บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

5

“เสร็จแล้วเรอะ” ลุงผวนถามเมื่อเห็นทั้งคู่เดินกลับมา

“ครับ ขอบคุณมากนะครับลุง”

“เอ้อ...คงหิวกันแล้วสินะ เดี๋ยวมาทานข้าวด้วยกันนะ ส่วนคืนนี้เอ็งกับเมียก็นอนในนี้แล้วกัน ข้าจะออกไปนอนบ้านลูก”

“ครับ” สุริยะตอบรับ ลุงผวนยื่นเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คนทั้งคู่ ก่อนบอกเรียบๆ

“เปลี่ยนซะ ไม่ดีแน่ถ้าเอ็งจะอยู่ในชุดทหารแบบนี้ เอ็งคงเข้าใจที่ข้าพูดนะไอ้หนุ่ม ไม่ว่าเอ็งจะเป็นใครมาจากไหน สำหรับข้า เอ็งกับเมียก็เป็นเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ที่นี่ได้ตามความพอใจ แต่ขออย่างเดียวอย่าเอาเรื่องของพวกเราไปบอกใคร”

คำพูดนั้นของลุงผวนทำให้สุริยะยิ้ม อย่างน้อยเขาก็แน่ใจได้อย่างว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ในอดีตจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องการอยู่อย่างสงบๆ เท่านั้น เมื่อลับร่างลุงผวนซึ่งงับบานประตูปิดให้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว จนคนข้างๆ ตกใจและผงะหนีหันหลังให้ฉับ

“อ๊าย...ทำไมจะถอดไม่บอกกันก่อนล่ะ คนบ้า คนชอบโชว์ มีของดีนักหรือไงนะ ถึงชอบอวดชาวบ้านแบบนี้”

“ดีไม่ดีก็ทำให้เจนครางเสียงดังได้ก็แล้วกันล่ะ” ชายหนุ่มแกล้งเดินเข้าไปยืนชิดด้านหลัง แล้วเบียดความเป็นชายเข้าหาสะโพกงอนเช้ง “ชอบมะ ชอบมะ รูปร่างหน้าตาแบบนี้มีของดีๆ ชอบมะ ชอบมะ”

“บ้า!”

จันทร์ดาราหันมาผลักร่างหนา แต่การหมุนตัวเร็วๆ โดยมีร่างหนาประกบอยู่ด้านหลังทำให้สะโพกกลมกลึงถูไถไปกับความกำยำในกางเกงชั้นในชายสีดำของสุริยะ

“โอ้วๆ”

ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงครางดังๆ แล้วทำปากห่อเหมือนเวลาที่เขาเมกเลิฟกับเธอ

“บ้าๆๆๆ คนอะไรบ้าชะมัด”

หญิงสาวทุบชายหนุ่มเข้าไปหลายที เธอจ้ำอ้าวเปิดประตูกระท่อมหลังน้อยออกไป และกระแทกประตูปิดเต็มแรง

“คนบ้า คนผีทะเล คนลามก อยากเกลียดที่สุดเลย”

จันทร์ดาราบ่นอุบยกแขนขึ้นกอดอกหน้างอหงิกอย่างไม่สบอารมณ์ แถมยังได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากในกระท่อมอีก ปากนุ่มขมุบขมิบสวดเจริญพรให้คนที่อยู่ข้างในไม่ลดละ

“นังหนู ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ ป้าเอาชุดของป้าให้เอ็งใส่ไปก่อน ชุดของเอ็งมันทั้งดำและเหม็นเอาไปซักตากเสียหน่อยคงดีนะ”

ป้าลำยองเดินถือกระด้งที่มีเนื้อหั่นเป็นชิ้นบางๆ วางอยู่บนนั้น เห็นหญิงสาวชาวกรุงยืนหน้าเขียวๆ แดงๆ หงิกๆ งอๆ อยู่หน้าประตูก็ตะโกนบอก

จันทร์ดาราฝืนยิ้มออกไป เธอปล่อยมือจากท่ากอดอกแล้วเดินเข้าไปหาป้าลำยอง เธอมองเนื้อบนกระด้งที่ป้าลำยองกำลังกลับด้านนั้นอย่างสนใจ

“ป้าจ๊ะ นี่เนื้ออะไรเหรอจ๊ะ”

“อ๋อ...เนื้อหมูน่ะ ข้าจะทำหมูแดดเดียว แต่คงไม่ได้กินวันนี้แล้วเพราะแดดกำลังจะล่ม”

“แล้ว...หมูนี่ป้าไปเอามาจากไหนเหรอคะ” หญิงสาวถาม และพอเห็นสายตาของป้าลำยองเธอก็บอก “เอ่อ...เจนสงสัยค่ะ กลางป่าลึกแบบนี้พวกป้าอยู่กันยังไง อาหารการกินเป็นยังไงบ้าง”

“พวกเราทำนาปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกผักไว้กินเองทั้งนั้น เรามีกันแค่สิบคน ก็ทำนาแปลงเล็กๆ แค่พอมีไว้กิน ปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกต้นพริกด้วยเผื่ออยากกินเผ็ดๆ แล้วก็เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลาก็โน่น...ไปหาเอาที่ลำธาร ที่นี่อุดมสมบูรณ์เพราะมีทางน้ำไหลผ่าน อยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่...”

“แต่อะไรจ๊ะป้า”

“แต่อย่าให้ใครรู้ เพราะการทำนามันก็ต้องถางป่า แต่ที่นาของเราไม่กว้างจนเป็นที่สังเกต พวกเราจึงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ไง”

จันทร์ดาราถึงบางอ้อเดี๋ยวนั้น

“แล้วเสื้อผ้า หรือพวกน้ำมันน้ำปลา พวกเครื่องครัวล่ะจ๊ะหาได้ที่ไหน”

“น้ำมันก็มาจากหมูไงอีหนู เลี้ยงหมูเอามาเชือดกินก็เอามันของหมูมาเคี่ยว แต่ส่วนมากพวกเราจะใช้วิธีย่างมากกว่า กินมันมากๆ ไม่ดี ส่วนพวกน้ำปลาผงชูรสน่ะไม่มีหรอกนะ ที่นี่กินอาหารจืดๆ อาหารเพื่อสุขภาพน่ะ กินเค็มมากๆ ก็เป็นไต ก็หวานมากๆ ก็อ้วน เพราะงั้นกินจืดนี่ล่ะดีที่สุด ผลไม้ของป่าหาได้เยอะแยะ เห็ดก็มี แต่ก็กินได้แค่บางชนิดนะ เพราะบางชนิดมันเป็นพิษ”

จันทร์ดาราถึงบางอ้อ แล้วก็อึ้งทึ่งไปกับความเป็นอยู่ของพวกเขา อยู่อย่างพอเพียงจริงๆ นี่เงินทองคงไม่จำเป็นต้องใช้ แต่พอเหลือบตาลงเห็นรองเท้าแตะของป้าลำยอง เธอก็อยากถามถึงเมล็ดพันธุ์ข้าวและเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ป้าลำยองก็เดินหนีไปเสียแล้ว

“เจนมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไปๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”

ชายหนุ่มออกมาจากกระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตกับกางเกงขาก๊วยสีมอๆ ผิดแผกไปจากปกติมาก แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ในชุดอะไร จันทร์ดาราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อชะมัด เมื่อรู้ตัวว่าแอบชื่นชมคนบ้าอยู่ในใจ เธอก็มองตาเขียวและสะบัดหน้าแรงๆ จนชายหนุ่มกลัวว่าคอเล็กๆ จะหลุดออกจากบ่า

“สะบัดหน้าบ่อยๆ ระวังคอหลุดนะ ขี้เกียจเก็บเอามาต่อให้”

“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่พูดมากรู้มั้ยว่าขี้เกียจฟัง”

“ไม่พูดก็ได้ เอาไว้จะทำให้ครางแทนก็แล้วกัน หึ หึ...”

ร่างสูงซึ่งดูแปลกตาเดินไปยังจุดที่ลุงผวนและพวกยืนอยู่

หญิงสาวเข่นเขี้ยวในใจ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายปากร้ายแบบนี้ รอบตัวเธอมีแต่คนพูดจาหวานหูไม่มีคนกวนโอ๊ยแบบนี้เลยสักคน สมแล้วที่เธอเรียกว่าราหู เพราะถึงจะล้างหน้าให้หายดำยังไง จะดูดีแค่ไหนเขาก็ยังเป็นราหูอยู่วันยังค่ำ จันทร์ดาราคิดและลืมไปว่าเธอเป็นดวงจันทร์เมื่อเข้าใกล้เขาก็จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ‘ราหูอมจันทร์’

สุริยะเห็นลุงผวนและพวกก่อฟืนกลางลานเล็กๆ พวกเขาใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่นี่แน่นอนว่าไม่มีไฟใช้ ดังนั้นพอเวลาใกล้ค่ำต่างก็เริ่มก่อกองไฟและดามไว้เป็นจุดๆ การจุดไฟและดามไว้นั้นไม่ได้เป็นการให้ความสว่างอย่างเดียว แต่ยังเป็นการป้องกันการมาเยือนของสัตว์ร้ายอีกด้วย

“อ้าว...หิวกันรึยังล่ะ ที่นี่มีแต่อาหารบ้านๆ ธรรมดานะ รสชาติก็จืดกับเผ็ดเท่านั้น อีหนูนั่นจะกินได้หรือเปล่าล่ะ”

“กินได้ค่ะ แหะๆ ขอให้มีกินก็พอแล้ว”

จันทร์ดาราลูบท้องไปมา เธอไม่อยากบอกว่าตอนนี้หิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ งั้นมาสิมาๆ ล้อมวงกินพร้อมกัน”

สุริยะและจันทร์ดาราทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินก้อนเดียวกัน หมูย่างส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกจนคนหิวโซอย่างจันทร์ดารามองอาหารอันโอชะ ซึ่งถูกย่างอยู่บนกองไฟตาละห้อย ร่างสูงที่นั่งข้างๆ เห็นก็อยากหัวเราะลั่น แต่เอาไว้ก่อน เก็บเสียงไว้ก่อนดีกว่า

ลุงผวนส่งเนื้อหมูเสียบไม้ย่างสุกแล้วส่งให้หญิงสาว

“วันนี้เป็นหมูป่า ไอ้ผันมันล่าหมูป่ามาได้ ลองกินสิอร่อยไม่แพ้หมูบ้านหรอกนะ”

จันทร์ดารากลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก เธอไม่เคยกินหมูป่ามาก่อนและคิดว่ารสชาติของมันก็คงไม่ต่างกันนัก แล้วตอนนี้เธอก็หิวมากด้วย ไม่ว่าจะให้เธอกินอะไร เธอกินได้หมด

หญิงสาวชาวกรุงกัดเนื้อหมูร้อนๆ เข้าปาก แล้วก็ร้องลั่นปากร่อนไปหมดเพราะความร้อนนั้นทำให้ลิ้นของเธอพอง

“โอ๊ย! ร้อนๆๆๆ”

“เอ้า...กินน้ำซะ อีหนูนี่ท่าจะหิวมากจริงๆ”

ป้าลำยองส่งกระบอกไม้ไผ่ซึ่งมีน้ำอยู่เต็มให้หญิงสาว พร้อมเสียงหัวเราะอย่างขำๆ

จันทร์ดาราดื่มน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ แปลกที่รสชาติของน้ำนั้นอร่อยและเย็นชื่นใจเหมือนน้ำในตู้เย็นที่บ้านยังไงยังงั้น

“กินดีๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอกเจน” สุริยะเตือนเมื่อเห็นหญิงสาวดื่มเอาๆ อย่างกระหาย

จันทร์ดาราส่งกระบอกไม้ไผ่ให้สุริยะ ชายหนุ่มหลุบตาลงมองรอยปากของหญิงสาวบนกระบอกไม้ไผ่นั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะจรดปากของตัวเองลงทับรอยนั้น หญิงสาวไม่สังเกตเห็นเพราะเธอสนใจแต่หมูในมือของตัวเอง มือใหญ่คว้าไม้เสียบหมูจากมือน้อยมาถือไว้ โดยมีสายตาของจันทร์ดารามองตามอย่างขุ่นเคือง แต่พอเห็นเขากำลังเป่าลดความร้อนให้ เธอก็ต้องเงียบมองการกระทำนั้นด้วยใจเต้นระรัว ไม่มีใครเป่าอาหารร้อนๆ ให้เธอเลยนอกจากมารดาบังเกิดเกล้า แม้แต่บิดาก็ไม่เคยทำแบบนี้ หรือแม้แต่ระบิลคู่หมั้นของเธอก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน

ดวงตาคมปรายตามองหญิงสาวและใช้มือฉีกเนื้อหมูจ่อที่ริมฝีปากของเธอ

“กินซะ ชิ้นนี้ไม่ร้อนแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำขอบคุณแล้วอ้าปากงับเนื้อหมูชิ้นนั้นเข้าปาก ใช่...มันไม่ร้อนอีกแล้ว

สุริยะหลุบเปลือกตาลงปิดบังแววตาของตนเอาไว้ เขาเป่าและป้อนหญิงสาวเรื่อยๆ สลับกับส่งเข้าปากตัวเองบ้าง พอไม้นั้นหมด ลุงผวนก็ส่งหมูไม้ต่อไปมาให้

“กินให้อิ่มนะ” ชายชราบอก “พออิ่มแล้ว ถ้านังหนูอยากไปอาบน้ำก็โน่นเลย อาบที่ลำธารโน่น เอาคบไฟไปด้วยนะกันสิงห์สาราสัตว์จะได้ไม่มาหาตัว”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณลุง หมูป่านี่อร่อยมากเลยค่ะ”

จันทร์ดาราบอก ก่อนดื่มน้ำจากกระบอกไม้ไผ่กระบอกเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหิวหรือมันอร่อยกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เธอเพิ่งจะเคยได้ลิ้มรสหมูป่าย่างเป็นครั้งแรก เธอยกมือลูบท้องที่รู้สึกว่าตึงขึ้นมาก

“อิ่มแล้วล่ะสิจอมตะกละ”

หญิงสาวตวัดตาขุ่นเขียวให้คนปากปีจอข้างๆ ทำไมเขาชอบหาเรื่องเธอนักนะ หญิงสาวไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงขอคบไฟจากลุงผวนแล้วเดินไปยังลำธารที่ชายชราชี้ให้เห็นเมื่อครู่ ร่างสูงลุกขึ้นเดินตามหญิงสาวไปเงียบๆ เขาไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตาเด็ดขาด เขาต้องตามไปดูให้รู้แน่ว่าเธอปลอดภัยดี

จันทร์ดาราเดินไปไม่ไกลนักก็เห็นลำธารสายเดิมที่เธอเคยลงไปอาบน้ำในคืนวาน ผิดกันก็แต่จุดที่ยืนอยู่เท่านั้น คิดถึงการอาบน้ำในตอนนั้นหน้านวลก็ร้อนวูบวาบจนต้องยกมือขึ้นกุม รู้สึกความร้อนผ่าวแผ่ซ่านออกมาจนถึงฝ่ามือนุ่ม

“โอ๊ย! จะไปคิดถึงมันทำไมกันเล่า”

“คิดถึงอะไรเหรอ หรือว่ากำลังคิดถึงพี่”

หญิงสาวหันขวับไปมองต้นเสียง นี่เธอใจลอยเดินมาเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินเสียงเขาเดินตามมาเลยเหรอนี่ พอก้มลงมองรองเท้าที่เขาสวม เธอก็นิ่วหน้าเพราะมันกลายเป็นรองเท้าแตะไปแล้ว

“ใครจะไปบ้าคิดถึงคนอย่างพี่ซัน ฮึ...คนอะไรหลงตัวเองก็ที่หนึ่ง กวนประสาทก็ที่หนึ่ง”

“ถ้าขาดพี่แล้วจะคิดถึงนะ”

“เชอะ ไม่มีทาง เจนไม่มีทางคิดถึงพี่ซันแน่”

“ต้องคิดสิ เพราะเจนเป็นเมียพี่”

ชายหนุ่มย้ำความสัมพันธ์ของเขากับเธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากย้ำนัก เป็นเพราะเธอทำเฉยชากับเขามากไปหรือเปล่า ทั้งที่เขาได้เธอแล้วแต่เหมือนเธอไม่คิดจะให้ความสำคัญกับเขาเลยสักนิด

จันทร์ดาราก้าวเท้าเข้าไปจนชิดร่างสูง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวโตจนแหงนหน้าคอตั้งบ่า

“ใช่ เจนไม่ปฏิเสธ แต่อย่าลืมก็แล้วกันว่ามันจะเป็นแค่ในป่านี้เท่านั้น”

“เจนทำได้เหรอ เจนจะลืมพี่ได้เหรอ” ชายหนุ่มถามเสียงเบา

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก รู้สึกว่ามันจะเหนียวกว่าปกติมากจนทำให้เธอพูดไม่ออก เธอค่อยๆ สาวเท้าก้าวถอยหลัง แต่ลำแขนกลมกลึงก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ได้ก่อน

“อย่าเพิ่งไปสิ ตอบพี่มาก่อน”

“ไม่รู้ค่ะ เจนไม่รู้”

เธอบอกเขาและสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ร่างบางเดินไปนั่งบนโขดหินใหญ่ เงยหน้าดูท้องฟ้า แสงสีส้มจับขอบฟ้าดูสวยงามแต่ก็น่ากลัวในเวลาที่คนมองอยู่กลางป่าเช่นนี้

สุริยะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามเธอ ก่อนมองซีกหน้านวลที่อยู่ใกล้แค่คืบ

“ในเวลาแบบนี้ เราคงต้องสงบศึกทุกอย่างไว้ก่อน ตอนนี้เราเป็นผัวเมียกันก็ต้องสวีทกันสิ จริงไหม”

จันทร์ดาราละสายตาจากท้องฟ้าหันมามองคนพูดด้วยใจวาบหวิว เธอค่อยๆ ระบายยิ้มออกมาเต็มหน้า เหมือนตกลงยินดีสงบศึกลงชั่วคราว แต่แล้ว...

“นี่แน่! สงบศึกเหรอ คนลามก คนผีทะเล นี่ๆๆๆ”

มือน้อยขยุ้มดินในลำธารขึ้นมาป้ายหน้าชายหนุ่ม เธอไม่มีวันยอมสงบศึกกับเขาง่ายๆ หรอก คนปากปีจออย่างเขาต้องเจอคนอย่างเธอนี่ มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย

“โอ๊ย! เจน ทำอะไรน่ะ เห็นมั้ยว่าหน้าพี่เลอะหมดแล้ว”

ชายหนุ่มลุกขึ้นพรวดจะเอาคืนหญิงสาว แต่ร่างบางก็ไวทะยาดกระโดดหนีไปไกล มิหนำซ้ำยังเท้าสะเอวเงยหน้าหัวเราะอย่างชอบใจอีกต่างหาก

“ดีสมน้ำหน้า พี่ซันปากเสีย ชอบว่าเจนก่อนทำไมล่ะ”

“พี่ไม่ได้ว่า แค่พูดเรื่องจริง ทำไมเจนต้องโกรธด้วย”

เขาเดินย่างสามขุมเข้าไปหา เธอก็ถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ

“เจนไม่ได้โกรธ แต่เจนไม่ชอบที่พี่ซันชอบว่าเจน”

“พี่ว่าอะไรเจน พี่พูดเรื่องจริงมันผิดด้วยเหรอ”

“เชอะ เจนก็พูดเรื่องจริงเหมือนกันล่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ต้องตามมาแล้ว”

จันทร์ดาราถอยหลังไปจนยืนหมิ่นๆ ถ้าก้าวไปอีกก้าวเธอก็ตกน้ำแน่

“ทำไม ตกไปก็ไม่เห็นเป็นไร ตื้นนิดเดียว”

ชายหนุ่มหยุดชั่วครู่ แล้วก้าวต่อไป เขาคิดว่าเธอคงไม่ถอยหลังไปอีกแน่ แต่เขาไม่คิดหรอกว่าเธอมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขนาดไหน

“พี่ซันอย่าเข้ามานะ ว้าย...” จันทร์ดาราแสร้งกระโดดถอยลงไป “โอ๊ย...พี่ซัน...”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ลงไปทำไมล่ะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”

“โอ๊ย...พี่ยะ เอ๊ย...พี่ซัน เจนปวดขา ลุกไม่ได้เลยค่ะ”

เธอพยายามลุกขึ้นแล้วก็นั่งแผละลงไปอีก หน้านวลนิ่วน้อยๆ บอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้แกล้ง แต่เจ็บจริงต่างหาก

สุริยะกระโดดลงไปยืนข้างๆ แล้วก้มหน้าดูข้อเท้าของเธอ แต่ไม่เห็นสิ่งผิดปกติเลยสักนิด จนกระทั่งหญิงสาววักน้ำใส่หน้าหล่อๆ เปื้อนโคลนทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกไปหมด

“อ๋อ...นี่แกล้งพี่เหรอยัยตัวดี เดี๋ยวเถอะยัยตัวแสบ” ชายหนุ่มยกมือห้ามแล้วร้องบอก

“ทำไมคะ เก่งไม่กลัว กลัวไม่เก่งต่างหาก”

เธอยังคงวักน้ำใส่หน้าเขามือเป็นระวิง ปากก็หัวเราะคิกคักๆ ตลอด

“เดี๋ยวจะได้รู้กัน ว่าใครเก่งไม่เก่ง”

ชายหนุ่มพุ่งตัวกอดรัดร่างบางทำให้เธอเสียหลักลื่นล้มก้นจ้ำเบ้ากับก้อนหิน ทีนี้จากไม่เจ็บก็กลายเป็นเจ็บจริงขึ้นมา

“โอ๊ย...เจนเจ็บนะ คนบ้านี่”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ก็อยากแกล้งพี่ก่อนทำไม ดีสมน้ำหน้า”

จันทร์ดาราหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุก เธอเจ็บสะโพกจนลุกไม่ขึ้น ร่างหนาถูกผลักเต็มแรงแต่เขาไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ แถมยังเพิ่มแรงกอดให้แน่นยิ่งขึ้นอีก

“ปล่อยนะ คนบ้า คนไม่มีความคิด”

เธอบริภาษเขาเสียงสั่น เพราะเจ็บสะโพกแล้วก็เจ็บใจที่แกล้งเขาแต่กลับเจ็บตัวซะเอง

“ใครว่าล่ะ ตอนนี้กำลังคิดเรื่องดีๆ อยู่เชียว”

หญิงสาวหันไปมองหน้าสุริยะอย่างฉงน

“เรื่องดีๆ เรื่องอะไรคะ”

“เราอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวันได้ไหม พี่...ยังไม่อยากกลับ”

“ทำไมคะ ถ้าเรากลับช้า คุณพ่อจะยิ่งเป็นห่วงนะคะ”

“ช่างปะไร หรือเจนไม่อยากอยู่กับพี่”

จันทร์ดารานิ่งเงียบไปนานมาก จนชายหนุ่มคิดว่าเธอคงอยากกลับบ้านไปหาคู่หมั้นเต็มแก่ หรือไม่ก็อยากให้คู่หมั้นมารับเสียที เขาถอนใจยาวอย่างทำใจ

“ถ้าพี่ซันอยากอยู่ เจนก็จะอยู่ค่ะ แค่อีกสองวันจะเป็นไรไปล่ะ จริงมั้ยคะ”

สุริยะยิ้มออกแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะจูบให้รางวัลแก่คำตอบที่น่าพอใจสักหน่อย แต่ปากเขาก็จูบเข้ากับฝ่ามือนุ่มแทน

“เหม็นค่ะ ขี้โคลนเต็มหน้าแบบนี้ จูบไม่ลงหรอกค่ะ”

ชายหนุ่มทำตาละห้อยเรียกคะแนนความสงสาร แต่หญิงสาวก็ส่ายหน้าไม่ยอมลูกเดียว เขาจำต้องล้างหน้าให้สะอาด พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นร่างบางวักน้ำล้างหน้าล้างตัวแทนการอาบน้ำ อากาศเย็นๆ แบบนี้เธอคงหนาวจนไม่อยากอาบ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะถึงยังไงตัวนุ่มๆ นั่นก็หอมตลอดเวลาอยู่แล้ว

สุริยะเท้าแขนคร่อมร่างบางไว้เบียดกายเข้าหา จนเธอต้องเอนกายไปพิงก้อนหินก้อนใหญ่ที่เธอแกล้งตกลงมา เรียวปากบางเฉียบก้มต่ำลงจนเกือบชิด เขาค้างเอาไว้แบบนั้นจนหญิงสาวก็เผยอปากออกเล็กน้อย นั่นแหละปากร้อนๆ ถึงได้บดคลึงและสอดลิ้นสากเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มหวานล้ำซ่านใจ

จันทร์ดาราตอบรับจูบนั้นอย่างเงอะงะ แต่ก็พยายามจะเก็บเอาสิ่งที่เขาสอนมาทำให้เขามีความสุขบ้าง กิริยาอันน่ารักนั้นเรียกเสียงครางออกมาจากลำคอแกร่งได้ไม่ยาก ความรุ่มร้อนบดเคล้าความหวานและดูดดื่มอย่างหิวกระหาย เสียงครางของหญิงสาวดังออกมาเป็นระยะๆ ไม่แพ้กัน มือบางตวัดโอบต้นคอ สอดปลายนิ้วลูบไล้เส้นผมสั้นๆ นั้นอย่างย่ามใจ

“อยากทำมากกว่านี้ อยากทำเดี๋ยวนี้ แต่...คงไม่ดีแน่ถ้ามีใครมาแอบดูหนังสด”

“งั้นก็กลับกระท่อมของเรานะคะ”

สุริยะยิ้มกว้างให้กับคำว่า ”กระท่อมของเรา” นั่นสินะ เวลานี้เรามีกระท่อมของเราก็ต้องใช้ให้เต็มที่ บรรยากาศดีๆ แบบนี้จะพลาดได้ยังไง แค่คิดความเป็นตัวตนก็ประกาศตัวจนปวดหนึบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วฉุดมือน้อยขึ้น

“ไปเถอะ กลับกระท่อมของเรากันดีกว่า”

ทั้งคู่เดินผ่านลานที่ตอนนี้มีการนั่งล้อมวงรอบกองไฟ ผันเป็นคนเล่นกีตาร์โปร่งมีผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งเป็นคนร้องเพลงคลอไปกับเสียงกีตาร์

“มาๆ มาร่วมวงกับพวกเรากันก่อน”

ลุงผวนกวักมือเรียกทั้งคู่ ในมือข้างหนึ่งมีแก้วเป๊กอยู่ใบหนึ่ง แน่นอนว่าในนั้นต้องมีน้ำเปลี่ยนนิสัยอยู่ด้วย

“มาสิ เราจะล้อมวงร้องเพลงกันแบบนี้ประจำ คลายเครียด”

คราวนี้ผันหยุดร้องและเรียกด้วยความเป็นมิตรมากขึ้น

สุริยะและจันทร์ดาราจึงวางเรื่องที่ตั้งใจทำในกระท่อมไว้ก่อน ในเมื่อพวกเขามอบไมตรีมาให้ก็ควรต้องตอบรับไมตรีนั้นด้วยความยินดี

“เอ้าพ่อหนุ่ม ลองหน่อยสิ อากาศกลางป่าแบบนี้มันเย็นจัด ถ้าได้ไอ้นี่สักกรึ๊บสองกรึ๊บจะดีขึ้น”

“เหล้าหมักเหรอครับ”

“เออสิวะ พวกเราหมักเองดองเองเชียวนะเว้ย รู้จักม้ากระทืบโลงมั้ย นี่ล่ะๆ ลองสิวะแล้วเอ็งจะติดใจเว้ย ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

สุริยะมองหน้าจันทร์ดารานิดหนึ่งเห็นหญิงสาวอมยิ้มนิดๆ อย่างน่ารักก็ส่งยิ้มแหยๆ เขาดื่มสุราทั้งไทยและเทศมานักต่อนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ชอบและขอบายทุกครั้งที่เพื่อนชวนก็คือเหล้าเถื่อน กลิ่นของมันแรงกว่าเหล้าขาวบางชนิดด้วยซ้ำ ยิ่งเป๊กที่ถืออยู่ในมือนี้ส่งกลิ่นแรงจนเขาต้องกลั้นหายใจ จะว่าบ้าก็บ้าเถอะเขาไม่ถูกกับเหล้าพวกนี้จริงๆ

“เอ้า...ยกสิวะ หรือว่าเอ็งไม่กินเหล้า”

“เอ่อ...กินครับ แต่...”

“แต่อะไรล่ะวะ มันก็เหมือนเหล้าทั่วๆ ไปที่เอ็งกินนั่นล่ะ แต่นี่พวกข้าดองเองก็เลยกลิ่นแรงไปนิด แต่เรื่องเมาไม่ต้องพูดถึง 80 ดีกรีว่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

สุริยะเม้มปากนิดนึงก่อนทำใจ พร้อมกับกลั้นหายใจแล้วกระดกเป๊กเหล้าเข้าปาก เขาคำรามหนักๆ ออกมาเมื่อน้ำเมรัยร้อนๆ ไหลผ่านลำคอลงไปยังกระเพาะอาหารร้อนวูบวาบไปทั่วลำไส้

“เป็นไงวะ รสชาติดีใช่ไหมล่ะ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาส่งแก้วเป๊กคืนให้ลุงผวน แล้วคำตอบที่ทุกคนรอคอยก็เปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป

“สุดยอดเลยครับลุง ขออีกเป๊กนะครับ”

ทุกคนในที่นั้นหัวเราะเสียงดังลั่น รวมทั้งจันทร์ดาราด้วย เธอหัวเราะเพราะเห็นหน้าพิลึกพิลั่นของเขา ซึ่งทำเหมือนไม่อยากดื่มแต่ทำไมถึงขอใหม่ก็ไม่รู้ หรือว่า...เขาจะติดใจในรสชาติของมันจริงๆ

ลุงผวนรินเหล้าจากไหใส่เป๊กแล้วส่งให้สุริยะอีกครั้ง ชายหนุ่มรับมามองมันอยู่ชั่วครู่ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากระดกเหล้าขมๆ ร้อนฉ่าบาดคอสุดขีดลงคออีกครั้ง จากนั้นหญิงสาวซึ่งรู้ในเวลาต่อมาว่าเป็นเมียของผันก็ร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์โป่ง ในเมื่อไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ไม่มีทีวีให้ดู ไม่มีวิทยุให้ฟัง ก็ต้องใช้วิธีนี้คลายความเครียดและความเหว่ว้าของทุกคน

“นี่ๆ พ่อหนุ่ม หรือนังหนูนี่ไม่ร้องเพลงหน่อยเหรอ”

ป้าลำยองถาม เมื่อเห็นทั้งคู่เอาแต่นั่งฟังเพลงปรบมือไปตามเรื่องตามราว

“จริงสิ ร้องเพลงหน่อยสิ หรือจะเต้นด้วยก็ได้นะ”

ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้บอก

“เอ่อ...ผมร้องเพลงไม่เป็นหรอกครับ ถ้าขืนให้ผมร้อง คืนนี้ทุกคนอาจนอนไม่หลับ” ชายหนุ่มพูดติดตลก

“เฮ้ย...ไม่เป็นไรๆ ข้าฟังได้ พวกเราฟังได้”

“ใช่ๆ พี่ซันร้องเพลงให้ฟังหน่อยนะจ๊ะ เจนอยากฟังเสียงควา...เอ๊ย เสียงพี่ซันร้องเพลงน่ะจ้ะ”

จันทร์ดาราสมทบ เธออยากแกล้งให้เขาร้องเพลง เพราะคิดว่าผู้ชายห่ามๆ อย่างเขาเสียงร้องคงไม่ต่างกับเสียงควายออกลูกเท่าไหร่ นึกอยากแกล้งให้เขาได้อายบ้างเท่านั้น

สุริยะปรายตามองสบตาเป็นประกายของหญิงสาว เขารู้ว่าเธอต้องการแกล้งเขาให้ขายหน้า แต่เธอยังรู้จักเขาไม่ดีพอ เธอไม่รู้หรอกว่าไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้

“ตกลงครับ ผมขอยืมกีตาร์หน่อยนะครับ”

ผันส่งกีตาร์ให้ชายหนุ่มเมืองกรุง จากนั้นทุกคนก็ปรบมือให้กำลังใจสุริยะเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มจัดท่วงท่าในมาดของนักร้องวงโฟล์คซอง ก่อนกรีดปลายนิ้วเรียวไปบนสายกีตาร์แล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่โดนใจวัยรุ่นในปัจจุบันนี้

ใจหนึ่งใจ จะต้องการอะไร

ให้มันมากมาย ให้มันวุ่นวาย

เพียงเธอนั้น ใส่ใจกันเบาเบา

พอให้สองเรา ได้ทำอะไรมากมายในตอนนี้

บางเวลาไม่เป็นไร ถ้าเธออยู่ไกล

บางเวลาฉันเข้าใจ เธอลืมกันไป

บางเวลาไม่เป็นใจ ก็ไม่ต้องเสียดาย

ปล่อยมันไปก่อนนะ

คิดถึงฉันสักครั้ง เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร

ทำตัวตามสบาย แล้วเจอกันในความฝัน

มีเวลาดีๆ ก็บอกให้ฉันได้ฟัง

ไม่มากเกินไป ดังนั้นค่อยๆ รักกันเบาเบา

จันทร์ดาราเผยอปากค้าง ไม่ใช่เพราะเสียงของสุริยะนั้นไพเราะจนเธอเคลิบเคลิ้มหรอกนะ แต่เป็นเพราะเสียงห้าวๆ ที่ไม่ได้เป็นเสียงควายออกลูกเหมือนที่เธอเปรียบเลยสักนิด ไม่ถึงกับไพเราะเหมือนนักร้องดังๆ แต่เสียงของเขาและเนื้อหาของเพลงมันได้ใจเธอไปเต็มๆ หญิงสาวครุ่นคิดถึงเรื่องระหว่างเธอกับเขา เธอขอรักเขาเบาๆ เหมือนในเนื้อเพลงที่เขาร้องก็แล้วกัน

หญิงสาวหันหน้าหนีจากประกายตาวาววับที่มองมาหลังร้องเพลงจบ เธอไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาบอกรักเธอจากเนื้อเพลงที่เขาร้อง และย้ำความคิดของเธอด้วยประกายตาฉายชัดถึงความรู้สึก ผู้ชายอย่างสุริยะแม้ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีเงินทองมากมายมหาศาล แต่ถ้าเขาอยู่ใกล้ใครก็ทำให้ผู้หญิงคนนั้นหลงรักได้ไม่ยาก เหมือนเธอในตอนนี้ไงล่ะ เวลาแค่สองวันมันพัฒนาความสัมพันธ์ของเธอกับเขาอย่างรวดเร็ว จากที่เขาเป็นเพียงลูกน้องของพ่อเป็นคนที่พ่อเธอส่งมาช่วยกลับกลายเป็นสามีทางพฤตินัยและตอนนี้...ก็เป็นคนที่เธอรัก

“เคลิ้มรึไง พี่ร้องเพลงเพราะใช่มั้ยล่ะ”

จันทร์ดาราหันขวับแสร้งขว้างค้อนคมให้เขา แต่ดวงหน้าแดงระเรื่อนั้นปกปิดความรู้สึกของเธอไม่มิด

“ไม่ใช่ซะหน่อย เอ่อ...ลุงคะ ป้าคะ ทุกคนคะ เจนขอตัวเข้านอนก่อนนะคะ รู้สึกเหนื่อยๆ น่ะค่ะ”

“อ้าวเหรอ เออๆ ไปเถอะ” ลุงผวนบอก “พ่อหนุ่มพาเมียไปนอนได้แล้วล่ะ เมียเอ็งง่วงแล้ว”

“ครับ งั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”

ร่างสูงเดินตามร่างเล็กที่เดินลิ่วๆ ไม่หันมามองเขาเลย เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอรักเขา ไม่อยากแสดงออกให้เขารู้ว่าเธอคิดกับเขายังไง เธอเชื่อว่าเขาไม่ได้โง่แม้จะแกล้งทำโง่อยู่หลายครั้ง สักวันเขาต้องรู้โดยที่เธอไม่ต้องบอก แต่ขอไม่เป็นตอนนี้แล้วกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะ...เธอกลัวจะถูกเขาปฏิเสธน่ะสิ จริงอยู่ว่าสุริยะเคยหึงหวงเธอออกนอกหน้าเมื่อพูดถึงระบิล แต่เขาไม่ได้บอกว่ารักเธอสักหน่อย เขาแค่รู้สึกหวงคนที่เขาได้พรหมจารีย์ไปต่างหาก

คบไฟในมือถูกชายหนุ่มดึงไปดามไว้ที่ข้างเสา แล้วร่างนุ่มก็ถูกกอดกระชับชิดในเวลาต่อมา กว่าจะได้เข้ามาในกระท่อมได้สุริยะก็แทบขาดใจ เขาอยากเมกเลิฟเธอใจจะขาดอยู่รอมร่อ แต่ก็อยากสานสัมพันธ์ไมตรีกับทุกคนจึงจำเป็นต้องรับไมตรีและหยิบยื่นคืนให้บ้าง

“ปล่อยนะ มากอดเค้าทำไมเนี่ย”

จันทร์ดาราปัดป้องมือหนาที่กลายเป็นหนวดปลาหมึกเหนียวหนึบหนับไปทั่วร่าง

“อ้าว...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราชวนกันกลับกระท่อมตั้งนานแล้วนี่ หรือเป็นปลาทองไปแล้ว เอ...แค่ได้ยินเสียงพี่ร้องเพลงก็ความจำสั้นเลยเหรอ แล้วรักฉันยาวมั้ยน้อ...”

“บ้า ใครรักพี่ซันกัน ปล่อยนะ เจนจะเข้ามานอน ไม่ใช่เข้ามาให้พี่ซันทำอย่างอื่น”

“เหรอ...แต่พี่อยากทำอย่างอื่นก่อนนอนน่ะ ไม่งั้นคงนอนไม่หลับ”

“พี่ซันไม่เมาเหรอ หน้าแดงๆ นี่นะ”

เธอเงยหน้ามองใบหน้าคร้ามคม แสงจากคบไฟทำให้เห็นแก้มสากแดงเล็กน้อย ก็เหล้าที่เขาดื่มเข้าไปดีกรีมันแรงแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมึนๆ บ้างล่ะ แต่นี่...เธอได้แต่กลิ่นที่ปนออกมากับลมหายใจและแก้มสากซึ่งเป็นสีเข้มขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

“ถ้าเมาแล้วไง นี่จันทร์เจ้าอยากให้พี่เมานักเหรอ คงคิดล่ะสิว่าถ้าพี่เมาแล้วพี่จะรักจันทร์เจ้าไม่ได้”

“พี่ซัน!! จันทร์เจ้าที่ไหน นี่เจนต่างหาก”

เธอปรามเขาเสียงเบา เพราะกลัวคนข้างนอกจะได้ยินและรู้ว่าเธอกับเขาเป็นใครกันแน่

“ไม่มีใครได้ยินเราหรอก พี่ไม่ชอบเรียกเจนเลย เหมือนไม่ได้เรียกจันทร์เจ้ายังไงไม่รู้”

เขาออดเสียงนุ่ม ซุกไซ้กลีบปากร้อนๆ ไปตามพวงแก้มเนียนใสอย่างห้ามใจไม่อยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel