บทที่ 7
7
ร้อยเอกระบิลขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งได้ยังไงตัวเขาเองก็ยังงงๆ เขาขับรถออกมาจากค่ายรอฟังข่าวคราวของจันทร์ดาราอยู่นานหลายชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววความคืบหน้าอะไรบ้างเลย ใจลึกๆ เขารู้สึกเป็นห่วงคู่หมั้นสาว ห่วงเหมือนพี่ชายห่วงน้องสาว แต่ความรู้สึกหนึ่งกลับบอกเขาว่าเธอปลอดภัยดี คนที่กำลังช่วยเธออยู่นั้นต้องพาเธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เขาหันไปมองบ้านน้อยน่ารักหลังที่เขาเคยมาส่งผู้หญิงคนหนึ่ง คิดถึงเธอคนนั้นแล้วมุมปากลึกก็กระตุกเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“ชีโร่หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าแกยังดื้อแบบนี้ ฉันจะให้แกอดข้าวเลยจริงๆ”
ผู้กองหนุ่มแห่งกองทัพไทยมองไปยังที่มาของเสียง แล้วเขาก็เห็นสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตสีเทาขาวยืนกระดิกหางน้อยๆ ให้สาวเฉิ่มคนที่อยู่ในความคิดคำนึงของเขาบ่อยๆ ในระยะนี้
“คอยดูนะ ถ้าเจ้านายแกกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะฟ้องเจ้านายแกแน่ ว่าแกดื้อขนาดไหน”
ดูเหมือนว่าคำขู่ของเธอได้ผล เมื่อเจ้าสุนัขตัวโตงอขาหลังลงและนั่งลงในที่สุด
“ดีมาก พูดง่ายแบบนี้เอารางวัลไป”
เธอส่งกระดูกเทียมของโปรดที่มันชอบให้เป็นรางวัล เจ้าชีโร่รูปหล่อก็จัดการขย้ำของเล่นด้วยความดีใจ หญิงสาวซึ่งได้รับหน้าที่ดูแลเจ้าชีโร่ในเวลาที่เจ้าของมันไม่อยู่ก็ดีใจปรบมือเหย็งๆ ภาพน่ารักนั้นทำให้ระบิลยิ้มกว้าง เขาตัดสินใจลงจากรถและเดินไปหยุดหน้าประตูรั้วเหล็ก เจ้าชีโร่หันมามองทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเขา มันแยกเขี้ยวใส่และส่งเสียงคำรามแต่ไม่เห่า พิริตาหันไปมองยังรั้วทันที
“อ้าว...สวัสดีค่ะผู้กองระบิล”
“สวัสดีครับคุณพิริตา เอ่อ...ผม...แวะมาเยี่ยม พอดีไปที่ทำงานมาผ่านมาแถวนี้ ก็เลยนึกถึงคุณ”
“แง่ง...” ชีโร่ยังส่งเสียงคำรามไม่หยุด
“ชีโร่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวเถอะ”
เสียงหวานดุๆ นั้นทำให้เจ้าสุนัขตัวโตเงียบเสียง แต่ยังคงมองระบิลไม่วางตาอย่างหวาดระแวง
“มันคงคิดว่าผมเป็นขโมยล่ะมั้ง แต่มันหล่อมากเลยนะครับ ตัวผู้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ มันหล่อเหมือนเจ้านายมัน”
“เอ๊ะ...ไม่ใช่หมาของคุณเหรอครับ”
“หมาของพี่ยะน่ะค่ะ”
“พี่ยะ...คนที่เป็นแฟนคุณน่ะเหรอครับ”
คำว่าแฟนสะกิดใจพิริตาเข้าอย่างจัง จนระบิลแอบเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ
“เราแค่คบหากันน่ะค่ะ อาจจะยังคงไม่ได้นับว่าเป็นแฟนกัน พริ้งเป็นแค่คนดูแลเจ้าตัวนี้ให้เขาและบางครั้งก็เป็นแจ๋วให้ด้วย”
ระบิลแปลกใจว่าสีหน้าของพิริตาไม่ได้เศร้าหม่นหมอง หากแต่เก็บงำอะไรบางอย่างเอาไว้ ซึ่งทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนที่เธอบอกว่าคบหากันอยู่ แท้จริงแล้วเป็นยังไงกันแน่
“คุณพริ้งว่างไหมครับ”
เขาทำเป็นตีสนิทหญิงสาวด้วยการเรียกชื่อเล่นของเธอ
“ทำไมคะ ผู้กองจะชวนพริ้งไปไหนเหรอ”
ระบิลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ววันนี้เขาคงไม่ได้รับข่าวคราวของจันทร์ดาราแน่ เพราะถ้าเป็นเขา เขาจะเลือกส่งข่าวให้ทราบหรือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในเวลากลางวัน และคิดว่าคนที่ไปช่วยคู่หมั้นสาวคงต้องทำแบบนั้น
“ที่ลพบุรีมีที่เที่ยวที่ไหนบ้างครับ พรุ่งนี้ผมคงต้องกลับนครราชสีมาแล้ว อยากลองเที่ยวที่นี่ดูสักครั้ง”
“ที่นี่มีแต่วัดค่ะ ถ้าอยากเที่ยวแนะนำให้ไปนครสวรรค์ ที่นั่นมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ไกลจากที่นี่มากนักขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง”
“เหรอครับ งั้นไปเที่ยวนครสวรรค์เป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ แล้วผมจะมาส่งถึงบ้านโดยปลอดภัย รับรองด้วยเกียรติของชายชาติทหารเลยนะครับ”
ระบิลยิ้มกว้างอย่างรอคอยการตัดสินใจของพิริตา
“ก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวตอบรับก่อนเดินเข้าบ้านไปบอกให้มารดาของเธอทราบ แล้วออกมาอีกครั้งโดยมีสายตาของผู้เป็นมารดามองตาม เพราะปกติแล้วพิริตาจะไม่ออกไปไหนกับใครง่ายๆ คนที่ลูกสาวเธอออกไปไหนมาไหนด้วยก็มีแต่สุริยะคนเดียวเสมอ แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อใจของลูกสาว ซึ่งแม่อย่างเธอดูออกแต่ห้ามปรามหรือปฏิเสธได้ไม่ถนัดเพราะพิริตาโตพอที่จะรู้ผิดชอบชั่วดี และลูกสาวของเธอก็ไม่เคยทำเรื่องเสียหาย
หนึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็มาถึงถ้ำเทวาพิทักษ์ ทั้งสองเป็นนักท่องเที่ยวสองคนสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่จัดให้เข้าชมเพราะเวลานี้มันเย็นมากแล้วอีกไม่ถึงชั่วโมงดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า เมื่อความมืดเข้าครอบคลุมถ้ำก็จะมืดจนมองไม่เห็นความงามของหินงอกหินย้อย
“เกือบมาไม่ทันแล้วค่ะ ดีนะที่เจ้าหน้าที่ให้เราเข้ามา” พิริตาบอก
“นั่นสิ แหะๆ ผมก็ไม่มีเวลาเท่าไหร่ด้วย แต่ก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อน”
ระบิลยกมือเกาหัวแกรกๆ ความจริงเขาไม่ได้วางโปรแกรมไว้ว่าจะมาเที่ยวหรอก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากชวนหญิงสาวคนนี้มาเที่ยวกะทันหันแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พริ้งยินดี” พิริตาหันมาบอกเขา จนเท้าของเธอสะดุดเข้ากับพื้นหินขรุขระ “อุ๊ย!”
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ระบิลย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า เขาก้มลงมองเท้าบางสะอาดสะอ้านในรองเท้าสานส้นเตี้ย ที่เธอสะดุดเพราะชายกระโปรงบานยาวย้วยของเธอด้วยกระมัง ดูเหมือนมันลากพื้นราวกับเป็นไม้กวาดไปแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอชักเท้าออกรู้สึกเก้อเขินที่เขาจับข้อเท้าเธอ
ระบิลยืนขึ้นและส่งมือให้เธอ หญิงสาวมองมือใหญ่นั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนวางมือบางลงไปอย่างลังเลเล็กน้อย มือของทั้งคู่กระตุกรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นปราดไปทั่วร่าง ดวงตาของทั้งคู่สบกันแล้วหญิงสาวก็เป็นฝ่ายหลบตาคมเป็นประกายพราวระยับ ความรู้สึกหนึ่งแล่นวาบเข้าสู่หัวใจดวงน้อย ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่เคยเกิดกับใคร เขาเป็นคนแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้
ผู้กองหนุ่มรูปงามจูงมือน้อยเดินสำรวจถ้ำ ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเดินออกกันแล้ว ถ้ำแห่งนี้กว้างขวางมีห้องแบ่งออกเป็น 12 ห้อง กว่าจะเดินไปถึงห้องสุดท้ายก็เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น ความสวยงามของหินงอกหินย้อยทำให้สาวเฉิ่มอย่างพิริตาตื่นตาตื่นใจ เธอเดินไปก็เงยหน้าขึ้นมองความงามนั้นตลอดเวลา และผลสุดท้ายก็ต้องสะดุดชายกระโปรงของเธออีกครั้งเป็นเหตุให้เธอเสียหลักร่างหมุนคว้าง มือที่จับกันอยู่ฉุดให้ร่างใหญ่ล้มลงไปด้วย
ระบิลใช้มือช้อนศีรษะของเธอไว้ได้ทันก่อนจะกระแทกเข้ากับพื้น ริมฝีปากหนากดทับปากนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้กระแสไฟที่ยังคงแล่นปราดไปทั่วร่างของคนทั้งคู่ดูเหมือนมันจะสปาร์คกันแล้ว เหมือนขั้วบวกกับขั้วลบที่จับใกล้กันก็ดูดเข้าหากันฉับ
ความนุ่มละมุนของริมฝีปากและทรวงอกอวบทำให้ระบิลลืมตัวลืมใจ เขาบดคลึงกลีบปากหวานใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามรอยแยกของกลีบปาก พิริตาเองก็บังคับตัวเองไม่ได้เธอยอมเปิดปากรับเรียวลิ้นผ่าวร้อนที่แทรกเข้าหาลิ้นนุ่ม ทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสกันหัวสมองของหญิงสาวก็หมุนคว้างเป็นลูกข่าง และพอปลายลิ้นหนาซอกซอนไปทั่วโพรงปากนุ่ม เธอก็ส่งเสียงครางในลำคอ ร่างบางเริ่มสั่นอย่างไม่รู้ว่าเกิดจากความกลัวหรือเกิดจากอะไรกันแน่
“มีใครค้างอยู่ข้างในบ้างครับ เจ้าหน้าที่จะปิดแล้วนะครับ”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่ตะโกนเข้ามา พิริตาจึงผลักร่างหนาเต็มแรงแล้วดีดตัวขึ้นยืน พร้อมกับปัดฝุ่นที่ติดตามเสื้อและกระโปรงของเธอ ริมฝีปากของเธอยังคงสั่นระริกมือของเธอชุ่มเหงื่อ และขาก็สั่นพั่บๆ จนแทบจะก้าวไม่ออก
ระบิลลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นให้กับตัวเองบ้าง เขาพึมพำขอโทษหญิงสาวเบาๆ
“ขอโทษนะครับ ผม...”
“ลืมมันเถอะค่ะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ”
พิริตาพยายามก้าวขาสั่นๆ ให้เดินได้อย่างมั่นคง แต่ทำไมมันถึงทำได้ยากนักก็ไม่รู้ จนมือหนาต้องคว้าต้นแขนกลมกลึงช่วยพยุงและเดินออกไปพร้อมกันด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ หญิงสาวจำใจต้องเดินตามแรงดึงนั้นไปเรื่อยๆ
เมื่อเข้ามาอยู่ในรถด้วยกันตามลำพังอีกครั้งทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ ไม่มีใครพูดอะไรก่อนจนกระทั่งระบิลเป็นฝ่ายทนไม่ได้ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนมีความอดทนสูง แต่ทำไมตอนนี้หัวใจถึงได้กระวนกระวายที่เห็นเธอทำนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร หรือเธอคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุจริงอย่างที่พูด หรือเธอเคยทำแบบนี้กับคนที่บอกว่าคบหาดูใจกันอยู่บ่อยๆ จนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา พอคิดได้ดังนั้นระบิลก็ถอนใจเฮือกใหญ่โยนความหนักอกทิ้งไป แล้วหันไปมองหน้าหญิงสาวตรงๆ
“พริ้ง” เขาตีคลุมเรียกชื่อเล่นเฉยๆ ไม่มีคุณนำหน้าราวกับสนิทสนมกันมานาน “เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ มันเป็นความตั้งใจของผม”
“ผู้กองคะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยค่ะ”
“พริ้ง...ถ้าผมไม่ตั้งใจ ผมจะไม่พูดถึงมันอีกเลย”
“พูดไปแล้วจะได้อะไรล่ะคะ ช่างเถอะค่ะ พริ้งแค่...เสียจูบแรกให้ผู้กองไป...ก็เท่านั้น”
“อะไรนะ” ระบิลได้ยินเสียงของตัวเองดังมาจากที่ไกลๆ “นี่...คุณอายุเท่าไหร่กันน่ะพริ้ง หวังว่าคงไม่ใช่ 15 หรอกนะ”
“ฮิ ฮิ...หน้าอย่างพริ้งถ้าแค่ 15 ก็แสดงว่าพริ้งไปทำเบบี้เฟสมาแน่นอนแล้วล่ะค่ะ”
แปลกที่พิริตายังคงหัวเราะเสียงใสได้ เธอไม่ได้โกรธผู้ชายตรงหน้าเลยสักนิด เธอแค่...รู้สึกแปลกๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็นั่นมันจูบแรกในชีวิตสาว จูบแรกที่เคยคิดจะมอบให้สุริยะ จูบแรกที่ตั้งใจจะมอบให้คนที่เธอรัก แต่เขาก็ฉวยมันไปซะแล้ว
“พริ้ง...ผมจริงจังนะ ไม่ได้พูดเล่น”
“จริงจังอะไรคะ ผู้กองพูดเหมือนคิดอะไรกับพริ้งอย่างนั้นแหละ”
นั่นสินะ แล้วเขาคิดอะไรกับเธอรึเปล่าล่ะ แล้วที่บอกว่าจริงจังน่ะคืออะไร
“เอ่อ...ก็ผมจูบคุณไง ผมจริงจังนะ”
“โอ้ว้าว...แล้วอย่างนี้ผู้หญิงที่ผู้กองจูบ คุณก็จริงจังกับเธอทุกคนสิคะ ผู้กองเนี่ยร้ายไม่ใช่เล่นนะ”
“โอเคพริ้ง ถ้าคุณไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”
น้ำเสียงทุ้มเริ่มห้วนขึ้นตามลำดับ เขาไม่ชอบให้ใครมาล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา แม้ตัวเขาเองจะยังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ว่ามันคืออะไรก็ตาม
ระบิลสตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งกระชากออกไป ร่างบางหันไปมองร่างสูงซึ่งทำหน้านิ่งตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอก็ไม่พูดอะไรไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ทำไมเขาต้องอารมณ์เสียใส่เธอด้วย กับอีแค่จูบเดียวซึ่งเป็นจูบแรกของเธอ เธอต่างหากที่ต้องฉุนเฉียวไม่ใช่เขา ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสูง เขาหงุดหงิดในหัวใจจนบอกไม่ถูก น้ำเสียงของเธอเมื่อครู่มันเหมือนเยาะเย้ยมากกว่าเป็นการพูดเล่น ใช่...เขาจูบผู้หญิงมานักต่อนัก จะบอกได้อย่างไม่อายและเหมือนยกยอปอปั้นตัวเองก็เถอะ ไม่ว่าร้อยเอกระบิล บวรกิจโสภณจะก้าวเท้าไปทางไหน ต้องมีผู้หญิงชายตาแลทุกที่และแค่เขาชายตามองกลับไป เขาก็มักจะได้เบอร์โทรของพวกเธอกลับมาด้วยทุกครั้ง บางครั้งก็ได้หิ้วเจ้าของเบอร์โทรกลับด้วยซ้ำ
แต่นี่...ยัยผู้หญิงเฉิ่มที่บอกว่ามีคนคบหาดูใจอยู่แต่ไม่เคยเสียจูบเลยสักครั้ง กลับบอกว่าจูบแรกของเธอที่มอบให้เขานั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุให้ลืมมันไปซะ เธอกำลังจะบอกว่ามันไม่มีค่าอะไรเลยสินะ บ้าเอ๊ย! แล้วเขากำลังทำบ้าอะไรอยู่นี่ คู่หมั้นถูกลักพาตัวไปยังไม่ได้ข่าวคราวของเธอ เขากลับมาเที่ยวกับยัยนี่ โอ๊ย! นี่มันอะไรกัน...
ระบิลพุ่งหัวรถไปทุกทางที่พอจะแทรกเข้าไปได้ เขาใจร้อนอยากให้ถึงบ้านของเธอเร็วๆ จะได้ส่งเธอลง แล้วตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาและเธอก็คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
“ผู้กองคะ ขับดีๆ สิคะ ขะ...ขับแบบนี้มันน่าหวาดเสียวนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ยังไงผมก็ส่งคุณให้ถึงบ้านอยู่แล้ว และตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราก็คงไม่ต้องเจอกันอีก”
“ยะ...อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ถึงคุณจะกลับนครราชสีมา แต่สักวันเราก็ต้องเจอกันแน่”
ในขณะนั้นถนนเส้นที่มุ่งตรงไปบ้านของพิริตาไม่มีรถราวิ่งผ่านมากนัก ระบิลหักพวงมาลัยเข้าจอดข้างทางอย่างรวดเร็ว จนได้ยินเสียงเบรกดัง “เอี๊ยด”
“คุณยังอยากเจอผมอีกหรือไง ขอโทษเถอะนะกับสิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมด แต่ผมคงไม่ทำมันอีกแล้วล่ะ”
“ผู้กองคะ พะ...พริ้ง...”
“อะไรล่ะ คุณจะพูดอะไรล่ะพริ้ง”
ระบิลคว้าต้นแขนกลมกลึงเขย่าแรงๆ จนเธอหัวสั่นหัวคลอนไปหมด
“ทำไมคุณต้องโกรธพริ้งด้วยคะ พริ้งทำอะไรผิด”
“ใช่สิ คุณไม่ผิดเลย ผมผิดทุกอย่าง”
แล้วร่างบางก็ถลาข้ามเกียร์ที่คั่นอยู่ตรงกลางมาหาร่างแกร่ง แว่นสายตาหนาเตอะถูกกระชากออกจากใบหน้านวลใสและขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี เมื่อไร้แว่นช่วยในการมองเห็น พิริตาก็มองทุกอย่างเลือนลางไปหมดรวมทั้งใบหน้าคร้ามคมที่ก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ
“ผู้กองจะทำอะไรคะ ขอแว่นให้พริ้งเถอะค่ะ พริ้งมองไม่เห็น”
“ก็ดีแล้วไง คุณจะได้ไม่ต้องหัวเราะเยาะผมทีหลัง”
“คุณพูดอะไรคะ พริ้งไม่เข้าใจ ปล่อยเถอะค่ะ พริ้งเจ็บ”
อย่าว่าแต่เธอเลยที่ไม่เข้าใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ แล้วไอ้อารมณ์บ้าๆ นี่ก็เกิดขึ้นแต่กับเธอเท่านั้น
ระบิลคลายมือลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นแขนกลมกลึง เขามองเข้าไปในดวงตาที่หยีลงเพราะกำลังเพ่งมองเขา ดวงหน้าที่ไม่มีแว่นสายตามาบดบังนั้นงดงามไม่มีที่ติ ผิวขาวบางใสจนเห็นเส้นเลือดเล็กๆ ปลายจมูกโด่งสวย ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อที่เผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างหวาดหวั่น ดวงตาคู่นั้นสิแม้เจ้าตัวจะหรี่ตาลงแต่มันวับวาวระยิบระยับเหมือนดาวบนฟากฟ้า เห็นเธอแล้วอดเสียดายแทนคนที่เป็นว่าที่เจ้าของ สายตาผู้ชายด้วยกันมีหรือจะมองไม่ออกว่าหญิงสาวตรงหน้านี้สวยขนาดไหน แล้วทำไมเขาถึงไม่จูบเธอ
ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มเต็มหนักๆ สอดเรียวลิ้นเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นหวานอย่างซาบซ่านใจ ปลายลิ้นหนาดูดซับความหวานไปทั่วโพรงปากนุ่ม เขาตั้งใจมอบจูบดูดดื่มให้เธอ ตั้งใจให้เธอรับรู้ถึงความต้องการของผู้ชายซึ่งมีมากกว่าที่เธอคิด ความหวานนั้นทำให้ระบิลครางลึกในลำคอ มือที่ประคองต้นคอระหงขยับนวดผ่อนคลายไปที่หลังใบหูนุ่ม เขาถอนเรียวลิ้นออกและดูดปากนุ่มชิมรสหวานภายนอกซึ่งหวานได้ไม่แพ้ภายใน
“หวาน...หวานกว่าใครทุกคน”
เขาพึมพำชิดกลีบปากนุ่ม ก่อนตวัดปลายลิ้นไปตามรอยแยกของกลีบปาก ความเสียวซ่านทำให้หญิงสาวต้องเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ มือน้อยเลื่อนขึ้นไปวางบนบ่ากว้างในที่สุด เมื่อจูบจนพอใจแล้วเขาก็ยกร่างบางกลับไปนั่งที่เดิม แล้วเอื้อมไปปรับเบาะให้เอนนอนจนได้ระดับ ร่างหนาขยับตัวเบียดคร่อมร่างบางแล้วปากกับปากก็พบกันอีกครั้งเนิ่นนาน
ทรวงอกอวบสวยใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวลายดอกไม้ ถูกมือเจ้าเคล้นคลึงราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ กระดุมเสื้อถูกปลดลงมาสามเม็ดก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะสอดเข้าไปกอบกุมปทุมงามคู่สวยเต็มไม้เต็มมือ ร่างระหงสะท้านไปทั้งร่างสัดส่วนความเป็นสาวที่มีแค่เธอเท่านั้นที่ได้เห็น หากแต่ตอนนี้กลับมีอีกคนที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกว่าเจ้าของอย่างเธอด้วยซ้ำ มือหนาอีกข้างเลื่อนต่ำลงจนถึงขอบเอวกระโปรงยางยืด ระบิลสอดฝ่ามือเข้าไปลูบไล้หน้าท้องแบนราบ เขาจะขยับลงต่ำแต่ถูกมือบางคว้าหมับไว้ได้ทัน
“อย่าค่ะ มันไม่เหมาะ”
“นิดนึงนะคนดี นิดนึง”
มือซุกซนออกแรงมากขึ้นขยับลากลงต่ำจนถึงขอบกางเกงชั้นใน พิริตาลืมตัวปล่อยมือออกแล้วกำแน่นเข้าที่ขอบเอวกระโปรง ปลายนิ้วเรียวใหญ่ขยับไปบนเนื้อผ้าบางเบา เนินสวาทถูกเกาะกุมในเวลาต่อมา ร่างระหงผวาเข้าหากลีบปากอิ่มถูกเจ้าของกัดแน่น
ระบิลมองใบหน้าแดงซ่านด้วยไฟพิศวาส ยิ่งมองเธอในเวลาแบบนี้ยิ่งสวย
“ปี๊นๆ”
เสียงบีบแตรรถยนต์ทำให้ระบิลต้องตัดใจจากความงามแสนหวานตรงหน้า เขาจัดเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่ แล้วปรับเบาะนั่งให้คืนดังเดิม ก่อนขยับตัวกลับไปประจำที่คนขับ
ชายหนุ่มเคลื่อนรถออกมาได้หลายนาทีแล้ว เขาก็ถาม
“ครั้งนี้ผมจะไม่ขอโทษหรอกนะ แต่จะบอกอยู่อย่าง ว่าคนที่เป็นแฟนคุณโง่บรรลัยที่มองไม่เห็นเพชรเม็ดงามตรงหน้า”
พิริตาไม่ตอบเธอก้มลงคลำหาแว่นสายตาที่เขาเหวี่ยงทิ้งจนเจอ เธอสวมแว่นเข้าที่กลับไปเป็นสามเฉิ่มเต็มร้อยเหมือนเดิม
“ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาคนนั้นไม่เห็นคุณค่า ปล่อยให้คุณหลุดมือมาถึงผมได้ แต่ถ้าเป็นผม...ผมไม่มีวันปล่อยคุณแน่ๆ”
หญิงสาวยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม จนรถเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้าน เธอจึงหันไปมองเขา
“ขอบคุณนะคะ ที่มาส่งฉันอย่างปลอดภัย” เธอเปิดประตูรถขยับขาลงไปข้างหนึ่ง “อ้อ...เพราะเขาไม่ได้รักฉันไงคะ ฉันถึงหลุดรอดมาถึงคุณ...ผู้กองระบิล” พิริตาเน้นเสียงตรงชื่อของชายหนุ่ม และสรรพนามที่เรียกตัวเองเปลี่ยนไปเพราะเธอโกรธที่เขาทำเหมือนเธอไม่มีค่า และคำว่า “ปล่อยให้คุณหลุดมือมาถึงผมได้”
พิริตาก้าวลงจากรถพร้อมทั้งปิดประตูโครมใหญ่ ไม่ใส่ใจว่าจะมีอะไรหลุดออกมาหรือไม่ แล้วก้าวฉับๆ เดินเข้าบ้านไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองคนที่นั่งมองอยู่ในรถเลยด้วยซ้ำ
ระบิลถอนใจเฮือกใหญ่เขานั่งทบทวนคำพูดของเธออยู่หลายรอบ ก่อนค่อยๆ เคลื่อนรถออกไปช้าๆ โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองมาจากในบ้านหลังเล็ก กลีบปากนุ่มขยับขมุบขมิบแล้วสะบัดหน้าพรืดหมุนตัวไปอีกทาง
“พริ้ง”
“อุ๊ย! แม่คะ พริ้งตกใจหมดเลย”
พิริตายกมือทาบอกเมื่อหันมาเจอนางพรรณีเข้า
“หนูออกไปไหนมากับผู้กองระบิล”
“ก็หนูบอกแม่แล้วไงคะ ว่าหนูพาผู้กองระบิลไปเที่ยวนครสวรรค์”
“พริ้ง...ถ้าผู้พันยะกลับมารู้เข้าล่ะ”
“แม่คะ พี่ยะไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ แม่ก็รู้ดีนี่คะว่าพี่ยะเขาไม่ได้คิดอะไรกับหนู แต่ที่เขายอมไปมาหาสู่หรือแม้แต่จะพาหนูไปไหนๆ ก็เพราะแม่”
“พริ้ง ทำไมหนูพูดแบบนี้กับแม่ หรือว่า...หนูคิดอะไรกับผู้กองระบิล”
“แม่!”
เธอมองหน้ามารดาเหมือนไม่เคยเห็น หลายครั้งที่มารดาคิดอยากให้สุริยะรวบหัวรวบหางเธอ ทำไมเธอจะไม่รู้ แต่พี่ยะของเธอไม่คิดจะทำเพราะเขาไม่ได้รักเธอ เขายอมคบหาดูใจกับเธอก็เพราะรู้สึกผิดที่เคยขับรถชนเธอเมื่อหลายปีที่แล้ว
ตอนนั้นเธอพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่สาวเฉิ่มและเปิ่นอย่างเธอกลับซุ่มซ่ามเดินตกฟุตบาทแล้วถลาเข้าหารถของสุริยะที่แล่นมาด้วยความเร็ว เธอถูกรถของสุริยะเฉี่ยวจนล้มลงหัวกระแทกพื้น โชคดีที่แค่หัวแตกไม่ได้เป็นอะไรมาก มารดาของเธอแอบปลื้มสุริยะคนข้างบ้านมานานแล้ว ได้โอกาสก็เลยบอกให้ชายหนุ่มรับผิดชอบเธอด้วยการเลี้ยงดูในฐานะภรรยา มารดาทำเหมือนคนสิ้นคิด พิริตาทนให้ทำแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยให้เขาปฏิเสธเพราะตัวเธอเองไม่เอาเรื่อง แต่มารดาไม่ยอม เธอกับเขาก็เลยไปมาหาสู่กันพูดง่ายๆ ก็คือค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งภายในบ้าน ชายหนุ่มเป็นคนจัดการดูแลเพราะเขาเห็นว่าครอบครัวของเธอมีกันแค่สองคนแม่ลูก และมารดาของเธอก็เป็นเพียงแม่ค้าขายข้าวแกง
สุริยะยินดีรับผิดชอบทุกอย่างไม่ว่ามารดาของเธอเรียกร้องอะไรนอกจากการแต่งงาน แต่เขาก็ยอมคบหาดูใจกับเธอในที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่คนนอกคงเห็นว่าเป็นคนรักกัน แต่ทั้งคู่และมารดาของพิริตาเท่านั้นที่รู้ว่า สุริยะและ พิริตาไม่ได้รักกัน หญิงสาวเริ่มมีใจเอนเอียงและเริ่มชอบเขาเพราะความดี ผู้ชายอย่างเขาสาวคนไหนอยู่ใกล้ก็คงหลงรักกันทุกคน แต่เธอก็เก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ไม่บอกใครจนกระทั่งมาเจอผู้กองระบิล ความรู้สึกในใจที่มีต่อสุริยะมันจางลงไปมาก
“แม่อย่าลืมนะคะ ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแม่ พี่ยะกับหนูไม่ได้รักกัน ถ้าหนูจะมีคนอื่นจริงมันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอคะ”
“เพียะ”
นางพรรณีตวัดฝ่ามือใส่หน้าลูกสาว
“แกจะมีใครไปไม่ได้ แกต้องแต่งงานกับผู้พันยะคนเดียว ฉันเลือกคนที่ดีที่สุดให้ทำไมแกถึงปฏิเสธ คนอย่างผู้กองระบิลเขาคงมีเจ้าของแล้ว หรือแกอยากเป็นเจ้าของเขาร่วมกับคนอื่นล่ะ ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพราะรักแกนะนังลูกไม่รักดี”
“นี่หนูยังไม่รักดีอีกเหรอคะ เอาเถอะค่ะ แม่จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
พิริตาพูดจบก็วิ่งหนีเข้าห้องไป เธอทุ่มตัวร่ำไห้บนที่นอนนุ่ม พลางคิดว่าทำไมแม่ถึงตบหน้าเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกแม่ตบหน้า เธอทำอะไรผิดนักหนาแม่ถึงต้องทำรุนแรงกับเธอแบบนี้ หญิงสาวร้องไห้เป็นเผาเต่าคิดถึงคนที่อยู่ไกล ป่านนี้เขาจะรู้ไหมว่าน้องสาวคนนี้กำลังทุกข์ระทม
“พี่ยะ ช่วยพริ้งด้วย พริ้งไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีแล้ว พี่ยะ...ฮือๆๆ”
“ฮัดเช้ย...ฮัดเช้ย”
เสียงจามติดต่อกันสองครั้งทำให้จันทร์ดาราหันไปมองคนขยี้จมูก
“เป็นอะไรไปพี่ซัน เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ เจนได้ยินเสียงกรนออกจะดังนี่นา”
คนพูดตาเป็นประกายพร้อมกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง
“พี่จามแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการนอนไม่หลับด้วย”
“ฮิ ฮิ ก็พักผ่อนไม่เพียงพอไง ทำให้เป็นหวัดได้นะ”
สุริยะยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน เขาส่งสายตาคมดุให้หญิงสาวที่เป็นต้นเหตุทำให้เขานอนไม่หลับ
“พูดดีนักนะ เดี๋ยวคืนนี้จะผ่าไฟแดงให้ดู”
“อ๊าย...ไม่เอาหรอก จ้างให้ก็ไม่ให้ฝ่าฝืนกฎจราจรหรอก ชิ”
จันทร์ดาราส่ายหน้าทำปากยื่นได้อย่างน่ารัก จนคนมองตาปรอยแล้วไล่จูบไปทั่วดวงหน้าหวานอย่างเอาเป็นเอาตาย จนร่างบางตัวเอนราบไปกับพื้นห้อง
“ไม่ให้ก็จะปล้ำล่ะ ไม่ยอมแล้ว แค่คืนเดียวพี่ก็จะขาดใจแล้วรู้ไหม เค้านี้นอนหลับปุ๋ยแถมยังฝันดีอีก แต่เรานี่สินอนแข็งอยู่คนเดียว”
ไม่พูดเปล่าแต่ยังคว้ามือนุ่มวางทาบตรงที่บอกว่าแข็งเพื่อยืนยันคำพูด
จันทร์ดาราตาโตเพราะมือของเธอสัมผัสกับความเป็นตัวตนที่แข็งผงาดของเขา
“ห๊า...นี่แข็งมาจนถึงเช้าเลยเหรอ”
“ก็ม้ากระทืบโลงไง โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว ช่วยพี่หน่อยสิ”
“เอ๋...อย่าบอกนะว่าจะให้...”
“ใช่เลย แลกกันนะ”
“ไม่แลก เค้าไม่ได้มี...อารมณ์สักหน่อย”
“เหรอ...ไม่มีจริงเหรอ อยากเชื่อนะ แต่มันเชื่อยากจริงๆ”
ผ้าถุงของป้าลำยองที่จันทร์ดาราสวมถูกถลกขึ้นไปกองอยู่บนหน้าท้อง ปลายนิ้วแกร่งสอดเข้าไปในขอบกางเกงชั้นใน
“พี่ซัน มันสกปรก”
ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงกระตุกกางเกงขาก๊วยที่ตนสวมจนร่วงไปกองที่พื้น ความเป็นตัวตนผงาดล้ำอยู่ในชั้นในชาย มันรอจะสำแดงอิทธิฤทธิ์แต่ตอนนี้ยังไงก็คงไม่ได้
“เร็วๆ เจน ช่วยพี่หน่อย”
เมื่อโดนเร่งเร้า จันทร์ดาราจึงอดวางฝ่ามือทาบไปบนความกำยำนั้นไม่ได้ แล้วมือน้อยก็กระตุกเพราะเจ้านั่นของเขามันทักทายหงึกหงัก เธอเงยหน้ามองเจ้าของร่างแกร่งเห็นตาคมหรี่ลงนิดๆ รอคอยการช่วยเหลือจากเธอ
“โอ้...ไม่นะที่รัก อย่าเอาแต่มองพี่สิคนดี เข้าใจหัวอกลูกผู้ชายอย่างพี่บ้าง”
เสียงโอดครวญดังออกมาเป็นระยะ เขาแทบจะคลั่งเพียงแค่มือน้อยสัมผัสกับเจ้านั่น
“ก๊อกๆๆๆ พ่อหนุ่ม นังหนูเอ๊ย ตื่นกันหรือยัง”
สวรรค์ของสุริยะล่มครืนเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่มาพร้อมกับเสียงของลุงผวน เขาเดินไปใกล้จะถึงประตูก็นึกบางอย่างขึ้นได้ก้มลงมองส่วนที่ดันกางเกงออกมาจนเห็นได้ชัด เขารีบหันหลังกลับกระโดดล้มตัวลงนอนแล้วพยักหน้าให้จันทร์ดาราเป็นคนเปิดประตู
หญิงสาวยกมือปิดปากหัวเราะคิกจนตาพราว เธอเปิดประตูให้ลุงผวนเห็นแกชูมัดปลาย่างให้ดู
“ข้าเอาปลาย่างมาให้กิน นึกว่ายังไม่ตื่นกันซะอีก”
“ตื่นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะลุง”
“แล้วไอ้หนุ่มล่ะ”
“อ๋อ...” จันทร์ดาราเหลียวเข้าไปมองเห็นร่างสูงนอนตะแคงหันหลังแถมห่มผ้าเหมือนคนไม่สบาย เธอกลั้นหัวเราะแทบแย่ “พี่ซันไม่สบายค่ะ”
“อ้าวเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า เมื่อคืนก็เห็นยังดีๆ นี่นา” ลุงผวนส่งเสียงดังถามสุริยะ “เฮ้ย...หรือเอ็งแพ้ม้ากระทืบโลงของข้าวะไอ้หนุ่ม”
“คร๊าบ...สงสัยผมจะแพ้ม้ากระทืบโลงมากเลย”
เขาแกล้งทำเสียงแหบให้ดูเหมือนเป็นไข้ไม่สบายจริงๆ แต่ในใจนั้นกำลังเข่นเขี้ยวชายชรานิดๆ ที่ดันมาขัดจังหวะเขาได้
“งั้นเดี๋ยวข้าเอายามาให้กิน แต่เป็นยาสมุนไพรนะเว้ย แก้ไข้ตัวร้อน”
“ไม่ครับ” คนแกล้งป่วยรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เป็นไรครับ นอนพักสักครู่เดี๋ยวก็หาย”
“เออๆ งั้นก็ตามใจเอ็งแล้วกัน ข้าวปลาอยู่ในหม้อนะไปตักมากินได้ตามสบาย พวกข้าจะออกไปเกี่ยวข้าว”
“เกี่ยวข้าว! พวกลุงทำนาด้วยเหรอจ๊ะ”
“เออสิวะ ไม่ทำนาแล้วจะเอาข้าวที่ไหนมากินละเว้ย ปีนี้ดีหน่อยได้ข้าวกินเยอะคงพอกินทั้งปีล่ะ ถ้าปีไหนไม่ดีเราก็ต้องออกไปซื้อ ข้าไปก่อนล่ะนะ”
พอคิดว่าพูดมากเกินไปแล้ว ลุงผวนก็เลยปลีกตัวจากไป
