บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

3

“อ๊ะ...ดูโน่นสิจันทร์เจ้า”

จันทร์ดารามองตามปลายนิ้วที่ชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า เห็นหมู่ดาวระยิบระยับวับวาวอยู่เต็มฟากฟ้า แสงของดวงจันทร์ส่องสว่างลอดช่องว่างของใบไม้ที่พลิ้วไหว ช่างงดงามและคงไม่มีโอกาสได้ชมความงามตามธรรมชาติแบบนี้บ่อยนัก

“สวยจังเลย นาย...เอ๊ย...พี่ยะคะ ถ้าเราไม่ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ คงดีไม่น้อยเลยนะคะ”

“ใช่...แต่จันทร์บนท้องฟ้า ก็คงงามไม่เท่าดวงจันทร์ในอ้อมกอด”

จันทร์ดาราเอียงหน้าหันไปมองสบตาคนพูด เห็นดวงตาทอประกายระยิบระยับไม่ต่างกับดวงดาวบนท้องฟ้า เธอหันหน้ากลับมาทางเดิม ลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอระหงทำให้หญิงสาวขนลุกซู่

“พี่ยะคงปากหวานแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน แต่...จันทร์เจ้าขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ว่าจันทร์เจ้าไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้”

“แล้วจันทร์เจ้าชอบผู้ชายแบบไหน”

“พี่ยะ! เอามือออกไปนะ จันทร์เจ้าไม่ชอบแบบนี้” เธอไล่ทุบมือซนพัลวัน

จันทร์ดาราเอ็ดเสียงหลง แต่กลับได้เสียงหัวเราะตอบกลับมา ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกเลยสักนิด

“ลองแล้วเหรอ ถึงรู้...ว่าไม่ชอบ”

ปลายเสียงแหบพร่าข้างๆ ใบหู

“พี่ยะ...จันทร์เจ้าจะฟ้องพ่อ ถ้า...”

“ถ้าอะไร จันทร์เจ้าจะฟ้องพ่อ ถ้าอะไร”

“ถ้า...ถ้า...ถ้าพี่ยะทำ...”

“หืม...ทำอะไรเหรอคนเก่ง อยากจะขี่ม้าไปฟ้องพ่อว่าอะไรเหรอ”

“ว่าพี่ยะ...พี่ยะรังแกจันทร์เจ้า กะ...กลางป่า”

“รังแกยังไง พี่รังแกจันทร์เจ้าตรงไหน หืม...”

จันทร์ดาราสะบัดหน้าไปมา อยากร้องห้ามและตะครุบมือใหญ่ไม่ให้รุกรานเรือนร่างเธอมากไปกว่านี้

“พี่ยะ...ยะ...อย่า อย่าทำแบบนี้”

“ทำไม พี่ทำยังไง ไหน...บอกพี่สิ ว่าจันทร์เจ้าจะไปฟ้องพ่อว่าอะไร”

“จะ...จะให้จันทร์เจ้าบะ...บอกพี่ยะได้ยังไง”

“ได้สิ บอกพี่ก่อน ว่าจะไปฟ้องพ่อว่ายังไง ถ้าคำตอบโดนใจ พี่จะปล่อยให้จันทร์เจ้าอาบน้ำเอง แต่ถ้าตอบไม่ถูกใจ พี่จะอาบน้ำให้จันทร์เจ้าหลายๆ รอบ”

“อาบน้ำอะไรกันหลายๆ รอบ”

“เร็วๆ ตอบพี่มาก่อน พี่จะไม่ไหวแล้วนะ ถ้านานกว่านี้ ความอดทนของพี่คงหมดลงแน่ๆ”

“จันทร์เจ้า...จันทร์เจ้าจะฟ้องพ่อ ว่า...ว่า...พี่ยะจะ...จะ...ข่มขืนจันทร์เจ้า”

“หึ หึ...แบบนี้เขาไม่เรียกว่าข่มขืนหรอกเด็กโง่ เขาเรียกว่าสมยอม จันทร์เจ้าต้องไปฟ้องพ่อ ว่าจันทร์เจ้าสมยอมกับพี่”

“บ้าน่ะสิ”

“เป็นอะไรไป โกรธพี่เรื่องอะไร หรือว่า...โกรธพี่เรื่องเมื่อครู่นี้”

จันทร์ดาราไม่ตอบ แต่ตวัดตาค้อนขวับๆ ใส่คนตัวโต สุริยะเห็นอาการขว้างค้อนคมให้เขาก็ยิ้มบางๆ เขากลัวว่าเธอจะโกรธเรื่องที่เขาเกือบร่วมรักกับเธอในแอ่งน้ำ แต่เห็นแบบนี้แล้ว หญิงสาวก็คงไม่ได้โกรธอะไรเขามากมาย

“กลับขึ้นข้างบนกันเถอะค่ะ จันทร์เจ้าหนาว”

สุริยะพยักหน้าให้ ดวงตาคมเหลือบมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังภัย และเมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ เขาก็จูงมือน้อยเดินขึ้นไปด้านบนตรงที่มีปลายเชือกห้อยลงมา จัดการผูกร่างของเธอให้ติดกับร่างแกร่งของเขา โดยไม่ลืมสั่งเสียงเย็น

“กอดไว้แน่นๆ”

จันทร์ดาราไม่ปฏิเสธ เธอกอดร่างหนาอบอุ่นแน่นตามคำสั่ง และสุริยะก็ทำตัวเป็นทาซานโหนเชือกเข้าไปใต้ม่านน้ำตกอีกครั้ง

จันทร์ดาราเอนกายนอนหันหลังให้ไม่พูดไม่จา เธอบอกไม่ถูกว่ากำลังโกรธคนที่นั่งเงียบๆ ไม่ห่างหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เธอกำลังคิดถึงร้อยเอกระบิล บวรกิจโสภณ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของเธอ เธอกับระบิลไม่ได้รักกันแบบชายหนุ่มหญิงสาว แต่รักกันแบบพี่แบบน้อง อีก 3 เดือนเธอกับระบิลก็ต้องแต่งงานกัน แต่ตอนนี้...ตอนนี้หัวใจของเธอกลับโหยหาใครอีกคน คนที่เป็นแค่อัศวินขี่ม้าขาวที่พ่อส่งมาช่วย คนที่เธอต้องฝากชีวิตไว้กับเขาในระหว่างที่อยู่ในป่าและหลบหนีพวกที่ตามล่าเธออยู่ หญิงสาวน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีร่างบางก็สะอื้นฮักจนคนที่นั่งมองอยู่เงียบๆ อย่างใช้ความคิดนั้นรู้สึกได้

“จันทร์เจ้า...เป็นอะไรไปที่รัก”

“หยุดเรียกว่าที่รักสักทีได้มั้ย เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราไม่ได้รักกัน”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นหันหน้ามาตวาดแว๊ด สุริยะเองก็ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจที่ถูกตะโกนใส่หน้าเช่นกัน

“อ๋อ...ลืมไป ว่าคุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว จริงสินะ คนที่จะเรียกว่าที่รักได้ก็ต้องเป็นคนที่กำลังจะเป็นสามีในอนาคต”

“ใช่ เพราะฉะนั้น นายอย่าเรียกฉันว่าที่รักอีก”

“ได้ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอโทษด้วย เพราะเรียกคำนี้จนติดปาก นอนกับใครก็เรียกเค้าแบบนี้ทั้งนั้น”

“เพียะ” จันทร์ดาราฟาดฝ่ามือใส่หน้าคร้ามคมเต็มแรง สุริยะหน้าหันไปตามแรงตบ ก่อนยกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกตบ และหันกลับมามองคนที่บังอาจตบหน้าเขาเป็นคนแรกตาลุกวาว

“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร เอะอะอะไรก็ตบ ผมจะบอกให้นะ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นลูกใคร ลูกท่านหลานเธอคนไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ตบหน้าใครง่ายๆ แบบนี้”

“แล้วสิ่งที่นายทำล่ะ ที่นายทำกับฉันในแอ่งน้ำน่ะ นายมีสิทธิ์เหรอ อยากนักทำไมไม่รอให้ออกไปจากป่าบ้าๆ นี่ซะก่อน ถึงเวลานั้นนายก็ไปหาคนที่นายเคยนอนด้วย แล้วจะกกกอดใครก็แล้วแต่ มันเป็นสิทธิ์ของนาย แต่ไม่ใช่ฉัน”

จันทร์ดาราตะโกนใส่หน้าคมๆ อย่างเหลืออด น้ำตาไหลพรากออกมาเต็มสองแก้ม คำพูดของเขาเหมือนเข็มพันเล่มที่ปักเข้าที่หัวใจดวงน้อยของเธอ หญิงสาวเจ็บเหลือจะกล่าว แต่เธอจะต้องอดทนอย่าให้ผู้ชายคนนี้รู้ว่าเธอมอบใจให้เขาไปแล้ว

“แล้วผมบังคับคุณที่ไหน คุณสมยอมเองนะ...จันทร์เจ้า”

จันทร์ดาราแทบหน้าหงายเมื่อถูกตอกกลับมาแบบนี้ ใช่...เธอสมยอมเอง เธอยอมให้เขากอด ให้เขาจูบ ให้เขาทำอะไรพิเรนทร์ๆ แบบที่เขาทำ แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้เขาก็ตอกกลับมาจนหน้าหงาย หมดแล้วศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง เขาก็แค่เหงาเพราะอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ แล้วมีเธอเป็นของเล่นคลายเหงาเท่านั้น ความโกรธความโมโหตัวเองที่ใจง่าย ทำให้จันทร์ดาราผุดลุกขึ้นยืน เธอเดินไปที่ม่านน้ำตก แต่ชายหนุ่มไวกว่า เขาลุกขึ้นและดักหน้าหญิงสาวเอาไว้ได้ทัน

“จะไปไหน” สุริยะฉุดต้นแขนบางเอาไว้ แต่เธอพยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม

“ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย”

“แต่ผมมีหน้าที่ต้องคุ้มครองคุณ จนกว่าจะพาคุณกลับออกไปได้อย่างปลอดภัย”

“ถ้างั้นนายกลับไปบอกพ่อฉัน ว่าให้ส่งพี่ระบิลมารับแทน ฉันจะรออยู่ที่นี่”

“อ๋อ...ที่แท้ก็คิดถึงว่าที่ผัวในอนาคตนี่เอง เอ...แล้วถ้าเจอหน้ากัน คุณจะบอกเขาว่ายังไงนะ อ้อๆ คุณจะฟ้องพ่อด้วยนี่นา แต่ตอนนี้คงจะฟ้องผู้กองระบิลด้วยสินะ อืม...อย่าลืมบอกไปด้วยล่ะ ว่าเสียพรหมจารีย์ให้นิ้วของผมไปแล้ว”

“กรี๊ดๆๆ” จันทร์ดาราหวีดร้องกระทืบเท้าไปมาอย่างโกรธเกรี้ยว เธอทรุดตัวลงนั่งกอดเขาและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บใจ เธอไม่น่าไปหลงมีใจให้ผู้ชายแบบนี้เลย

สุริยะเองก็รู้ตัวว่าปากไวไปหน่อย ไม่หน่อยล่ะมากทีเดียว ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างบาง และรวบกายสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นเข้ามากอด แต่หญิงสาวก็ขัดขืน หากแรงเท่ามดมีรึจะสู้แรงคนกำยำแข็งแกร่งไปทั้งตัวได้

“ไม่ต้องมากอด ปล่อยฉันนะ”

“โอ๋ๆ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”

“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ แล้วในแอ่งน้ำล่ะ นายตั้งใจรึเปล่า ฮึ...ก็คงไม่ได้ตั้งใจอีกใช่มั้ย นายก็เห็นฉันเป็นแค่ของเล่นในยามเหงาเท่านั้น ปล่อยฉันนะ ฉันไม่อยากเป็นของเล่นของนายอีก”

หญิงสาวดิ้นรนขัดขืน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อย เขารู้ตัวว่าปากไม่ดี ทำให้จันทร์ดาราเสียใจ และอยากตบปากตัวเองแรงๆ สัก 2-3 ครั้ง ให้หลาบจำว่าไม่ควรพูดแบบนี้กับผู้หญิงอีก

“ไม่เอาน่ะ...คนดี ผมขอโทษแล้วไง ผมก็ปากหมาแบบนี้ล่ะ อย่าถือโทษโกรธผมเลยนะ”

“พ่อไม่น่าส่งนายมาช่วยฉันเลย ถ้าไม่ใช่นาย เรื่องแบบนี้คงไม่เกิด”

“แต่ผมดีใจนะ ที่ได้มาเจอคุณ ถ้าท่านนายพลส่งคนอื่นมาแทน ผมคงไม่โชคดีแบบนี้”

“โชคดี?”

“ใช่...โชคดีที่เป็นผู้ชายคนแรกของคุณ”

“เราไม่ได้เป็นไรกันสักหน่อย”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ อย่าไปบอกใครเชียวนะ ถ้ามีคนรู้ว่าคุณเป็นของนิ้วผม ผมคง...อายแย่เลย”

สุริยะกระเซ้า และได้หยิกหมับเข้าที่ต้นคอเป็นรางวัลจากจันทร์ดารา

“คนบ้า ทะลึ่ง ลามกที่สุด”

สุริยะปิดปากนุ่มด้วยริมฝีปากร้อนๆ ของตัวเองอีกครั้ง ในขณะที่สร้างความรัญจวนให้หญิงสาวด้วยจูบที่เร่าร้อน สมองของเขาก็กำลังคิดถึงคู่หมั้นหนุ่มของจันทร์ดารา และแฟนสาวของตัวเองที่ไม่ได้พบหน้ากันเกือบปีแล้ว

พิริตา กนกเดชะ หอบหิ้วถุงผักและของสดเต็มไม้เต็มมือ สาวร่างบางแทบจะปลิวลมสวมแว่นตาหนาเตอะเพราะสายตาที่สั้นมาก พิริตาหรือพริ้งสาวเฉิ่มแสนหวานวัย 25 ปี ไม่มีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงนอกจากพันตรีสุริยะแฟนหนุ่ม เพราะถูกบดบังด้วยแว่นสายตาหนาเตอะ ถึงแม้จะมีเค้าหน้าใสผิวอมชมพูอยู่ก็เถอะ แต่เมื่อมีแว่นตาหนาๆ ราวกับแว่นของคนแก่ทำให้เธอดูแก่กว่าอายุจริงมาก

หญิงสาวสวมชุดเดรสสีครีมยาวครึ่งหน้าแข้งมีเสื้อคลุมสีดำสวมทับอีกชั้นหนึ่ง กับรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดเอี่ยม ผมหยักศกถูกมัดเป็นแกละสองข้างยิ่งทำให้เธอดูเฉิ่มมากขึ้นในสายตาของคนที่พบเห็น พิริตากำลังจะเดินข้ามถนน เธอเองมองซ้ายมองขวาก่อนจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยจึงข้าม แต่พอเดินไปได้แค่สี่ก้าวถุงหูหิ้วส้มเขียวหวานก็ขาด ส้มลูกกลมๆ กลิ้งออกมาเต็มถนน พิริตาจึงก้มลงเก็บอย่างเร่งรีบ แต่รถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งที่แล่นมาด้วยความเร็ว เพราะคนขับรีบขับให้ไปถึงที่หมายก็ต้องเบรคพรืด เสียงล้อรถบดถนนดังสนั่นแสบแก้วหู ทำให้พิริตาต้องยกมือขึ้นปิดหูและหลับตาปี๋เมื่อเห็นว่ารถคนดังกล่าวกำลังวิ่งตรงมาหาเธอ

“เอี๊ยด”

รถแลนด์โรเวอร์คันนั้นมาหยุดอยู่ห่างจากเธอเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด คนขับรถสวมแว่นกันแดดสีดำร่างสมาร์ทในชุดทหารสีกากีแกมเขียวเต็มยศลงมาจากรถ และตรงเข้าไปพยุงร่างบางที่แข้งขาอ่อนจนนั่งลงไปกับพื้น โดยมีถุงข้าวของวางอยู่ข้างๆ ลำตัว

“คุณ! เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

นายทหารหนุ่มทรุดตัวนั่งยองๆ บนส้นเท้า มองใบหน้าหวานแต่ถูกปิดบังด้วยแว่นตาหนาเตอะ หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองคนที่กำลังนั่งยองๆ ข้างๆ เธอ และกวาดตามองไปรอบๆ เห็นคนมากมายมองชะเง้อชะแง้มายังเธอกับเขา สติของพิริตาถูกดังกลับคืนมาแล้วพวงแก้มใสก็แดงเป็นลูกตำลึงอย่างอับอาย หญิงสาวลุกขึ้นจะเก็บส้มที่กลิ้งเต็มถนน แต่ขาของเธออ่อนแรงจนต้องทรุดลงไปอีก

ร้อยเอกระบิล บวรกิจโสภณ ช้อนร่างบางแทบปลิวลมขึ้นอุ้มและพาเดินไปวางบนเบาะรถด้านข้างคนขับ ก่อนจะเดินออกมาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย รวมทั้งส้มทุกลูกใส่ถุงพลาสติกอีกใบที่พอจะยัดของเข้าไปได้อีก

พิริตามองการกระทำของเขาด้วยความมึนงง และได้แต่นั่งรอในรถจนชายหนุ่มเดินกลับมาวางถุงทั้งหมดที่เบาะด้านหลัง เขาไม่พูดไม่จาจนกระทั่งเข้ามานั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว

“เป็นยังไงบ้างครับคุณ”

“เอ่อ...ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเก็บของให้ฉัน”

“ผมต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่า ผมคงทำให้คุณตกใจมากเลยสินะครับ พอดีผมรีบก็เลยขับรถเร็วไปหน่อย ว่าแต่บ้านคุณอยู่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง”

“อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบคุณมาก”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมเดาว่าคงอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้มาก ยังพอมีเวลา เดี๋ยวผมจะไปส่งนะครับ”

“เอ่อ...ฉันเกรงใจน่ะค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมยินดี”

แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา รถแลนด์โรเวอร์ก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียวสีชมพูหวาน ชายหนุ่มลงมาเปิดประตูรถให้พิริตาสมกับเป็นสุภาพบุรุษ

“ผมร้อยเอกระบิล บวรกิจโสภณ แล้วคุณล่ะชื่ออะไรเหรอครับ”

ระบิลถามก่อนที่พิริตาจะเดินเข้าบ้าน

“ฉันพิริตา กนกเดชะค่ะ ฮิ ฮิ...”

“หัวเราะอะไรเหรอครับ”

ระบิลเห็นรอยยิ้มของสาวเฉิ่มแล้วต้องยิ้มตาม รอยยิ้มของเธอทำให้โลกทั้งโลกสว่างขึ้นมาทันตา พลางคิดว่าถ้าถอดแว่นตาหนาเตอะและเปลี่ยนการแต่งกายของเธอใหม่ พิริตาคงสวยไม่น้อย

“ฉันไม่เคยต้องแนะนำตัวเอง แล้วบอกนามสกุลด้วยไงคะ แต่เห็นคุณแนะนำเต็มยศแบบนั้น ก็เลยพูดตาม ฮิ ฮิ...”

“อ๋อ...” ระบิลยกมือเกาหัวอย่างเขินอาย “ผมติดรายงานตัวน่ะครับ แล้วคุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ”

“ฉันอยู่กับแม่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะเป็นคนลพบุรีเลยรึเปล่า”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ไปประจำอยู่ที่นครราชสีมา ตอนนี้เข้ามาราชการที่ลพบุรีน่ะครับ”

“เหรอคะ พี่ยะ...เอ๊ย...พี่ชายฉัน...เอ่อ...คนที่กำลังคบหากันน่ะค่ะ ก็ประจำอยู่ที่นครราชสีมาเหมือนกัน บ้านเขาอยู่ข้างๆ นี่เองค่ะ”

พิริตาชี้ให้เห็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่อยู่ข้างๆ บ้านเธอ ระบิลมองบ้านหลังนั้นแล้วอดใจแป้วไม่ได้ ก็บ้านของคนที่เธอแนะนำว่ากำลังคบหากันอยู่นั้น หลังใหญ่กว่าบ้านเขาเกือบเท่านึงเชียว ต่างกันที่เป็นบ้านทรงไทยแท้กับบ้านสไตล์โมเดิร์น

“อ๋อ...ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ แล้ววันหลังผมจะแวะมาเยี่ยม”

“ค่ะ ยินดีต้อนรับเสมอนะคะ ผู้กองระบิล”

ร้อยเอกระบิลยิ้มกว้างให้ ก่อนเดินกลับไปขึ้นรถ อดมองกระจกหลังดูร่างบางที่กำลังเดินเข้าบ้านไม่ได้ เขายอมรับว่าผู้หญิงเฉิ่มแสนเชยอย่างพิริตานั้นน่ารัก เขาจำรอยยิ้มของเธอได้เป็นอย่างดี และจะประทับไว้ในความทรงจำแน่นอน ชายหนุ่มเร่งเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้น เมื่อมองดูนาฬิกาที่ข้อมือตน ข่าวสำคัญที่เขาต้องรับรู้ ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร รู้แต่ว่าจะต้องสำคัญมาก ไม่งั้นคงไม่เรียกตัวเขาด่วนทั้งที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่แบบนี้

“ผู้กองระบิล โทรศัพท์ของคุณ จากท่านนายพลจักรกฤษ”

ผู้บังคับบัญชาส่งโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานให้ระบิล ก่อนเดินหนีออกไปอย่างรู้มารยาทดี

“ครับท่าน”

“ขอโทษที่ต้องโทรมารบกวนเวลาปฏิบัติหน้าที่ของคุณ จันทร์เจ้าถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่”

“อะไรนะครับท่าน”

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ตอนนี้ผมส่งคนไปช่วยแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเลย”

“ท่านครับ แล้วจันทร์เจ้าปลอดภัยใช่มั้ยครับ”

“ผมคิดว่าปลอดภัย เพราะคนที่ผมส่งไปมีฝีมือฉกาจพอตัวอยู่ ผมมั่นใจว่าจันทร์เจ้าต้องปลอดภัย ถ้าเสร็จงานทางโน้นให้รีบกลับทันที เพราะถ้าได้รับการยืนยันพิกัดที่แน่นอนแล้ว คุณจะต้องเป็นคนไปรับจันทร์เจ้าในฐานะคู่หมั้น”

“ครับท่านนายพล”

ระบิลวางหูโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วงคู่หมั้นสาว เขาบอกตัวเองไม่ถูกว่ารักจันทร์ดาราหรือไม่ แต่สาวน้อยน่ารักแสนสวยนั้นก็ทำให้เขามีรอยยิ้มได้ตลอดเวลา แต่มีบางอย่างเป็นกำแพงกั้นระหว่างเขากับเธอ ซึ่งระบิลเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อีกสามเดือนก็ถึงกำหนดวันแต่งงานของเขาและจันทร์ดารา ชายหนุ่มไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนว่าที่เจ้าบ่าวควรจะเป็น เขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่มากกว่า หน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ บุญคุณที่ต้องทดแทน

จันทร์ดารานอนหลับอยู่ข้างๆ กองไฟ โดยมีร่างสูงนั่งอยู่ใกล้ๆ ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นลง จันทร์ดารากอดอกซุกตัวอยู่ใต้เสื้อทหารของสุริยะ ความร้อนจากกองไฟไม่ช่วยให้เธอหายหนาว หญิงสาวพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่สบายตัว สุริยะจึงเขยิบร่างเข้าไปใกล้ แล้วนอนซ้อนหลังหญิงสาวห่มร่างเธอด้วยไออุ่นของตน

จันทร์ดาราเมื่อได้ไออุ่น เธอก็พลิกตัวเข้าหาแถมยังกอดก่ายชายหนุ่มเหมือนเป็นหมอนข้างอีกด้วย ชายหนุ่มแต้มยิ้มที่มุมปาก ยกศีรษะของหญิงสาวขึ้นและยืดแขนที่เธอหนุนต่างหมอน เธอหลับสนิทจริงๆ ขนาดเขาขยับร่างเธอแบบนี้ สาวน้อยก็ยังไม่รู้สึกตัว

“คงจะเพลียล่ะสินะ ถึงได้หลับสนิทแบบนี้”

ผู้พันหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างหนักอก เธอหลับสบายอารมณ์แต่เขาต้องนอนตัวแข็ง เพราะร่างนุ่มนิ่มที่กอดก่ายเหมือนเขาเป็นหมอนข้าง โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าหมอนข้างที่เธอกอดอยู่นั้นมีชีวิตและตอนนี้ก็กำลังปวดตรงกลางร่างแล้วด้วย

“แล้วเราจะนอนได้ยังไงล่ะทีนี้ เฮ้อ...”

จันทร์ดาราพยายามจะพลิกตัวไปอีกด้าน แต่ความอบอุ่นแนบแน่นทำให้เธอพลิกตัวไม่ได้อย่างใจนึก อีกทั้งลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะขมับบางตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวต้องลืมตาตื่น สิ่งแรกที่ได้เห็นคืออกกว้างเครียดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อมีขนอ่อนขึ้นประปราย เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นปลายคางบึกบึน ริมฝีปากเรียวได้รูป มุมปากลึกทำให้เวลาที่เจ้าของฉีกยิ้มหน้าทะเล้นทำให้ดูเป็นคนปากกว้างโชว์ฟันขาวสะอาดจนน่าหยิก ปลายจมูกโด่งแหลมน่ากัดและเคี้ยวให้หนำใจ ดวงตากลมโตไล่ขึ้นไปสบตาคมของคนที่เธอคิดว่าหลับ

“อรุณสวัสดิ์คนสวย”

หญิงสาวขยับตัวมองออกไปยังม่านน้ำตกและไม่เห็นแสงสว่างส่องผ่านเข้ามา เธอก็ขมวดคิ้ว

“เช้าแล้วเหรอ ทำไมยังไม่สว่างเลยล่ะ”

“เวลานี้น่าจะประมาณตีสี่แล้วล่ะ”

“เหรอ ฉันหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่น่ะสิ หลับจนผมปวดแขนไปหมด เพราะต้องเป็นหมอนให้คุณหนุนทั้งคืน แถมยังไม่ได้หลับเลยสักตื่นด้วยซ้ำ”

“อ้าว...” จันทร์ดาราขยับตัวจะลุกขึ้น เพื่อให้สุริยะได้นอนอย่างสบายๆ บ้าง “ปล่อยสิ นายจะได้นอนสบายๆ ไง”

“ไม่นอนแล้วล่ะ ตอนนี้คงนอนไม่หลับแล้ว”

“ทำไมล่ะ เดี๋ยวนายก็ง่วงหรอก”

“ไม่...ไม่ง่วงแล้ว ตอนนี้อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

สุริยะพลิกร่างขึ้นเป็นฝ่ายทาบทับ ประกบเรียวปากจูบปากนุ่มรับอรุณ ผู้พันหนุ่มกำลังตะบะแตกหลังจากที่ต้องนอนนิ่งๆ เป็นหมอนข้างให้กอด และต้องเก็บอารมณ์ความต้องการในส่วนลึกไม่ให้ออกมาสำแดงฤทธิ์เดช แต่ตอนนี้ขอคืนบ้างก็แล้วกัน เพื่อคลายความเจ็บปวดตรงใจกลางร่างหนุ่ม

“ขอนะ พี่ไม่ไหวแล้ว นอนให้จันทร์เจ้ากอดอย่างเดียวทั้งคืนเลย ปวดไปหมดทั้งตัว ไม่เชื่อจับดูสิ”

มือใหญ่นำมือน้อยสัมผัสบริเวณที่ตนบอกว่าปวด จันทร์ดาราเบิกตากว้างชักมือกลับทันที ก็ตรงที่เขาบอกว่าปวดมันสำแดงตนจนใหญ่โตแล้วร้อนผ่าวขนาดนี้

“พี่ยะ...นี่มัน...ทำไมถึง...”

“เวลาปวดก็เป็นแบบนี้ จันทร์เจ้าต้องช่วยพี่แล้วล่ะ”

“ชะ...ช่วย...ช่วยยังไง”

“แบบนี้ไง นะ...ไม่งั้นพี่คงตายอยู่ในถ้ำนี้แน่”

สุริยะปลดกระดุมกางเกงออก และจับมือเล็กสอดเข้าไปสัมผัสความร้อนผ่าว จันทร์ดาราอุทานเมื่อรับรู้ถึงความเป็นชายที่กำลังผงาดอยู่ในมือของเธอ ชายหนุ่มครางแหบโหย เมื่อสาวน้อยหัวไวและอยากรู้เริ่มลูบไล้ความเป็นตัวตนของเขา

“นั่นแหละ ดีมาก...อย่างนั้น...เก่ง...”

ยิ่งได้รับคำชมเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้จันทร์ดาราฮึมเหิม ความไม่ประสีประสาและไม่เคยทำให้เธออยากรู้อยากลอง ความรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศที่สุริยะทำให้เธอรู้สึกเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ทำให้จันทร์ดาราอยากรู้ว่าชายหนุ่มกำลังรู้สึกเหมือนเธอไหม

“พี่ยะ...”

สุริยะเงยหน้าขึ้นจากซอกคอหอมละมุน มองคนที่เรียกชื่อเขาด้วยดวงตาหรี่ปรือ

“จ๋า”

“พี่ยะรู้สึกยังไง เหมือนกับที่จันทร์เจ้ารู้สึกมั้ย”

สุริยะกดจูบหนักหน่วงบนกลีบปากหวานอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นย้อนถามคนอยากรู้

“แล้วจันทร์เจ้ารู้สึกยังไงจ๊ะ บอกพี่หน่อยสิ แล้วพี่จะบอกว่าเหมือนกันมั้ย”

คนมากประสบการณ์ล่อหลอกอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเองก็อยากรู้ว่าหญิงสาวมีความสุขไหม แม้จะแน่ใจแต่อยากได้ยินจากปากเธอบ้าง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาเอง เพราะสุริยะก็ห่างหายจากบทรักมานานแล้วเหมือนกัน

“โอ้...คนเก่งเบาๆ จ้ะ เดี๋ยวเจ็บ”

เขาโอดครวญเมื่อหญิงสาวกำแน่นมาก แต่ที่จันทร์ดารากำแน่นเป็นเธอพยายามกำให้รอบต่างหาก แต่ไม่ว่าจะกำแน่นขนาดไหน เธอก็ทำได้เพียงให้ปลายเล็บนิ้วชี้ซึ่งยาวค่อนข้างมากแตะกับปลายเล็บนิ้วโป้งเท่านั้น

“เอ่อ...จันทร์เจ้ารู้สึกเหมือน...เหมือนตัวเบาเป็นนุ่น แล้วยังลอยอยู่บนก้อนเมฆ มันหวิวๆ แล้ว...แล้ว”

“แล้วอะไร”

สุริยะถามชิดปากนุ่ม ก่อนส่งเรียวลิ้นทักทายลิ้นนุ่มกระหวัดเกี่ยวพันดูดดื่มความหวานอีกครั้ง

“แล้ว...มันตึงๆ เจ็บๆ นิดๆ พี่ยะยังเจ็บอยู่มั้ยคะ”

จันทร์ดาราถามคำถามออกไปเหมือนคนเหม่อลอย เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้แต่ว่าเธอไว้ใจเขาจนสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้ อีกอย่างเธอได้ยินเพื่อนๆ สมัยเป็นนักเรียนพูดกันบ่อยๆ ว่าผู้หญิงเสียตัวให้ผู้ชายครั้งแรกต้องเจ็บ เธอก็คิดว่ามันน่าเจ็บเพราะดูในหนังเห็นผู้หญิงหวีดร้องตลอดเวลา หญิงสาวก็เลยอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อจากนี้

“เจ็บ พี่ยังเจ็บตลอด ถ้า...”

“ถ้าอะไรคะ”

“ถ้าไม่ได้รักจันทร์เจ้า”

สุริยะอยากจะบ้าที่ต้องมาตอบคำถามแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าสาวสวยปากดีดูเซ็กซี่ไปทุกกระเบียดนิ้วแบบจันทร์ดารา จะยังไม่รู้เรื่องแบบนี้เลยสักนิด เขาเชื่อว่าเธอไม่รู้จริงๆ เพราะเขาได้ทำลายสิ่งที่ยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ไปแล้ว

มือน้อยที่กำลังขยับขึ้นลงไม่หยุดทำให้สุริยะจวนเจียนจะขาดใจ เขาทรงตัวขึ้นและปลดเปลื้องเสื้อผ้าของหญิงสาวออกจนเปลือยเปล่า โดยไม่ได้รับการต่อต้านเลยสักนิดจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ขอให้เขาทำตามใจตัวเองบ้างเถอะ ไม่เช่นนั้นร่างกายเขาคงต้องระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะสะกดกั้นอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

สุริยะเปลื้องผ้าออกจนเนื้อตัวล่อนจ้อน จันทร์ดารามองสิ่งที่เธอสัมผัสเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นกระหน่ำแทบจะโลดแล่นออกมาจากทรวงอก ริมฝีปากสั่นระริกราวกับกำลังหนาวเหน็บเพราะยืนอยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็ง มือบางยกขึ้นปิดบังปทุมถันคู่งามตามสัญชาตญาณ

“อย่าปิด เปิดออกมาให้พี่ดู พี่อยากเห็น จันทร์เจ้า...”

“ขา...”

“รู้ตัวมั้ยว่าสวยมาก สวยจนพี่ลืมหายใจอยู่หลายครั้ง”

จันทร์ดาราเอียงอายกับคำพูดเปิดเปลือยความรู้สึก เท่าที่อยู่ใกล้ชิดกันมา เธอรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าห่ามขนาดไหน อาจเป็นเพราะความเป็นชายชาติทหาร อยู่กับผู้ชายตลอดเวลา ก็เลยเหมือนคนเถื่อนทำอะไรเถื่อนๆ พูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ที่สำคัญปากเสียอย่างแรง

“จันทร์เจ้า...เป็นของพี่นะคนดี”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel