บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

4

คำขอตรงๆ ของคนห่ามๆ ทำให้เธออ้าปากค้าง ก่อนกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ใจสาวตุ้มๆ ต่อมๆ ทรวงอกอวบสะท้อนขึ้นลงอย่างตื่นเต้น คำชวนดื้อๆ ของเขาทำให้เธอยิ่งกว่าลืมหายใจเสียอีก ตอนนี้ลมหายใจของเธอติดขัดจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างสูงที่กำลังรอฟังคำตอบทรุดลงตรงหน้า

“เร็วๆ สิ พี่จะขาดใจเพราะรอฟังคำตอบจากจันทร์เจ้านี่ล่ะ”

“เอ๊ะ! จะไม่ให้คิดเลยรึไงคะ”

“คิดได้แต่อย่านานสิ นะ นะ”

จันทร์ดารากางแขนรั้งต้นคอแกร่งลงมากอด

“ถ้ายอม แล้วกลับไปจะทำยังไงคะ เราต่างก็...มีพันธะด้วยกันทั้งคู่”

สุริยะผงกหัวขึ้นมองสบตากลมสวย

“พี่ยังไม่มีพันธะ มีแต่...คนที่คบหาดูใจกันอยู่ จันทร์เจ้าต่างหากที่มีพันธะ ผู้กองระบิลเป็นคู่หมั้นของจันทร์เจ้า”

“พี่ยะรู้!!! แล้วทำไมไม่ห้ามตัวเอง”

ผู้พันหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่า...พี่ต้องการจันทร์เจ้า โอ้...ที่รัก อย่าทรมานพี่อีกเลย พี่เจ็บร้าวไปทั้งตัวแล้ว ถ้าจันทร์เจ้าไม่สบายใจ พี่จะรับผิดชอบทุกอย่าง แต่จันทร์เจ้าจะต้องอยู่บ้านหลังเล็กๆ ไม่ได้หรูหราใหญ่โตเหมือนบ้านตัวเองนะ เพราะพี่มีแค่นั้น”

สุริยะไม่รั้งรออีกต่อไป ไม่ว่าเธอจะตอบอะไรออกมา เขาจะต้องได้เธอเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นร่างแกร่งคงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มจูบปากนุ่มดูดกลืนเสียงร้องห้ามปรามหรือไต่ถาม ขยับร่างกำยำเบียดเสียดร่างนุ่มไปทั้งตัว อกอวบแนบไปกับอกกว้าง แผ่นท้องตึงแน่นแนบกับหน้าท้องแบนราบ สัดส่วนใจกลางร่างของทั้งคู่ขยับเบียดเข้าหากันอย่างเร่าร้อน

จันทร์ดารามึนงงกับจุมพิตเร่าร้อน สุริยะทำท่าราวกับคนคลั่งรักร้อนรนกระวนกระวายจนบอกไม่ถูก มือหนาคลึงเคล้นดอกบัวคู่งามใช้ง่ามนิ้วคีบดึงปลายยอด ริมฝีปากรุมร้อนเคลื่อนตัวลงต่ำงับปลายคางเล็กเบาๆ ก่อนไต่ลงหาดอกบัวงาม ปลายถันสีสดถูกดูดกลืนเข้าไปในอุ้งปากร้อนชื้น ปลายลิ้นสากตวัดเลียไล้จนอกอวบแอ่นเข้าหา มือช่ำชองเลื่อนลงลูบไล้หน้าท้องแบนราบลูบขึ้นมายังสีข้างแล้วลูบอ้อมไปด้านหลัง สะโพกผายหนั่นแน่นถูกมือหนาบีบขยำและดันแนบแก่นกายกำยำร้อนผ่าว

จันทร์ดาราเปล่งเสียงครางออกมา เสียงครางก้องกังวานดังไปทั่วถ้ำแห่งนั้น ไม่มีเสียงร้องห้ามปรามเลยสักนิด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียงของความยินยอมพร้อมใจจากสาวเจ้า สุริยะฮึกเหิมซุกซบเข้ากลางหว่างอกอวบ ไรเคราขึ้นเขียวครูดไปกับผิวเนื้อเนียนนุ่ม

“พี่ยะ”

มือน้อยกดศีรษะทุยให้ฝังใบหน้าลงบนแผ่นท้อง เรียวปากได้รูปจูบเม้มนำทางพร้อมยื่นปลายลิ้นเลียไล้ไปถ้วนทั่วผิวเนียน เนินสวาทสาวถูกปลายนิ้วช่ำชองลูบไล้หนักเบาสลับกันไป กรีดปลายนิ้วเข้าทักทายยอดเกสรสาวซึ่งบัดนี้มันชุ่มฉ่ำ เต็มไปด้วยน้ำหวานที่ปลดปล่อยออกมาจากความรู้สึก

สุริยะต้องการลองลิ้มรสชาติกายสาวแสนหอมหวาน ร่างแกร่งจึงแทรกเข้ากลางหว่างขานวลเนียน ผลักดันต้นขาอวบไปข้างหน้า ก่อนยื่นหน้าจูบเกสรสวาทสีสด

“พี่ยะ! พี่ยะ...”

จันทร์ดาราดีดตัวขึ้นมองศีรษะที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางร่าง สะโพกกระตุกเมื่อถูกปลายลิ้นสากลากไล้โลมเลียกลีบสวาท สลับกับดูดกลืนเกสรสาวแรงๆ ปลายลิ้นหนาเกร็งห่อ ก่อนสอดเข้าไปในความฉ่ำชื้นสีชมพูสดนั้นทำให้เขาต้องทอดถอนใจหลายต่อหลายครั้ง สำนึกบอกให้รู้ว่าเธอกำลังจะมีเขาเป็นคนแรก ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในหัวใจเงียบๆ แต่รุนแรงราวพายุทอร์นาโดพัดหมุนทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง

สุริยะส่งปลายนิ้วเรียวสากเข้าหากลีบสวาทแสนสวย สอดเข้าไปในกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ตอดรัดสิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำทันที ปลายลิ้นฉกาจไม่หลงลืมตวัดเลียไล้เกสรงาม น้ำหวานรินรดนิ้วเรียวและดื่มด่ำด้วยริมฝีปากได้รูป

“พี่ยะขา...พี่ยะ”

ชายหนุ่มรับรู้ความต้องการของหญิงสาว เขาถอดถอนปลายนิ้วเรียวออก เลื่อนกายขึ้นนั่งบนส้นเท้าจดจ่อความกำยำเข้าหาความอ่อนนุ่ม คลึงเคล้นไปมาสักครู่ก่อนค่อยๆ สอดเข้าไปด้านในช้าๆ เบาๆ

“พี่ยะ...เจ็บ”

หญิงสาวถดตัวถอยหนีความเจ็บแปลบที่ชายหนุ่มมอบให้ สุริยะจึงมอบจูบหนักหน่วงเร่าร้อนเป็นการปลอบโยนและหลอกล่อให้หญิงสาวหลงลืมความเจ็บปวด ร่างแกร่งถูกผลักดันพรวดเดียวเข้าไปสุดเส้นทางสายหฤหรรษ์ เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาว ถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอหนาทั้งหมด ความเจ็บปวดที่ไม่เคยคาดคิดทำให้น้ำตาใสๆ ไหลออกมาทางหางตาอย่างกลั้นไม่อยู่

สุริยะหอบหายใจแรงๆ เขาต้องอดทนยับยั้งความต้องการไม่ให้พุ่งขึ้นถึงขีดสุด จนต้องกระทำการรุนแรงต่อหญิงสาว ครั้งแรกของเธอถึงจะเกิดในถ้ำ แต่เขาก็ยังอยากให้เธอมีความสุข ร่างแกร่งหยุดการขยับเขยื้อนลง เขาถอนริมฝีปากและส่งลมหายใจหอบกระเส่ารดปากนุ่ม

“ทำไมจันทร์เจ้าเจ็บ แล้วพี่ยะเจ็บเหมือนจันทร์เจ้ามั้ย”

เธอถามในสิ่งที่ไม่รู้ แต่สุริยะก็ยินดีที่จะตอบ

“พี่เจ็บมากกว่าจันทร์เจ้าหลายเท่าคนดี”

“ถ้างั้นก็เอาออกไปสิคะ”

หญิงสาวผลักร่างหนาออก แต่เมื่อชายหนุ่มขยับแก่นกายถอยห่างเพียงเล็กน้อย มือบางก็อ่อนแรง ความซ่านสยิวทำให้เธอส่งเสียงครางออกมาอีกครั้ง เขาไม่ได้ถอดถอนแก่นกายออกจนหมดอย่างที่คิด เพียงแค่ดึงออกจนเกือบหลุดพ้นแล้วผลักดันเข้าไปใหม่ คราวนี้ความคับแน่นบีบรัดตัวตนของเขาจนต้องเป็นฝ่ายครางเสียเอง

“จันทร์เจ้า...จันทร์เจ้า”

สุริยะขยับกายเนิบนาบอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ความเชื่องช้าของเขากลับทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนรนขึ้นมาบ้าง ปลายเล็บคมจิกเข้าที่ต้นแขนกำยำแล้วกระชากร่างหนาอย่างทุรนทุราย ความต้องการที่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร กำลังทำร้ายจันทร์ดาราจนทนไม่ได้

ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและเริ่มขยับร่างให้เร็วยิ่งขึ้น ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันตามทำนองของเพลงรักแสนโรแมนติก ไม่รู้ว่าเมื่อกลับออกไปจากป่านี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เวลานี้ขอแค่มีกันและกันเรื่องอื่นพักไว้ก่อน

จันทร์ดาราสะบัดหน้าขึ้นแหงนเงยเมื่อจังหวะสุดท้ายมาถึง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถูกสองหนุ่มสาวคว้ามาไว้กลางป่า สุริยะทิ้งร่างลงหอบหายใจรัวแรงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ใช่เพราะออกแรงมาก แต่เป็นเพราะแรงบีบรัดแก่นกายที่ทำให้เขาแทบขาดใจตาย

“พี่ยะหายเจ็บหรือยังคะ”

“หายแล้ว จันทร์เจ้าล่ะหายเจ็บหรือยัง”

“หายแล้วค่ะ”

สุริยะนอนหงายและดึงร่างบางให้ขึ้นมาทาบทับ เขาสะดุ้งนิดๆ เมื่อลำตัวเปล่าเปลือยนอบราบไปบนพื้นหินเย็นเฉียบ นี่เธอทนนอนบนพื้นเย็นๆ โดยไม่ปริปากบ่นเลยสักนิดหรือนี่

“นอนแบบนี้เย็นจัง คนสวยไม่เย็นบ้างเหรอ”

“เย็นค่ะ แต่พอพี่ยะกอดก็อุ่น”

“เป็นของพี่แล้ว แล้วนายคู่หมั้นล่ะจะทำยังไง”

“ไม่รู้ค่ะ”

เธอตอบตามตรง เพราะตอนนี้สมองยังเบลอๆ จนคิดอะไรไม่ออก

“ไม่รู้ได้ไง บอกพี่หน่อยสิว่ามีแผนจะทำยังไงต่อไป”

“ไม่มีค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ก็เลยยังไม่ได้วางแผน แต่เท่าที่คิดได้ตอนนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ของเราคงหยุดไว้ที่นี่”

เท่านั้นแหละ ที่ทำสุริยะรู้สึกเหมือนถูกตีหัวด้วยของแข็งเต็มเหนี่ยว

“อะไรนะ จันทร์เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เสียงถามนั้นดุดันจนเป็นตะคอก

จันทร์ดาราลุกขึ้นจากกายหนาไปนั่งกอดเข่าพิงผนังถ้ำเงียบๆ เสียงดุๆ นั้นทำให้เธอไม่ชอบใจ แต่ก็รู้ว่าเขาเองก็ไม่พอใจที่เธอจะให้ความสัมพันธ์จบลงแค่กลางป่า

“อย่าเงียบแบบนี้พี่ไม่ชอบ”

น้ำเสียงข่มขู่ของสุริยะ ทำให้จันทร์ดาราไม่พอใจ หญิงสาวตวัดตามองร่างที่พรากพรหมจารีย์ไปจากเธอตาเขียวปั๊ดอย่างเอาเรื่อง

“แล้วจะให้จันทร์เจ้าทำยังไง จะให้บอกคุณพ่อว่าเป็นเมียพี่ยะกลางป่าแล้วงั้นเหรอ”

“ใช่ เราจะได้...”

“จะได้อะไร พี่ยะมีคนรู้ใจรออยู่นี่นา แล้วไง...จะให้เธอคนนั้นรอเก้อเหรอ เธอมีความผิดอะไร เราทั้งคู่ที่ผิด ผิดที่ไม่รู้จักห้ามใจ แล้วจะทำให้คนอื่นต้องมาเสียใจกับเราด้วยทำไม”

สุริยะถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินความจริงจากปากหญิงสาว ความจริงที่เธอไม่ได้พูดผิดเลยสักนิด เขาและเธอร่วมมือกันทำสิ่งเลวร้าย ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยสักนิด

“จริงสินะ สำหรับพี่ยังไม่ใช่พันธะ แต่สำหรับจันทร์เจ้าคงไม่อยากทำให้ผู้กองระบิลเสียใจสินะ”

“ใช่...พี่ระบิลไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ถ้างั้นพี่ก็ผิดเองสินะ ผิดที่...”

สุริยะยั้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนจะเผลอหลุดปากออกไป ร่างสูงกำยำลุกขึ้นแต่งตัวเงียบๆ ดวงตาคมกริบปรายตามองคนร่างบางแสนสวยที่นั่งเปลือยเปล่าพิงผนังถ้ำด้วยการชันเข่าขึ้นไขว้ขาไว้เหมือนนางแบบเซ็กซี่

“แต่งตัวซะ หรือว่ายังอยากต่ออีกครั้ง แต่เสียใจด้วยนะเพราะตอนนี้ผมหมดอารมณ์แล้ว”

จันทร์ดาราเงยหน้าขึ้นมองคนปากเสีย สรรพนามที่เปลี่ยนไปบอกให้เธอรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังโกรธแค่ไหน หญิงสาวผุดลุกขึ้นอย่างไม่คิดจะอายร่างกายเปลือยเปล่าของเธออีกต่อไป ตอนนี้ความโกรธเริ่มก่อตัวในหัวของจันทร์ดาราอีกครั้ง

“แล้วคิดว่าฉันมีอารมณ์กับนายนักรึไง คนบ้า...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะนายคนเดียว”

“อ๋อเหรอ แล้วใครที่มันครางลั่นถ้ำกันล่ะ จะบอกว่านั่นเป็นเสียงห้ามงั้นสิ หึ...เด็กฟังมันยังรู้ว่าคุณกระหายรักจากผมมากแค่ไหน”

“กรี๊ด! คนชั่ว”

จันทร์ดาราปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มไปยั้ง สุริยะรับมือได้ไม่ยากก่อนผลักร่างบางชิดผนังถ้ำเย็นเฉียบ

“แล่นเข้ามาหา เพราะติดใจล่ะสิ ได้...เมื่อติดใจก็จะสนองให้”

กางเกงทหารถูกรูดลงอย่างรวดเร็ว เรียวปากนุ่มที่เผยอจะต่อว่าแรงๆ ถูกประกบด้วยเรียวปากหยักลึก ท่อนขาอวบถูกลำแขนช้อนขึ้นทั้งสองข้าง กายแกร่งแทรกเข้าหากายนุ่มที่แสนอบอุ่น

สุริยะไม่เล้าโลมเธอให้เสียเวลา เขาโกรธที่เธอยังคิดถึงคู่หมั้นและอ้างถึงแฟนสาวของเขา ถึงยังไงพิริตาก็ไม่ได้เป็นคู่หมั้นอย่างระบิล เขาปฏิเสธเธอได้เพราะรู้ดีว่าพิริตาแค่ชื่นชมเขาไม่ถึงขนาดหลงรัก ที่ต้องคบหากันเพราะถูกผู้ใหญ่หมายจะคลุมถุงชน แต่เขาก็หนีด้วยการไม่กลับไปบ้านบ่อยๆ แต่แม่สาวคนนี้เธอเป็นเมียเขาแล้ว คู่หมั้นหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์

กายแกร่งโจนจ้วงเข้าหาร่างนุ่มอย่างรุนแรง ฟากจันทร์ดาราแม้จะมีความโกรธ แต่ก็มีความสุขระคนกันไป ยิ่งชายหนุ่มถาโถมเข้าใส่แรงเท่าไหร่ ความโกรธก็ยิ่งมลายหายไปเร็วเท่านั้น

สุริยะถอนริมฝีปากออกเมื่อไม่ได้รับการต่อต้าน ส่วนล่างยังคงขยับเบียดบดสอดประสานไม่ห่างหาย ดวงตาคมหรี่ปรือมองหน้านวลที่แดงก่ำ หญิงสาวเองก็ปรือตามองเหมือนจะบันทึกภาพนี้เอาไว้ในหัวใจดวงน้อยๆ

“กลับไป จันทร์เจ้าจะเป็นของใครพี่ไม่รู้ แต่อยู่ที่นี่ในป่านี้ จันทร์เจ้าเป็นของพี่ ถ้าต้องการแบบนี้พี่ก็ยินดี รอรับผลที่มันจะตามมาก็แล้วกัน”

ร่างกำยำขยับเบียดลึกสะโพกสอบส่ายวนในบางจังหวะ จันทร์ดาราครวญครางออกมาเสียงสั่นไม่ขาดสาย มือบางคล้องต้นคอหนาเพื่อช่วยพยุงตัว

“พี่ยะ...พี่ยะ...พี่ยะ...”

จันทร์ดาราหวีดร้องออกมาในจังหวะสุดท้าย พร้อมกับเสียงคำรามแหบห้าวของสุริยะ เส้นทางสู่ดวงดาวถูกคว้าเอาไว้ได้อีกครั้ง ร่างหนาอุ้มร่างบางวางลงที่พื้น ก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัวและเดินออกไปเงียบๆ ทิ้งจันทร์ดาราให้อยู่กับความคิดและความรู้สึกของตนไปคนเดียว

สุริยะลงมานั่งจับเจ่าอยู่บนโขดหินใหญ่ เขากำลังเจ็บปวดกับความต้องการของตัวเอง ถ้าเขาไม่ปล่อยให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือหน้าที่ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ดวงตาคมหรี่ลงมองสายน้ำที่ไหลผ่านตรงหน้าพลางคิดว่าชีวิตของเขาและจันทร์ดาราคงไม่ต่างอะไรกับสายน้ำและโขดหินก้อนนี้ สายน้ำแค่ไหลผ่านโขดหินไม่ได้ถูกกักเก็บหรือยึดไว้เป็นเจ้าของ จันทร์ดาราพูดถูกเธอมีคู่หมั้นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ส่วนเขาก็มี...พิริตา หญิงสาวที่เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับเธอ

เขาเห็นเธอเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่บ้านอยู่ติดกัน เธอเรียบร้อยอ่อนหวานและเป็นแม่ศรีเรือนชั้นเยี่ยม ถ้าเปรียบเทียบระหว่างพิริตาและจันทร์ดารา ทั้งสองแตกต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะความหวานนุ่มของเรือนกายที่ทำให้เขาติดใจจนไม่อยากห่างหาย และไม่แน่ใจว่าจะทำใจยอมให้เธอเป็นของคนอื่นหรือไม่

“กรี๊ดๆๆ”

เสียงหวีดร้องดังออกมาจากถ้ำน้ำตก ชายหนุ่มลุกพรวดพราดโหนตัวกลับเข้าไปรวดเร็ว สายตามองหาร่างคุ้นตาและคุ้นใจแต่ก็ไม่พบ จนได้ยินเสียงร้องออกมาอีกครั้งและคราวนี้ร่างบางก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากภายในถ้ำที่ลึกเข้าไปอีก

“พี่ยะช่วยจันทร์เจ้าด้วย”

มือน้อยกระตุกเสื้อชายหนุ่มแรงๆ หญิงสาวหน้าซีดตัวสั่น ดวงตากลมโตหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงกลัว

“มีอะไร แล้วจันทร์เจ้าเข้าไปในนั้นทำไม”

“จะ...จันทร์เจ้าอยากเข้าไปดูว่ามันมีทางออกอีกทางนึงรึเปล่า แต่...”

“แต่อะไร”

“จันทร์เจ้าเจอ...เจอ...ผี...”

สุริยะถึงบางอ้อในทันที มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกเธอว่าลึกเข้าไปในนี้มีอะไรอยู่ เพราะไม่คิดว่าเธอจะเห็นและเขาก็ตั้งใจปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้เธอรู้

“อ๋อ...โครงกระดูกคนตาย”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ หันหน้ามาหมายจะเล่าสิ่งที่เห็นให้ชายหนุ่มฟัง แต่สีหน้าของสุริยะไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจเลยสักนิด “เอ๊ะ! พี่ยะรู้เหรอว่าในนี้มีคนตาย”

ร่างสูงของคนที่เป็นทั้งผู้คุ้มครองและเป็นเจ้าของร่างกายร่วมกับเธอหันหลังขวับ สุริยะทำไม่รู้ไม่ชี้ก้มลงเก็บโน่นนี่ใส่กระเป๋าเป้ยกเว้นวิทยุสนาม ซึ่งเขาไม่คิดจะเก็บมันเอาไว้ให้เป็นภาระต่อไปอีก

“นายรู้ทั้งรู้ว่าในนี้มีคนตายจน...จนเหลือแต่กระดูก แต่นายก็ยังให้ฉันนอนในนี้ แล้วเรา...เรา...ทั้งที่ข้างในนั่นมีซากกระดูกคน”

“แล้วไง คนตายเขาไม่มายุ่งกับคนเป็นอย่างเราหรอก เราก็อยู่ส่วนเรา เขาก็อยู่ส่วนเขา แต่เมื่อคืนเขาอาจแอบดูว่าเราทำอะไรกันอยู่ก็ได้นะ” เขาพูดติดตลก

“บ้าสิ พูดอะไรบ้าๆ ฉันนั่งอยู่คนเดียวมืดๆ ในนี้ ตอนที่นายไม่อยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าตายเพราะอะไรด้วย”

จันทร์ดาราขนลุกซู่อย่างหวาดกลัว

“คุณ...เขาคงบาดเจ็บ หรือไม่ก็เป็นไข้มาลาเรียตายน่ะ แล้วเขาเข้ามาทักทายคุณบ้างไหมล่ะ”

จันทร์ดาราทุบผัวะเข้าที่แผ่นหลังกว้างของคนปากเสีย

“จะบ้าเหรอ อยู่ในป่าเขาไม่ให้พูดเรื่องผีสาง”

“ไม่พูดก็ได้ แค่อยู่ใกล้กันเท่านั้นเอง”

“นายนี่มัน...มัน...”

“มันอะไรไม่ทราบ หรือไม่รู้จะได้บอกให้รู้”

สุริยะเก็บของเสร็จก็หันมาจ้องหน้าหญิงสาว เขามองเห็นความอวดดื้อถือดีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงตาคู่นั้นแล้วต้องยักไหล่ พูดไปก็รังแต่จะต้องเถียงกันคอเป็นเอ็นเปล่าๆ

“อย่าไปคิดถึงมันเลย เพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับคุณ”

จันทร์ดาราคิดตามที่เขาพูด แล้วอยากตะคอกใส่หน้านิ่งๆ นั้นว่าแล้วมันมีความหมายอะไรสำหรับเขาหรือเปล่า แต่ในเมื่อเขายังนิ่งเฉย เธอก็ต้องนิ่งตาม

“เก็บของแล้ว แสดงว่าเราจะออกไปจากที่นี่แล้วสิ”

“ใช่สิ หรือคุณจะอยู่คนเดียวก็ตามใจ”

ชายหนุ่มแหย่และพอเห็นอาการคล้ายผวาของเธอ เขาก็ยิ้มออก

“นายอย่าทิ้งฉันนะ นายราหู”

สุริยะทำเป็นไม่ได้ยิน ร่างสูงสะพายกระเป๋าเป้และเดินนำไปยังม่านน้ำตก รอจนร่างระหงก้าวตามไปยืนจนชิด เขาก็จัดการมัดร่างเธอเข้ากับร่างของตัวเอง

“ผมไม่มีวันทิ้งคุณ”

เขาบอกและกระตุกเชือกร่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามันแน่นพอ ดวงตาคมสบตากลมโตอย่างยืนยันคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ

จันทร์ดาราตาพร่าเมื่อดวงหน้าคมเข้มก้มต่ำลงหาช้าๆ ริมฝีปากอิ่มเผยอออกรอคอยสิ่งที่คิดว่าชายหนุ่มจะมอบให้ เรียวปากหยักกดลงใกล้เรียวปากอิ่มและถอยออกรวดเร็ว เขาไม่อยากให้สิ่งที่เคยเกิดต้องเกิดขึ้นอีก เพราะถ้าถึงเวลาต้องจากคนที่เจ็บปวดจะเป็นเขาคนเดียว

หญิงสาวทอดตามองตามริมฝีปากได้รูปที่ถอยห่างอย่างเสียดาย และต้องกัดปากตัวเองที่รอคอยอย่างมีความหวัง แค่สิ่งที่เสียไปมันก็มากเกินพอแล้ว แต่เหมือนหัวใจยังไม่เข็ดหลาบมันโหยหาคร่ำครวญและบีบรัดจนเธอเจ็บปวด แต่ความถูกต้องบอกให้เธอเข้มแข็ง ถ้าเธออ่อนแอเหมือนเดิมอีกล่ะก็...เธอจะต้องเสียใจ

“กอดผมแน่นๆ เหมือนตอนที่คุณ...”

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก นายเคยบอกฉันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วนายพูดทำไม”

ชายหนุ่มไม่พูดต่อ เขาพาเธอโหนเชือกลงไปข้างล่าง จากนั้นก็พาเธอเดินเลาะธารน้ำตกไปเรื่อยๆ

จันทร์ดาราเดินตามร่างสูงต้อยๆ รู้สึกอบอุ่นที่มือหนากุมมือเธอตลอดเวลา ดวงตะวันค่อยๆ เลื่อนขึ้นสูงเรื่อยๆ ในที่สุดก็อยู่ตรงหัวพอดี หญิงสาวรู้สึกอ่อนระโหยเพราะเดินติดต่อกันนานหลายชั่วโมง แต่เธอก็ไม่บ่นเลยสักนิดทำให้ชายหนุ่มชื่นชมเธออยู่ในใจ

เท้าของสุริยะก้าวช้าลงเมื่อเห็นกระท่อมเล็กๆ อยู่ไม่ไกลนัก แล้วก็เป็นจันทร์ดาราที่ทักขึ้นก่อน

“เฮ้...นายราหู นั่นมันบ้านคนนี่ เราไปขอความช่วยเหลือจากเขาดีมั้ย”

“แล้วถ้าเป็นบ้านโจรล่ะ เราไม่ซวยเหรอ”

สุริยะลากร่างบางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ดวงตาคมจับจ้องไปยังกระท่อมหลังนั้น แต่พอมองเลยไปอีกก็เห็นกระท่อมอีกหลังและอีกหลัง เขาไม่อยากตัดสินว่านั่นเป็นหมู่บ้าน มันอาจเป็นซุ้มกองโจรก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นหมู่บ้านจริงเขาและเธอก็จะมีที่พักพิงในคืนนี้

“คุณรอผมอยู่ที่นี่นะ ผมจะเข้าไปดูให้ใกล้กว่านี้”

ร่างสูงบอกก่อนจะย่องออกไป จันทร์ดาราหันไปมองรอบๆ ตัวเมื่อไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเธอก็รอเงียบๆ ตอนนี้ร่างสูงหายไปจากสายตาแล้ว เขาเคลื่อนไหวได้เร็วมากแค่เธอเผลอนิดเดียวก็ไม่เห็นเขาแล้ว หัวใจของจันทร์ดาราเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทั้งหวาดกลัวและเป็นห่วงชายหนุ่มจับใจ

จันทร์ดารารออยู่สักพักก็เห็นร่างสูงเดินกลับมา เธอวิ่งเข้าไปหาและรีบถามข่าวคราวทันที

“เป็นไงบ้าง เราจะพักที่นี่ได้มั้ย”

“ผมยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเป็นหมู่บ้านชาวบ้านธรรมดา”

พอดีกับที่มีหญิงแก่และเด็กเดินผ่านมาทางนั้น สุริยะจึงเรียกไว้

“ป้าครับ ขอโทษนะครับ ป้าอยู่หมู่บ้านข้างหน้านี้ใช่มั้ยครับ”

“ใช่ มีอะไรรึพ่อหนุ่ม”

“ผมหลงป่าเลยเดินมาเรื่อยๆ จนเจอหมู่บ้านข้างหน้า แต่ไม่แน่ใจน่ะครับว่าไว้ใจได้รึเปล่า คือ...ผมมากับเมียน่ะครับ ก็เลยต้องระวังเป็นพิเศษ”

ป้าลำยองมองจันทร์ดาราแล้วต้องยิ้มให้ หญิงสาวคนนี้หน้าตาสวยสดงดงามน่ารักขนาดนี้ก็สมควรที่จะให้พ่อหนุ่มคนนี้เป็นห่วง

“อ๋อ...ไว้ใจได้ พวกเรามาอยู่ที่นี่นานแล้ว เรารักความสงบน่ะไม่ชอบความวุ่นวายก็เลยแยกออกมาอยู่ซะกลางป่าแบบนี้ มาๆ ตามข้ามา ไม่ต้องกลัวนะพวกเราไว้ใจได้”

จันทร์ดารากระตุกมือใหญ่อย่างไม่ไว้ใจป้าลำยอง สุริยะเองก็ไม่ไว้ใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาต้องหาที่พักที่กินให้หญิงสาว และอยากรู้ด้วยว่าตอนนี้ตนอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย

“นายราหู ฉันกลัว”

หญิงสาวบอกตามจริง เธอกลัวภัยจากมนุษย์มากกว่าภัยจากธรรมชาติ เพราะธรรมชาติไม่เคยเล่นตลกหรือหลอกลวงใคร แต่มนุษย์ทั้งเล่นตลกและหลอกลวงแก่งแย่งชิงดีกันทุกวัน ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าคนที่เธอไว้ใจที่สุด คือผู้ชายร่างสูงที่อยู่ข้างๆ คนนี้คนเดียว

“ผมอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก” สุริยะปลอบ

ทั้งคู่เดินตามป้าลำยองไปหยุดหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง เมื่อมีคนแปลกหน้ามาคนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นก็พากันออกมาเมียงมอง ผู้ชายหลายคนถือปืนในมือ หน้าตาดุดันน่ากลัวจนจันทร์ดาราต้องหลบไปอยู่ข้างหลังสุริยะ ชายหนุ่มเองก็เตรียมพร้อม อาวุธของเขาตอนนี้เหลือเพียงมือเปล่า เพราะปืนที่พกติดตัวมาด้วยตกน้ำจมหายไปแล้วตอนที่กระโดดลงน้ำตก แต่ถึงจะมีแค่มือเปล่าเขาก็จะสู้เพื่อปกป้องหญิงสาวที่ยืนแอบอยู่ข้างหลัง

“ไอ้ผัน พวกเอ็งไม่ต้องเอาปืนมาขู่เขาหรอกเว้ย พ่อหนุ่มกับนังหนูนี่มันหลงป่ามา ไม่ได้ประสงค์อะไรหรอกเว้ย”

“ป้าอย่าไว้ใจคนสุ่มสี่สุ่มห้า พวกมันอาจตามหาพวกเราอยู่ก็ได้ แก...จะมาหลงป่าแถวนี้ได้ยังไง แกมาทำอะไรแถวนี้”

คนที่ชื่อผันบอกป้าลำยอง และชี้ปืนมายังสุริยะ

ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากกระท่อมที่ป้าลำยองพามาหยุดยืนอยู่ เขามองสุริยะและจันทร์ดาราอย่างสำรวจด้วยสายตาดุดัน

“ใครวะนังลำยอง เอ็งพาใครเข้ามาหาพวกเรา”

“พวกเขาหลงป่ามาอยากได้ที่พักเหนื่อย ข้าก็เลยพามาพักที่นี่”

“ใช่ครับ ผมกับเมียหลงป่ามาหาทางออกไม่เจอ เดินตามลำน้ำมาเรื่อยๆ ก็มาเจอที่นี่น่ะครับ คือ...รถของเพื่อนผมเสีย เมียผมเกิดท้องเสียก็เลย...หามุมลับตาคนปล่อยทุกข์ พอเสร็จแล้วก็ดันหาทางกลับไม่เจอ ยิ่งเดินก็ยิ่งลึก ต้องโทษเมียผมที่ดันมาท้องเสียเอาตอนนั้นพอดี”

ร่างสูงบอก เขาไม่หันไปสบตาจันทร์ดาราที่มองตาเขียวขุ่น ก็ดันไปหาว่าเธอท้องเสียซะนี่ ตาบ้าคิดเหตุผลอื่นไม่ได้หรือไงก็ไม่รู้

“พวกผมมาดีแน่นอนครับ ไม่ได้มาร้าย”

สุริยะย้ำจับมือบางแน่นและส่งยิ้มฝืดๆ ออกไป จันทร์ดาราจำต้องยิ้มแหยๆ แต่ยังหลบอยู่หลังร่างหนาเช่นเดิม

“แน่นะ ถ้ามาดีก็อยู่ได้ แต่ถ้ามาร้ายเอ็งได้เป็นผีเฝ้าป่าแน่”

“ขอให้เชื่อเถอะครับ พวกเรามาดีจริงๆ ผมสงสารเมีย เค้าเพลียมากเลยตอนนี้ ขอพักที่นี่สักคืนเถอะนะครับ”

ลุงผวนกวาดตามองทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าและทุกคนที่รายล้อมทั้งคู่ก็วงแตก สุริยะลอบถอนใจอย่างโล่ง อก มือหนาบีบกระชับมือบางเป็นระยะๆ รู้สึกได้ถึงมือน้อยที่เย็นเฉียบเพราะความกลัว ทั้งสองเดินตามชายชราเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ และพอคนร่างสูงใหญ่อย่างสุริยะเข้าไปกระท่อมเล็กๆ นั้นก็ยิ่งแคบลงไปอีก

จันทร์ดาราเบียดกระแซะร่างแกร่งไม่ห่าง ราวกับกลัวว่าถ้าห่างกันกว่านี้แล้วเธอกับเขาจะต้องแยกจากกันไปตลอดชีวิต ลุงผวนมองหญิงสาวนิ่ง

“ดูถ้าเมียเอ็งจะกลัวข้ามากเลยนะ ถ้าพวกเอ็งมาดีก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”

ตลอดเวลาที่ลุงผวนหรือสุริยะเรียกจันทร์ดาราว่าเมีย หญิงสาวไม่ปฏิเสธเลยสักครั้งก็เธอเป็นเมียเขาจริงๆ นี่นา ความจริงข้อนี้เธอไม่มีทางลืม

“เอ่อ...พวกลุงอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอครับ”

“พวกข้าอยู่มาหลายปีแล้ว เบื่อชีวิตชาวกรุงต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน สู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ดีกว่า”

“แล้วทำไมถึงเข้ามาอยู่ซะลึกแบบนี้ล่ะคะ จะกินจะอยู่กันยังไง”

จันทร์ดาราลืมตัวถามออกไป และพอสบตาดุๆ ของลุงผวนเข้าเธอก็หลบแทบไม่ทัน

“เอ็งเป็นทหารรึพ่อหนุ่ม”

“อดีตน่ะครับ ตอนนี้ผมลาออกจากราชการแล้ว”

รู้ว่าเป็นคำตอบโง่ๆ ที่คนฟังคงไม่เชื่อ แต่ในขณะนั้นสุริยะนึกได้เท่านี้ เขาไม่ไว้ใจใครพอจะบอกว่าตนเป็นใครได้ และคนตรงหน้าดูๆ แล้วคงไม่ชอบคนในเครื่องแบบเท่าไหร่ ถ้าให้เดาคนในหมู่บ้านนี้คงเป็นคนทำผิดที่หลบซ่อนตัวหนีการจับกุมมากกว่า แต่คงเป็นโจรกลับใจแต่ไม่อยากถูกจับ เพราะถ้ายังไม่กลับใจเขากับจันทร์ดาราคงไม่ได้นั่งอยู่แบบนี้

เป้สะพายที่สุริยะสะพายตลอดถูกจันทร์ดาราดึงมาหลบไว้โดยสัญชาตญาณ เธอรู้ว่าในนั้นต้องมีอุปกรณ์ของทหารและคงไม่ดีแน่ถ้าลุงคนนี้จะรู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง

“พี่ซันจ๊ะ เจนอยากเข้าห้องน้ำ เอ่อ...อยากเปลี่ยนผ้าอนามัยด้วยจ้ะ”

จันทร์ดารากอดกระเป๋าเป้ไว้ก่อนเปิดแล้วทำทีเหมือนหาของใช้ส่วนตัว ร่างบางทำเป็นกระมิดกระเมี้ยนนั่งไม่เป็นสุขดวงตากลมสบตาคมอย่างวอนขอ สุริยะเอะใจว่าหญิงสาวคงมีแผนอะไรอีก ก็เลยเออออห่อหมกตามเธอไป

“ลุงครับ เมียผมเป็นประจำเดือน ห้องน้ำอยู่ไหนครับ ขอพาเค้าไปทำธุระส่วนตัวหน่อย”

“อ๋อ...ได้สิ โน่นไงห้องน้ำ แต่ข้าบอกไว้ก่อนนะเว้ย ห้องน้ำที่นี่คงไม่มิดชิดเหมือนที่บ้านเอ็งหรอก”

“ขอบคุณครับ”

สุริยะพาจันทร์ดาราเดินไปห้องน้ำ เขาปล่อยให้หญิงสาวเข้าไปคนเดียวและตนก็ยืนรออยู่ข้างนอก แต่มือน้อยก็ดึงข้อมือหนาเข้าไปด้วย

“อะไรกันคุณ คุณจะให้ผมเข้ามาทำไม”

จันทร์ดาราปิดปากหยักด้วยฝ่ามือ ส่งสายตาดุๆ ปรามร่างสูงและกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“อย่าเสียงดังสิ อยากให้เขาจับได้เหรอ พูดให้เหมือนเราเป็นผัวเมียกันหน่อยสิ”

“อ้อ...ตอนนี้เราเป็นผัวเมียกันสินะ แล้วซันเซินเจนจนอะไรนั่นมันคืออะไร”

“อ้าว...ซันก็นายไง ส่วนเจนก็ฉัน นายนี่ไม่น่าโง่เลยนะ อยู่กับคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางจะไปบอกชื่อจริงให้เขารู้ทำไมกัน เกิดเป็นโจรขึ้นมาเราก็ได้ตายทั้งคู่”

“หึ หึ...เก่ง แต่ผม...เอ้ย...พี่จะบอกอะไรให้ ที่นี่น่ะรังโจรชัดๆ แต่คงเป็นโจรกลับใจและกลัวถูกจับ จึงหลบมาใช้ชีวิตอยู่กลางป่าลึกแบบนี้”

“ห๊า...นาย...เอ้ย...พี่ซันว่าอะไรนะ รังโจรเหรอ แล้วเราจะไว้ใจมันได้รึเปล่า แล้วเป็นพวกเดียวกับที่จับเจนรึเปล่า”

จันทร์ดาราเบิกตาโพลง หวังว่าเธอกับเขาคงไม่หนีเสือปะจระเข้หรอกนะ

“คงไม่ใช่ แต่เราก็อย่าเพิ่งนอนใจ อยู่ใกล้พี่ไว้แล้วกัน”

“แน่นอนอยู่แล้วล่ะน่ะ”

สุริยะหยิบเข็มทิศออกมาจากเป้มองดูทิศทางที่ตนกำลังยืนอยู่ เขาพาเธอมาถูกทิศแล้ว ถ้าเดินผ่านหมู่บ้านนี้ไปยังพิกัดที่เขาจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ก็อีกไม่ไกลนัก

“เป็นไงมั่ง เรามาถูกทางรึเปล่า”

“อืม...เราต้องผ่านหมู่บ้านนี้ไปอีก อย่าทำอะไรที่เป็นพิรุธเด็ดขาด”

“รู้แล้วล่ะน่ะ พี่ซันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel