหนบอกว่าจะมีไฟแดง 3 วันไง นี่มันเพิ่งวันที่ 2 เองนะ ไม่เห็นมีแล้วนี่ หมดแล้วมั้ง”

“ไม่รู้สิคะ ทุกครั้งจะมี 3 วัน แต่ทำไมคราวนี้ถึงหมดเร็วก็ไม่รู้”

“สงสัยฟ้าจะเห็นใจเราที่ต้องแยกจาก ก็เลย...ให้เวลาเราได้กอบโกยความสุขซะล่ะมั้ง”

“พูดอย่างกับว่าจะกลับกันแล้วเลย”

“เราจะไปจากที่นี่พรุ่งนี้ ได้เวลาที่เราต้องจากกันแล้ว”

จันทร์ดารากอดร่างหนาแน่นแล้วอยู่ดีๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา ร่างสาวสะอื้นฮักจนตัวโยน รู้ดีอยู่ว่าต้องจากกันในไม่ช้าแต่พอถึงเวลาแล้วกลับทำใจได้ยากจริงๆ

“พี่ยะ...จันทร์เจ้าไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากกลับบ้านเลย”

“ไม่อยากกลับ งั้นอยู่กับพี่ที่นี่มั้ยล่ะ ทำไร่ ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู ไม่มีทีวี ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีห้องแอร์เย็นๆ ไม่มีแม้แต่พัดลม เวลาจะไปไหนทีก็เดินเป็นวันๆ “

หญิงสาวยิ่งสะอื้นจนชายหนุ่มต้องลูบหลังปลอบโยน เขาไม่ได้พูดประชดแต่พูดจริงและไม่คิดว่าจะได้ยินเธอตอบรับหรอก เพราะคุณหนูอย่างจันทร์ดาราคงจะใช้ชีวิตแบบนี้นานๆ ไม่ได้ แล้วที่สำคัญเขาก็ไม่อยากพาเธอมาลำบาก ที่พูดไปเพราะอยากรู้ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเท่านั้น

“อยู่ได้ ถ้ามีพี่ยะ จันทร์เจ้าอยู่ได้”

ผิดคาด หญิงสาวกลับบอกว่าอยู่ได้แทนที่เธอจะปฏิเสธอย่างที่คิด

“แต่พี่อยู่ไม่ได้”

จันทร์ดาราดันตัวออกห่างทั้งคู่ไม่สนใจว่าเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนขี้หมูมากแค่ไหน ไม่สนใจกลิ่นเหม็นๆ ที่อบโชย สนใจแต่ความรู้สึกของกันและกัน และวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง

“ทำไมคะ พี่ยะไม่อยากอยู่กับจันทร์เจ้าแล้วเหรอ”

“อยาก แต่พี่ไม่ชอบวิธีนี้ พี่ไม่ชอบหนี พี่ชอบวิ่งชน”

“แต่พี่ยะก็พาจันทร์เจ้าหนีไอ้โจรพวกนั้น”

“ใช่ ถ้าพี่คนเดียวก็ไม่กลัวหรอก แต่นี่มีจันทร์เจ้าด้วย มันเสี่ยงมากเกินไปถ้าจะพาผู้หญิงลุยกับพวกโจรร้ายพวกนั้น”

“ถ้าเรากลับไป จันทร์เจ้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่ยะอีก”

“ไม่เจอได้ไง ในเมื่อพี่จะไปหาจันทร์เจ้า”

“จริงนะคะ พี่ยะต้องไปหาจันทร์เจ้าจริงๆ นะคะ”

“เห็นพี่เป็นคนไม่รักษาคำพูดรึไง พี่พูดคำไหนเป็นคำนั้นอยู่แล้ว”

“งั้น...” เธอกระซิบบอกเบอร์โทรของเธอให้เขาฟัง “จำไว้ให้ดีนะคะ ห้ามลืมเด็ดขาด”

“สัญญาด้วยเกียรติของชายชาติทหาร ว่าจะไม่มีวันลืมทั้งคนและเบอร์โทร”

สุริยะกอดร่างบางแนบแน่น บรรจงจูบไปทั่วดวงหน้าหวาน จูบซับน้ำตาที่ไหลลงมารินรดแก้มนวล จูบเปลือกตาบางทั้งสองข้างและจบลงที่กลีบปากอิ่ม

“หวาน วันนี้ขอกินให้หนำใจหน่อยนะ พรุ่งนี้พี่จะพาจันทร์เจ้ากลับบ้านแล้ว คงขาดใจแน่ถ้าไม่ได้กินจันทร์เจ้า”

“ค่ะ” เธอยอมตกปากรับคำง่ายๆ แค่เขาพูดราวกับเธอเป็นอาหารหวาน เธอก็ขนลุกซู่อยากให้เขากินใจจะขาดเช่นกัน

สุริยะจัดการอาบน้ำให้หญิงสาวจนเกลี้ยงเกลา ก่อนจะอาบน้ำให้ตัวเองบ้าง ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันริมลำธารนั้น นั่งชมนกชมไม้เก็บเกี่ยวบรรยากาศที่งดงาม กับสายน้ำเย็นๆ ที่ไหลผ่านปลายเท้าในอ้อมกอดของกันและกัน จนกระทั่งป้าลำยองต้องเดินมาตามเมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง เย็นนี้จะเป็นมื้อเย็นสุดท้ายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งคู่จะไม่มีทางลืมที่นี่เลย ไม่ว่าคนพวกนี้จะอยู่แบบไหนแล้วอยู่เพราะอะไรก็ตาม เรื่องหมู่บ้านแห่งนี้จะถูกปิดเป็นความลับตราบเท่าที่พวกเขาต้องการ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel