บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

6

“พี่ยะ”

“ชอบมั้ยเพลงที่พี่ร้องให้ฟังเมื่อกี้นี้”

เขาถามพร้อมกับคลอเคลียปลายจมูกโด่งไปยังซอกคอระหง กลิ่นหอมจากกายสาวถูกสูดดมเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า

“ไม่เห็นจะเพราะเลย เพลงอะไรก็ไม่รู้”

สุริยะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มบาดใจสาวให้ ก่อนกดริมฝีปากร้อนลงบนกลีบปากอิ่มหนักๆ

“ปากแข็ง ชอบก็บอกมาเถอะ เห็นนั่งอ้าปากหวอ จะบอกว่าไม่ชอบไปโกหกเด็กเถอะ”

“ชิ...คนหลงตัวเอง”

“หึ หึ เพลงนี้พี่เพิ่งร้องให้จันทร์เจ้าฟังเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าคิดอย่างพี่ไหม แต่ที่พี่ร้องเพราะพี่หมายความตามนั้นจริงๆ”

คำพูดของเขา ทำให้มือน้อยต้องดันใบหน้าคร้ามคมออกเพื่อจ้องเข้าไปค้นคว้าหาความจริงในดวงตาทอแสงคู่นั้น

“หมายความว่ายังไงคะ”

“หมายความตามเนื้อเพลงไง อย่างแกล้งโง่หน่อยเลยจันทร์เจ้า”

เธอยังไม่ทันได้ถามซ้ำ เพราะเธองงจริงๆ หรือจะเรียกว่าโง่กะทันหันก็ได้ แต่กลีบปากรุมร้อนบดทับเรียวปากอิ่มหนักๆ อีกครั้ง บดคลึงเนื้อนุ่มจนเกือบช้ำแล้วแยกปากหวานออกด้วยเรียวปากของตน เรียวลิ้นสากอุ่นแทรกเข้าไปดื่มด่ำความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าอย่างหิวกระหาย ได้ยินเสียงหวานครวญในลำคอ มือน้อยยกขึ้นเกาะเกี่ยวบ่ากว้างแน่น ก่อนจะคล้องต้นคอหนาเมื่อร่างของเธอลอยขึ้นจากพื้น

ไร้ฟูกนุ่มๆ มีเพียงหมอนและผ้าห่มผืนหนาเท่านั้น แต่จันทร์ดาราก็ไม่หวั่น แค่นี้ในป่ากว้างก็ถือว่าดีมากแล้ว

ร่างระหงถูกผ่อนให้นอนราบไปกับพื้น ตามติดด้วยร่างสูงแกร่งไปทั้งตัว เรียวปากหวานถูกจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงทอดถอนใจเพราะไฟรักที่เริ่มแผดเผา หัวใจติดปีกโบยบินไปไกล แสงจากคบไฟส่องร่างสองร่างที่คลอเคล้าไม่ห่าง กลีบปากอิ่มถูกดูดดึงขบเม้มหยอกเย้าเล่นสลับกับดูดดื่มเร่าร้อน มือหนาลูบไล้เรือนร่างนุ่มหวานไปทุกสัมผัส ร่างอิ่มขานรับตอบสนองด้วยการแอ่นหยัดพลิ้วไหวไปมา ซอกคออุ่นถูกเรียวปากร้อนขบเม้มประทับรอยจูบไปทั่ว

“เดี๋ยวค่ะ”

สุริยะชะงักงันคิ้วเข้มผูกเข้าหากันจนเป็นโบว์มุ่น

“อะไรล่ะ หืม...ไม่นะ พี่ถอยไม่ได้แล้ว”

“จันทร์เจ้าแค่จะบอกว่า...รู้สึกเหมือนจะมีไฟแดง”

“ห๊า...ว่าอะไรนะ”

ชายหนุ่มร้องถามเสียงหลง แต่เขาไม่คิดจะเชื่อเธอ เพราะคนอย่างจันทร์ดาราเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ถ้าเขาเชื่อก็คงถูกหัวเราะเยาะแน่ ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง กางเกงขาสั้นก็ถูกกระตุกออกจากร่างบางตามด้วยชั้นในสีหวาน โดยที่เจ้าของพยายามปัดป้องทุกวิถีทาง

จันทร์ดาราไม่ได้โกหก เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ครบกำหนดที่จะมีประจำเดือน เธอจึงรีบบอกเขาก่อนจะทำผิดกฎจราจร

“ไหน” สุริยะสอดปลายมือเข้ากลางร่างสาว ค้นหาความผิดปกติสำหรับเขา แต่เป็นความปกติที่ธรรมชาติกำหนด แล้วเขาก็ยิ้มกริ่มเมื่อปลายนิ้วเรียวสัมผัสความนุ่มที่เริ่มเคยชินขึ้นมาทีละนิด มันไม่มีสิ่งผิดปกติสำหรับเขา แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขาต้องแปลกใจ

“ทำไมเป็นแบบนี้”

จันทร์ดารานึกว่าเขาสัมผัสโดนไฟแดงของเธอ จึงดึงมือหนาออกดวงตาจับจ้องไปที่ปลายนิ้ว

“เอ๊ะ! ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วทำไมต้องทำหน้าแปลกใจขนาดนั้นด้วย”

เธอคิดว่ารอบเดือนคงใกล้มาเต็มทีเพราะรู้สึกเจ็บทรวงอกเหมือนทุกครั้งที่มีวันนั้นของเดือน แต่เธอไม่เข้าใจคำถามและสีหน้าแปลกใจของเขา

“จะไม่ให้แปลกใจได้ไง ในเมื่อพี่เล้าโลมจันทร์เจ้าตั้งนาน แต่ก็ยังไม่เปียกเลยสักนิด”

คำบอกนั้นทำให้เธอหน้าแดงก่ำ มือน้อยทุบพลั่กไปบนอกกว้างแก้เขิน

“คนบ้า พูดออกมาได้ หน้าไม่อายเลยจริงๆ”

“อ้าว...ก็จริงนี่นา ครั้งก่อนก็มีนี่ แล้วทำไมครั้งนี้ไม่มี หรือไม่ได้สังเกตนะ”

“โอ๊ย! ไม่พูดด้วยแล้ว คนลามก พูดมาได้เค้าอายนะ”

“ไม่ต้องอายหรอก ไม่เป็นไรไม่เปียกก็ทำให้เปียกได้ หึ หึ...”

สุริยะจบคำพูดด้วยการเลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากนุ่มซึ่งไม่ได้เกี่ยงงอน แถมยังตอบรับด้วยปลายลิ้นเรียวเล็กที่ส่งเข้ามาในโพรงปากร้อน ชายหนุ่มครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจที่จันทร์ดาราไม่เกี่ยงงอน มือหนาเคลื่อนไปตามเรือนร่างอิ่ม สัมผัสทรวงอกนุ่มเคล้นคลึงหนักเบาสลับกันไป ก่อนจะสอดฝ่ามือเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตสีหวาน สัมผัสผิวเนื้อเนียนลื่นละมุนมือ นวดคลึงหน้าท้องแบนราบวนรอบๆ อย่างต้องการปลุกอารมณ์ของหญิงสาวให้คุกรุ่น

มือบางลูบไล้บ่ากว้างกำยำ ความลืมตัวลืมใจทำให้เธอปลดกระดุมเม็ดแรกบนเสื้อลายสก๊อต กรีดปลายนิ้วย้ายลงมาปลดกระดุมเม็ดที่สองและสามลงมาตามลำดับ สุริยะครางลึกในลำคอให้กับอารมณ์ของจันทร์ดารา มุมปากได้รูปกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ เขาถอนริมฝีปากออกยิ้มกริ่มชิดกลีบปากหวานยื่นปากจูบซ้ำเบาๆ ย้ายมาจูบมุมปากอิ่มและเลื่อนเลยมายังพวงแก้มนุ่ม

เสื้อเชิ้ตสีหวานถูกถอดออกจากร่างบางในเวลาต่อมา ดวงตาสองคู่สบกันท่ามกลางแสงไฟจากคบที่ดามอยู่ข้างห้อง จันทร์ดาราปรือตาลงเมื่อมือหนาเคลื่อนมาโอบปทุมคู่งามอย่างเป็นเจ้าของ ดวงตาคมเจ้าของมือร้ายกาจยังคงมองสบดวงตาที่หรี่ปรือยิ้มๆ ก่อนกดจูบลงบนหน้าผาก ปลายจมูกโด่งเล็ก พวงแก้มนุ่มทั้งสองข้าง และหยุดลงที่กลีบปากหวาน

สุริยะดูดกลีบปากอิ่มอย่างหยอกเย้า เขาไม่เคยรู้สึกอิ่มในตัวหญิงสาวเลย ยิ่งได้ลิ้มรสแบบค่อยๆ ชิมทีละนิดทีละหน่อยแบบนี้ยิ่งกระตุ้นให้อยากเมกเลิฟเธอมากขึ้น เมื่อคิดถึงการเมกเลิฟปลายนิ้วแกร่งก็ลูบไล้สามเหลี่ยมใจกลางร่างสาว วกเข้าหาความนุ่มที่ไม่ได้แห้งผากอีกต่อไป

“หึ หึ...” เขาหัวเราะในลำคอให้กับความน่ารักของหญิงสาว และส่งเรียวนิ้วเข้าไปทักทายเกสรดอกไม้แสนสวย สะกิดเบาๆ และกดลึกเข้าหาความอุ่นร้อน กล้ามเนื้อเล็กๆ ตอดรับการรุกรานได้อย่างน่ารัก จนเขาต้องมอบรางวัลเป็นจูบหวานซ่านใจให้เธอ

สุริยะขยับปลายนิ้วเข้าออก ริมฝีปากก็ดูดรัดเรียวลิ้นเล็กๆ สีชมพูสดแสนหวาน มือข้างหนึ่งก็ไม่ให้เว้นว่างคลึงปทุมงามเปลือยเปล่าเพราะเขาได้เปิดทางไว้ก่อนแล้ว ยอดทรวงสล้างถูกคีบดึงเบาๆ อย่างหยอกเอิน ริมฝีปากร้อนผ่าวไต่ลงมาตามลำคอระหง ขบเม้มผิวเนื้อเนียนหอมกรุ่นจนเกิดรอยแดงเป็นจ้ำๆ เขาตั้งใจจะฝากรอยรักให้จารึกลงในหัวใจดวงน้อย ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่ารอยรักที่เขาฝากไว้ทุกครั้งมันฝังรากลึกในหัวใจเธอตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

ชายหนุ่มเลื่อนริมฝีปากเข้าครอบครองยอดทรวงสีสวย ดูดกลืนเข้าโพรงปากร้อนอย่างหิวกระหาย ร่างกายส่วนอื่นก็เคลื่อนไหวไปตามครรลองธรรมชาติ

หัวใจดวงน้อยของจันทร์ดาราโบกบินไปตามปุยเมฆขาวสวยที่สุริยะสร้างขึ้น ร่างบางบิดกายพลิ้วไหวอย่างสะท้านซ่านทรวงงดงามเหมือนดอกไม้บานสะพรั่งต้องลมหนาว ผิดกันก็แต่นี่เป็นลมร้อน ความร้อนจากไฟรักที่กำลังโหมกระหน่ำพัดพาทุกอย่างรอบกายให้มอดไหม้เป็นจุล เสียงคร่ำครวญเหมือนคนบาดเจ็บลอยมาให้ได้ยินจากที่ไกลๆ จนหญิงสาวคิดว่าหูตัวเองคงฝาด แต่พอลืมตาเห็นศีรษะที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางร่างนุ่ม เธอก็ต้องกัดริมฝีปากแน่นเมื่อรู้แน่ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงครางของเธอเอง

สุริยะปรนเปรอหญิงสาวจนชุ่มฉ่ำเตรียมพร้อมรับความกำยำที่อยากรุกรานร่างน้อยจนปวดหนึบ ริมฝีปากได้รูปดูดดื่มน้ำค้างกลางป่ากว้างที่หวานล้ำ โบกสะบัดปลายนิ้วแกร่งขยับลึกสลับส่ายวนราวกับเป็นสัดส่วนสำคัญ ที่กำลังผงาดล้ำและยังไม่ได้ปลดปล่อย กล้ามเนื้อเล็กๆ ตอดรัดเรียวนิ้วถี่ระรัวในขณะที่ร่างบางหยัดกายเข้าหา เสียงหวานครวญครางไม่ได้ศัพท์ และเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจึงต้องเลื่อนกายขึ้นจูบดูดกลืนเสียงครางกระเส่านั้นเข้าลำคอของตนเอง

“ที่รัก...ใจเย็นๆ ถ้าเสียงดังเกินไป คนอื่นจะรู้เอานะว่าไม่ได้มีไฟแดงจริงๆ”

เขาอดกระเซ้าเย้าแหย่เธอไม่ได้ ก็เธอน่ารักขนาดนี้แล้วเขาจะอดใจไหวได้ยังไง ต่อให้วันนี้จันทร์ดารามีรอบเดือนจริง เขาก็คงทำผิดกฎจราจรเป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่มแน่ๆ

ผู้พันหนุ่มรูปงามถอดถอนเรียวนิ้วออกจากความชุ่มฉ่ำและอุ่นร้อน เขาผละจากร่างบางชั่วครู่ แต่นั่นก็ทำให้จันทร์ดาราใจหายจนต้องเอื้อมมือตามไปไขว่คว้า

“ชู่ว์...แป๊บเดียวนะ พี่ขอเวลาแป๊บเดียว”

เขาเปลื้องเสื้อผ้าที่เหลือออกจากกายแกร่งจนร่างกำยำเปลือยเปล่า ปากก็พร่ำพรอดบอกขอเวลาไปตามเรื่อง ก่อนทาบทับร่างระหงปะพรมจูบไปทั่วร่างสาวอีกครั้ง

ปลีขาวเรียวสวยถูกช้อนขึ้นด้วยลำแขนกำยำ ความเป็นตัวตนถูกจดจ่อก่อนผลักดันเข้าแทรกลึกจนสุดทางสายหฤหรรษ์ ร่างสองร่างขยับสอดคล้องเข้าหากันเริ่มจากเนิบนาบ เชื่องช้าแต่ดิ่งลึกทุกอณูความรู้สึก เสียงหวานครางแหบพร่าประสานเสียงครางเบาๆ ของชายหนุ่ม ร่างสองร่างกลิ้งสลับทิศทางไปมา ต่างฝ่ายต่างมอบความเร่าร้อนให้แก่กันและกัน ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดซึ่งกันและกัน ซึมซับความหวามไหวเข้าในทรวงอกดื่มด่ำความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ แต่มั่นคง

สะโพกสอบบดคลึงฝังลึกและถอดถอนจนเกือบหลุด ก่อนจะถูกผลักดันเข้าไปใหม่ด้วยความรุนแรงและถี่รัวกว่าเดิม สวรรค์เห็นรำไรอยู่ไม่ไกล เพียงแค่เขาอัดสะโพกเข้าหาซ้ำอีกไม่กี่ครั้ง สวรรค์ก็ลอยต่ำลงมาให้ทั้งคู่กระโดดขึ้นไปหา

“พี่ยะ”

เสียงหวานเรียกเบาๆ เมื่อลมหายใจเป็นปกติ

“หืม...อยากต่อเหรอ”

เขาผละใบหน้าขึ้นจากทรวงอกนุ่มหยุ่น

“บ้าสิ เปื้อนหมดแล้ว”

สุริยะฉงนเล็กน้อยและพลิกตัวลงจากร่างนุ่ม หลุบเปลือกตามองความเป็นตัวตนที่ยังผงาดล้ำดังเดิม แล้วต้องนิ่งหน้าเมื่อเห็นว่ามีบางอย่างสีแดงเปรอะที่ส่วนนั้น

“ห๊า...” เขาทิ้งตัวลงราวกับคนหมดแรงในบัดดล ก็แหงล่ะเขายังอยากเมกเลิฟต่ออีกรอบ แต่...ถึงจะอยากยังไงตอนนี้หญิงสาวก็คงห้ามสุดเสียงแล้ว

“ทำยังไงดีล่ะคะ จันทร์เจ้าไม่มี เอ่อ...ผ.อ.น.ม. ด้วยล่ะ”

“อะไรเหรอ ผ.อ.น.ม.”

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งทำหน้าสงสัย

“ก็...ผ้าอนามัยไง ฮิ ฮิ” เธอเฉลยปนเสียงหัวเราะใสๆ “พี่ยะลุกเร็ว ไปหาผ.อ.น.ม.มาให้จันทร์เจ้าหน่อย”

เธอกระซิบบอก แต่เร่งยิกๆ ก็เรื่องของผู้หญิงมันห้ามหรือกลั้นเอาไว้ได้ที่ไหนกันล่ะ บทจะมามันก็มา บทจะไปมันก็ไป

“เอ่อ...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง ก็เขาเป็นผู้ชายจะให้ไปหาของแบบนี้ได้ที่ไหน

“เร็วพี่ยะ จันทร์เจ้าลุกไปหาเองไม่ได้ นะ...ไปถามหากับเมียผันก็ได้ เค้าน่าจะมีหรอก”

เธอแนะทางสว่างให้กับคนที่ไม่เคยรู้จักผ้าอนามัยเลยสักนิด เคยเห็นก็อยู่ในห่อตามร้านค้า แต่ข้างในเป็นยังไงนั้นเขาไม่รู้และไม่คิดจะอยากรู้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนนี้

สุริยะถอนใจแล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ก่อนเดินออกไปหาสิ่งที่หญิงสาวต้องการ เขาหยุดมองไปยังลานเล็กๆ เห็นแต่เพียงกองไฟที่ยังไม่มอด จึงหมุนไปหมุนมาอย่างตัดสินใจ

“บ้าฉิบ! ทำไมมึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะไอ้ยะ ไอ้งี่เง่าเอ๊ย เฮ้อ...ผู้หญิงนี่มันเรื่องมากมากเรื่องจริงๆ”

ปากก็บ่นพึมพำไปตลอดแต่ขายาวๆ ก็ยังก้าวไปข้างหน้า เขาตรงไปยังกระท่อมซึ่งเห็นผันเข้าไปเมื่อตอนเย็น ยืนทำใจอยู่หน้าประตูสักครู่ก็เคาะ

“ก๊อกๆ”

เขารออยู่สักครู่เมียของผันก็เปิดประตูออกมาในสภาพนุ่งผ้าถุงกระโจมอกผืนเดียว ต้องเน้นว่าผืนเดียวเพราะสุริยะไม่เห็นสายเสื้อชั้นในของเธอ สายตาหนุ่มมองออกว่าหญิงสาวตรงหน้าแทบเปลือยกายต่อหน้าเขาแล้ว

“อ้าว...พี่สุดหล่อนั่นเอง มีอะไรเหรอจ๊ะ”

มีนาเมียของผันจัดเป็นสาววัยขบเผาะ เพราะเธอเพิ่งจะมีอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น มีนาแทรกประตูออกมายืนประจัญหน้าสุริยะ ความสูงใหญ่ของเขาทำให้สาวร่างเล็กอย่างมีนาต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า และเธอก็เตี้ยกว่าจันทร์ดาราเสียอีก

“เอ่อ...พี่ผันไปไหนเสียล่ะครับ”

สุริยะเรียกผันว่าพี่อย่างให้เกียรติคนเจ้าถิ่น เขาไม่รู้หรอกว่าผันอายุเท่าไหร่จะมากกว่าหรือน้อยกว่าเขาก็ไม่รู้ แต่ขอเรียกพี่ไว้ก่อนแล้วกัน

“อ๋อ...พี่ผันเมาเหล้าหลับไปแล้ว ทำไมเหรอ มีอะไรบอกฉันได้นะจ๊ะ”

“เอ่อ...ผมอยากจะถามว่า เอ่อ...มีผ.อ.น.ม. เอ๊ย! ผ้าอนามัยบ้างไหมครับ คือว่าเมียผมเป็นประจำเดือนเยอะมาก แล้วก็ไม่มี...เอ่อ...ไอ้นั่นใช้”

“อ้าวเหรอ แย่จัง งั้นม้ากระทืบโลงที่กินเข้าไปก็สูญเปล่าสิ”

มีนาขยับร่างเข้าไปชิดร่างใหญ่ ส่วนเขาก็ถอยห่างเธอออกมาเสียสองก้าว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมผ่าไฟแดงไปเรียบร้อยแล้ว”

ตอบไปแล้วก็เสียวสันหลังวาบ ถ้าคนที่รอเขาอยู่ในอีกกระท่อมนึงได้ยินเข้า คงแทบเข้ามากางเล็บข่วนหน้าอันหล่อเหลาของเขาแน่แล้ว

“นั่นสินะ พี่ก็ดูท่าน่าจะคึกอยู่หรอก กล้ามเป็นมัดๆ แบบนี้มันน่า...”

“มีไหมครับ คือ...ผมอยากได้เร็วหน่อย ของแบบนี้มันกลั้นไม่อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

มีนาส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้สาวที่อยู่กระท่อมตรงข้าม เธอเห็นชายหนุ่มเมืองกรุงหน้าหล่อหุ่นล่ำบึ้กใกล้ๆ แบบนี้ก็อดเอาเปรียบเทียบกับผันไม่ได้ ขานั้นตัวไม่สูงใหญ่น่าฟัดแบบนี้นี่นา แหม...ถ้าได้กอดซุกอกล่ำๆ นั่นคงสยิวดีแท้ แต่เธอก็ต้องตัดใจเพราะผันคงเอาเธอตายแน่ ถ้ารู้ว่าเธอปันใจให้ชายอื่น ถ้าชายอื่นที่ว่าเล่นด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่...เขามีเมียสวยราวนางฟ้าแบบนั้น คิดแล้วก็ยิ่งอิจฉา

สาวร่างเล็กเดินเข้าไปในกระท่อมและส่งห่อผ้าอนามัยที่ยังไม่ได้แกะให้ชายหนุ่ม เขามองห่อผ้าอนามัยนั้นก็สงสัยว่าเธอไปหาซื้อมาจากไหน แล้วยังไม่ทันได้ถามเขาก็ได้คำตอบ

“เอาไปเถอะน่า พวกเราจะเก็บผักเก็บข้าวโพดไปขายในตลาดเดือนละครั้ง หาเงินมาซื้อของพวกนี้แหละ หรือถ้าได้ดีหน่อยก็ซื้อเสื้อผ้ามาใส่บ้าง”

“ที่นี่ปลูกผักปลูกข้าวโพดด้วยเหรอครับ”

“ใช่สิ ถึงแม้จะอยากอยู่กันอย่างสงบๆ แต่บางทีเราก็มีความจำเป็นต้องออกไปพบปะผู้คนบ้าง”

“แล้วตลาดที่ว่าอยู่ไกลไหมครับ” สุริยะได้ทีถาม

“โอ๊ย! ไกลมาก จากเส้นทางนี้ก็เดินเป็นวันๆ เลยล่ะ”

“อ้อ...” ชายหนุ่มถึงบางอ้อ แล้วพยักหน้าขอบคุณเธอ “ขอบคุณนะครับ นี่ครับเงิน ผมซื้อเลยแล้วกัน”

เขาส่งเงินจำนวนหนึ่งให้เธอ แบงก์สีแดงใบนั้นทำให้มีนายิ้มแป้นรีบคว้าเอาไว้ทันควัน

“ขอบคุณจ้ะ หล่อแล้วยังใจดีอีก”

“ไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มรีบขอตัวเผ่นแผล็วไปจากตรงนั้น ป่านนี้จันทร์ดาราคงรอจนหน้าบูดแล้ว

สุริยะกลับเข้ามาในกระท่อมเห็นหญิงสาวนั่งหนีบขาเข้าหากัน แล้วก็หน้าบูดจริงอย่างที่คิด

“ทำไมไปนานจัง คนจะรอไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

เธอคว้าหมับเข้าที่ห่อผ้าอนามัย แล้วรีบฉีกห่อออกมาอย่างรวดเร็วไม่สนใจจะดูยี่ห้อของมันด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ได้ทั้งนั้นเธอไม่เกี่ยง ขอให้มีใช้ก่อนแล้วกัน หญิงสาวจัดการวางทับกางเกงชั้นในและผนึกกาวเรียบร้อยก็ลุกขึ้นและสวมเข้าไปทันควัน เธอต้องปัดความอายจากสายตาคมกริบที่จ้องมองมาตาไม่กะพริบ

“คนไม่มีมารยาท มองอะไรไม่เคยเห็นรึไง”

“เมียโป๊น่ะเคยเห็น มองกี่ทีก็ไม่เบื่อ แต่ที่จ้องอยู่นี่มันทั้งสวยทั้งแปลกตาไง”

“แปลกตายังไงไม่ทราบ”

“ก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงใส่ เอ่อ...ผ.อ.น.ม. นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุญตาได้เห็นเลยนะ แต่คงจะได้เห็นอีกหลายครั้งแล้วล่ะ”

“ทำไม นี่...อย่าบอกนะว่าจะแอบดูเค้าใส่ผ้าอนามัยตลอดน่ะ คนบ้า นอกจากชีกอแล้วยังบ้าอีก”

“ก็อยากดูนี่ ไม่เคยเห็นน่ะ” สุริยะลดสายตาลงมองกางเกงชั้นในเป้าตุงๆ ของเธอแล้วหัวเราะ “ฮ่ะ ฮ่ะ แปลกดี ผู้หญิงนี่มีอะไรไม่คาดคิดเยอะเนอะ”

จันทร์ดาราหน้าเง้าขว้างเสื้อที่เธอยังไม่ได้สวมใส่หน้าชายหนุ่ม นึกเข่นเขี้ยวเขาในใจเพราะไม่อยากพูดออกไป พูดไปก็มีแต่เข้าตัวตลอด เธอเดินย่ำเท้าโครมๆ ไปล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปงเสียมิด

สุริยะส่ายหน้ามองเสื้อในมือตนสักครู่ก่อนโยนทิ้ง ไม่ต้องใส่หรอกคืนนี้ เขาเดินเข้าไปลดกายลงสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันโดยไม่ลืมถอดเสื้อออก เอวบางถูกคว้าหมับและดึงเข้าแนบร่างแกร่ง หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่คนจุ้นจ้านแล้วหันกลับมาอมยิ้มก่อนหลับตาลง

“จันทร์เจ้า เมื่อกี้นี้พี่ไปขอซื้อ...ไอ้นั่น จากเมียผัน เธอบอกว่าเสียดายม้ากระทืบโลงที่กินเข้าไปจัง”

“เอ๊ะ...ทำไมคะ” เธอลืมตาขึ้นแล้วเอียงหน้าถาม

“นี่ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ ไอ้เหล้าป่าม้ากระทืบโลงที่ลุงผวนส่งมาให้พี่กินน่ะมันบำรุงกำลังนะ เขาบอกว่ากินเข้าไปแล้วมันจะคึกเหมือนม้าศึก”

“ฮิ ฮิ แล้วเหมือนมั้ยล่ะคะ ม้าศึกที่อดอยาก คงหิวโซพิลึก”

เธอหันไปแซวหน้าแป้นแร้น ชายหนุ่มจึงหอมแก้มนวลฟอดใหญ่อย่างหมั่นเขี้ยว

“บอกไปแล้วจะหาว่าคุย เหล้าป่านั่นน่ะไม่มีผลอะไรกับพี่หรอก ต่อให้ม้าทั้งฝูงกระทืบโลงเลยด้วย พี่ไม่จำเป็นต้องกินมันก็คึกกว่าม้าพวกนั้นอยู่แล้ว” พอเห็นสีหน้าสะท้อนแสงไฟเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ เขาก็ยิ้มกริ่ม “ไม่เชื่อเหรอ ถ้าไม่เชื่อต้องพิสูจน์”

“ไม่ค่ะ” จันทร์ดารารีบตอบแล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหา มือน้อยยืนยันคำตอบด้วยการยันอกกว้างไว้มั่น “ไม่นะคะ ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อกี้ก็ทีนึงแล้ว”

“นี่...” สุริยะคิดหาหนทางมาล่อหลอกอย่างเจ้าเล่ห์ “เมื่อก่อนนะ เพื่อนพี่มันชอบเอามาเล่าคุยกันในกลุ่ม ว่าเมกเลิฟกับสาวๆ คนนั้นคนนี้ที แบบไหนท่าไหนบ้าง จนมันบอกว่ามีอยู่คนนึงที่มันทำอย่างว่าในขณะมีวันเบาๆ นี่...รู้เปล่า มันบอกว่ามันส์ขนาดไหน” ไม่พูดเปล่าแต่แววตายังกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์และกระหายรัก

“บ้าสิ ไม่ต้องมาหลอกจันทร์เจ้าเลยนะ พี่ยะไม่รู้เหรอว่ามันสกปรก” เธอเห็นเขากะพริบตาปริบๆ ก็พูดเสริม “จริงนะคะ จันทร์เจ้าไม่โกหก ไม่ได้เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างพี่ยะหรอกค่ะ ความสกปรกมันจะทำให้ผู้หญิงติดเชื้อนะคะ”

“เหรอ” เขาเริ่มคิดตามที่เธอพูด ถึงจะไม่รู้เรื่องกลไกในร่างกายของผู้หญิงดีพอ แต่ก็คิดว่าน่าจะจริงอย่างที่เธอพูด ก็ถ้ามันสะอาดแล้วร่างกายจะขับมันออกมาทำไม

“เฮ้อ...สงสัยม้าหนุ่มลำพองตัวนี้ต้องห่อเหี่ยว หิวโหยอดโซอย่างที่พูดจริงๆ ซะแล้ว”

“ฮิ ฮิ จันทร์เจ้าเป็นอย่างมากก็แค่สามวันค่ะ”

เธอกระซิบบอกเพราะสงสาร เธอเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา แต่ตอนนี้คงทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอก

“สามวันแน่ะ เราก็คงกลับออกไปจากป่านี่ได้แล้วมั้ง พี่คงอดตามเคย”

สุริยะนอนแผ่หราอย่างหมดท่า แค่คิดถึงเวลาตั้งสามวันที่จะไม่ได้เมกเลิฟเธอเขาก็เศร้าใจแล้ว รู้สึกเหมือนวัวที่เดินอยู่กลางทะเลทรายเวิ้งว้าง ไม่มีหญ้าให้กินคงผอมลงๆ แล้วต้องตายในที่สุด คิดแล้วก็อยากตะโกนให้กระท่อมแตก เกิดมาไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้แบบนี้เลย โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ที่ผ่านมาห่างหายจากรสสวาทนานก็เพราะเบื่อมากกว่าหรืออาจเป็นเพราะหาที่ถูกใจไม่ได้สักที

เขาหันไปมองคนตัวบางแต่มีสัดส่วนอวบอิ่มได้อย่างลงตัวและงดงามหาที่เปรียบได้ยาก หัวใจแกร่งไหวสะท้านเมื่อถามตัวเองว่าแล้วคนข้างๆ นี่ล่ะ ใช่คนที่ถูกใจแล้วหรือยัง แต่ถึงแม้จะใช่ เธอคนนี้ก็มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว

“นอนเถอะจ้ะ หลับตาซะก่อนที่พี่จะทำใจไม่ได้ ขับรถผิดกฎจราจรอีกรอบ”

คำขู่แกมปลอบใจทำให้จันทร์ดาราจูบปลายคางบึกบึนแผ่วเบา เธอหลับตาลงด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ขอแค่วันนี้ตอนนี้นาทีนี้มีเขาอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว ถ้ากลับไปแล้วต้องแยกจากกันก็ขอแค่นี้ หวังว่าพระเจ้าคงจะเมตตาเธอให้สุขสมหวังแค่ในกลางป่านี้ก็ยังดี

ผู้กองระบิลมองกระดาษในมืออย่างครุ่นคิด หนี้สินจำนวนมากระหว่างเขาและนายพลจักรกฤษทำให้เขาต้องคิดหนัก อยากหาเงินมาใช้หนี้ให้เร็วที่สุดถ้าทำได้ แต่เงินสามล้านไม่ได้เสกขึ้นมาได้ง่ายๆ แล้วเขาจะทำยังไงดี

ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงเมื่อครั้งอดีต สาเหตุที่เขาต้องเป็นหนี้มากมายขนาดนี้เพราะอาการป่วยของมารดานั่นเอง ตอนนั้นมารดาต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอย่างเร่งด่วน เมื่อผ่าตัดแล้วก็ยังต้องได้รับการรักษาและดูอาการอย่างใกล้ชิดจากหมอ นายพลจักรกฤษเป็นคนช่วยจัดการเรื่องทั้งหมดให้ตั้งแต่หาหมอเก่งๆ มารักษามารดาจวบจนเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด รวมๆ แล้วก็เหยียบสามล้าน ระบิลไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วถึงสามล้านไหมแต่เป็นเพราะบุญคุณของท่าน ทำให้เขายอมรับภาระหนี้สินตามจำนวนเงินที่บอก ฐานะทางบ้านถือว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไร ท่านนายพลเห็นความดีก็เลยคิดจะยกลูกสาวให้ดูแลเป็นการชดใช้แทนหนี้สินทั้งหมด

กับจันทร์ดาราเธอก็เป็นคนน่ารักสดใสร่าเริงสมวัย เธอสวยเรื่องนี้เขาไม่ปฏิเสธ แต่เขาไม่ได้รักเธอและเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รักเขา หญิงสาวปฏิเสธบิดาไม่ได้ก็ยอมรับการหมั้นหมายเหมือนที่เขาหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ การคบหาดูใจกันในระยะหนึ่งทำให้เขายิ่งรู้ว่าเอ็นดูจันทร์ดาราเหมือนน้องสาวเท่านั้น

ระบิลกดโทรศัพท์ไปหามารดา ตอนนี้อาการของท่านเกือบเป็นปกติแล้ว นี่ล่ะบุญคุณที่เขาต้องทดแทน

“แม่ครับ”

“บิลเหรอลูก เป็นยังไงบ้างเมื่อไหร่จะกลับมาสักที”

นางรักดาว บวรกิจโสภณ ถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เพราะเขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว ถ้าระบิลอยู่ที่กองประจำการณ์ที่นครราชสีมา เขาก็จะกลับไปเยี่ยมมารดาได้ทุกอาทิตย์ แต่ช่วงนี้งานยุ่งๆ แล้วยังต้องมาราชการที่ลพบุรีอีก เขาก็เลยไม่ได้กลับไปบ้านหลายเดือนแล้ว คนเป็นมารดาก็ย่อมเป็นห่วงเป็นใยเป็นธรรมดา

“อีกไม่นานหรอกครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมสบายดี”

“เหรอลูก แม่ก็สบายดีไม่ต้องห่วงแม่นะลูก”

“ผมรักแม่นะครับ”

“แม่ก็รักลูกจ้ะ อ้อ...แล้วหนูจันทร์เจ้าเป็นยังไงบ้างล่ะ ตอนนี้หายหน้าไปเลย แต่ก่อนจะมาหาแม่เล่าโน่นนี่ให้ฟังตลอด เป็นยังไงไม่รู้พักนี้ไม่มาหาแม่เลย”

“จันทร์เจ้า...สบายดีครับแม่ ตอนนี้เธอไปเที่ยวน่ะครับ เดี๋ยวกลับมาก็คงไปคุยกับแม่เหมือนเดิม”

ระบิลปัดเรื่องจริงออกไป การบอกเรื่องร้ายๆ ให้คนที่ใกล้จะหายจากการเป็นโรคหัวใจมันไม่เหมาะนัก แทนที่จะหายอาจกลับเป็นเหมือนเดิมอีกก็ได้

“อ๋อ...ที่แท้ก็ไปเที่ยวนั่นเอง หนูจันทร์เจ้าน่ารักนะลูก คุยกับแกแล้วแม่หัวเราะได้ทั้งวันเลย”

“หึ หึ ครับ แม่ครับแค่นี้ก่อนนะครับ รักแม่มากครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับแม่”

“จ้ะ ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”

ระบิลยิ้มกับโทรศัพท์แล้วถอนใจยาว แม่ของเขาหลงรักจันทร์ดาราเข้าให้แล้ว ถ้าลูกสะใภ้ของแม่ไม่ใช่จันทร์ดารา แม่จะว่ายังไงนะ แปลกที่ตอนนี้สมองของเขากลับคิดไปถึงรอยยิ้มหวานๆ ของใครบางคน สาวเฉิ่มใส่แว่นหนาเตอะคนนั้น

ท่านนายพลจักรกฤษเดินวนไปเวียนมาหลายรอบ จนคุณหญิงชดช้อยต้องยกมือกุมขมับ เธอรู้ว่าสามีเป็นห่วงลูกมากแค่ไหนเธอเองก็ไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นสามีเป็นทุกข์เป็นร้อนแบบนี้เธอก็ยิ่งทุกข์ใจ

“คุณพี่คะ อิฉันเวียนหัวแล้วนะคะ”

“ก็พี่เป็นห่วงลูกนี่นา ทำไมป่านนี้สุริยะยังไม่ส่งข่าวมาเลย หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่รู้”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณพี่ อิฉันก็เป็นห่วงลูกมาก แต่ต้องคิดไปในทางที่ดีก่อน ตอนนี้เรามาช่วยกันภาวนาดีกว่าค่ะ ขอให้ผู้พันยะช่วยลูกของเรากลับมาได้”

“แต่มันสองวันแล้วนะคุณหญิง”

“คุณพี่ส่งผู้พันยะไป เพราะเชื่อในฝีมือของเขาไม่ใช่เหรอคะ ถ้างั้นคุณพี่ก็ควรจะเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องพาลูกสาวเรากลับมาให้ได้””

“นั่นสินะ พี่มองไม่เห็นว่าใครมีฝีมือดีพอและน่าไว้ใจให้ไปช่วยลูกของเราได้ นอกจากผู้พันยะ ถ้าผู้กองระบิลอยู่ก็ดี”

“เอาเถอะค่ะ อิฉันไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน ขอให้คุณพระคุ้มครองลูกของเราด้วย ยัยหนูเป็นเด็กดีมาตลอด คนดีต้องตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะคะ”

“พี่ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

“ลูกชายดิฉันไม่ติดต่อมาหาดิฉันบ้างเลยค่ะเจ้า”

หม่อมราชวงศ์นภดล แสงสุรียกานต์ หันไปมองหน้าภรรยาสุดที่รัก ซึ่งเปรยขึ้นถึงลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ หม่อมสิฐิรา แสงสุรียกานต์กำลังคิดถึงลูกชายของเธอกับสามีเก่า นายรังสรรค์ สุริโยปกรณ์ แต่ตอนนี้นายรังสรรค์ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปนานแล้ว เธอจึงได้มาพบรักกับเจ้านายทางเหนืออย่างหม่อมราชวงศ์นภดล แสงสุรียกานต์ ลูกชายของเธอไม่เคยห้ามหรือแสดงออกถึงความไม่ชอบใจ ที่แม่ของเขาจะแต่งงานใหม่กับเจ้านายทางเหนือ หม่อมราชวงศ์นภดลเคยขอให้ชายหนุ่มมาใช้นามสกุลแสงสุรียกานต์ แต่เขาก็ปฏิเสธเพราะอยากใช้นามสกุลของบิดาบังเกิดเกล้ามากกว่า

“หม่อมก็...งานของเขาคงกำลังยุ่งน่ะ เดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาเอง”

“ดิฉันมีความรู้สึกเหมือนลูกไม่อยากมาหาดิฉันยังไงไม่รู้”

“หม่อมคิดมากไป ผมว่าเขาต้องมีความจำเป็นบางอย่างที่ติดต่อเราไม่ได้ ลูกชายของหม่อมเขาเข้มแข็งและเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองขนาดไหน หม่อมก็น่าจะรู้ดีนี่นา แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะ”

“อะไรเหรอคะเจ้า”

“ผมเชื่อว่าลูกชายหม่อมรักแม่ของเขามาก”

หม่อมสิฐิรามองสามีสูงศักดิ์ของเธออย่างขอบคุณ เธอได้สามีดีและเธอก็เชื่อว่าลูกชายของเธอดีไม่แพ้กัน แต่ความเป็นคนคิดมากเสมอทำให้บางครั้งอาจคิดนอกลู่นอกทางบ้าง จึงอดหวาดระแวงไม่ได้กลัวว่าลูกจะเสียใจที่เธอมีพ่อใหม่ให้เขา แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่เคยปริปากบ่นเลยสักครั้งก็ตาม ป่านนี้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel