บทที่ 2
2
“ถ้านายไม่ใช้กำลังบังคับฝืนใจฉันล่ะก็...ชาตินี้ทั้งชาติ ฉันก็ไม่มีวันยอมนายแน่ๆ”
“หึ หึ ผมไม่เคยต้องบังคับฝืนใจใคร มีแต่คนอยากจะทอดกายให้ผมเชยชมทั้งนั้น” สุริยะตรวจดูสิ่งสำคัญที่สุดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ แล้วต้องถอนใจส่ายหน้าแถมด้วยคำบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ...ราคาก็ออกแพง ทำไมไม่ทำให้มันกันน้ำได้ด้วยวะ”
“บ่นอะไร แล้วนั่นมันอะไรเหรอ” จันทร์ดาราถามอย่างใคร่รู้
“ของสำคัญที่มันจะช่วยเราได้ แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เพราะมันใช้การไม่ได้แล้ว”
“อ้าว...ถ้ามันใช้การไม่ได้แล้วเราจะออกจากป่านี่ได้ยังไงล่ะ”
“ก็คงต้องใช้วิธีอื่น”
จันทร์ดารามองชายหนุ่มดึงเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นออกมาจากเป้ เหมือนเขาจะทิ้งมันเอาไว้ในนี้ ก่อนจะดึงไฟฉายออกมาจากกระเป๋าเป้ เขาลองเปิดแต่ไม่ติด ก่อนเคาะแรงๆ กับฝ่ามือสองสามครั้ง มันก็สว่างวาบขึ้นมา
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าพังซะแล้ว”
“นี่...ถามอะไรหน่อยสินายราหู ทำไมนายต้องทาหน้าดำปิ๊ดปี๋แบบนี้ด้วย ถ้ามีผู้หญิงยอมนอนกับนายง่ายๆ จริงๆ แน่จริงนายก็ล้างหน้าเอาสีดำๆ นั่นออกซะสิ”
“ถ้าล้างออก แล้วคุณวิ่งเข้าใส่ ผมจะทำไงล่ะ”
คำพูดยียวนของคนห่ามๆ ทำให้หญิงสาวอยากกรี๊ด
“อ๊าย...ต่อให้หน้าตานายหล่อเหลาแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันวิ่งเข้าใส่นายหรอก”
จันทร์ดารากระทืบเท้าย่ำกับพื้น ก่อนเดินจ้ำพรวดๆ เข้าไปภายในถ้ำ เธอหายไปไม่นาน สุริยะก็ได้ยินเสียงหวีดร้องและร่างบางก็วิ่งแผล็วออกมา กระโดดกอดคอเขาแน่น
“นายราหู...ในนั้น...มี...กรี๊ดๆๆๆ”
“มีอะไรล่ะคุณ มัวแต่ร้องกรี๊ดๆ แบบนี้ แล้วผมจะรู้มั้ยเนี่ย” สุริยะฉงนกับท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว แต่ถ้าเขาเดาถึงสาเหตุความกลัวของเธอไม่ผิดล่ะก็ “คุณไปเจอคราบงูมาใช่มั้ย”
“ใช่ๆ มัน...มันต้องไม่ใช่งูธรรมดา เพระมันใหญ่มาก”
จันทร์ดาราเบียดร่างแทบจะกลืนหายเข้าไปในร่างแกร่งอย่างลืมตัว หญิงสาวกลัวสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด โดยเฉพาะงู
“งูเหลือมน่ะคุณ และตอนนี้ก็ปล่อยผมได้แล้ว เพราะผมหายใจไม่ออก”
“ไม่เอาน่ะ ฉันกลัว งูเหลือมเหรอ...” จันทร์ดาราเอนกายออกห่าง แต่ยังไม่ปล่อยมือจากลำคอหนา “นายรู้ได้ไงว่าเป็นงูเหลือม” ก่อนดีดตัวออกไปเสียสองสามก้าว เมื่อเริ่มปะติดปะต่อความคิดของตนได้ “นี่แสดงว่านาย...นายรู้ล่ะสิว่าที่นี่มีงู แล้ว...แล้วนายยังจะพาฉันเข้ามาอีกเหรอ คนบ้า ไอ้บ้า ทำอะไรไม่รู้จักคิด”
“เฮ้อ...ถามหน่อยเถอะ กะอีแค่คราบงูตัวเดียวที่มันลอกคราบทิ้งเอาไว้ กับไอ้โจรที่มันกำลังตามล่าเราอยู่ คุณกลัวอะไรมากกว่ากัน คุณจะออกไปนอนข้างนอกก็ได้นะ ถ้าคิดว่ามันปลอดภัยกว่านอนในนี้ แต่ผม...จะนอนในนี้ แล้วถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ผมจะไปบอกพ่อคุณว่า ผมมาช่วยคุณไม่ทัน”
“นาย...ก็ได้ ฉันจะนอนในนี้ แต่นายต้องเอาคราบงูไปทิ้งให้ฉันก่อน”
จันทร์ดาราต่อรอง จะให้เธอออกไปนอนข้างนอกคนเดียวเธอไม่ไปแน่ แต่ถ้ามีเขาไปด้วยล่ะก็ไม่แน่
ลูกสาวนายพลย่นคิ้วให้กับความรู้สึกของตัวเอง เธอรู้สึกอบอุ่นเวลาที่อยู่ใกล้เขา เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ นี่เธอกำลังเป็นอะไรไปนี่ ยังไม่ทันข้ามวัน เธอกลับรู้สึกดีๆ กับผู้ชายตรงหน้าแล้วเหรอ
สุริยะไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปข้างในสักพัก ก่อนเดินออกมาพร้อมกิ่งไม้ที่มีคราบงูเหลือมพาดอยู่ แค่เพียงเห็นคราบ จันทร์ดาราก็ถอยร่นไม่เป็นขบวนอย่างหวาดกลัว ชายหนุ่มเหวี่ยงคราบงูเหลือมทิ้งลงไปกับสายน้ำตก และส่องไฟฉายในมือไปรอบๆ ถ้ำ เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติอื่นที่อาจจะมี ร่างสูงตระหง่านเดินเข้าไปข้างในถ้ำเรื่อยๆ จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ ที่จะทำให้ผู้หญิงที่ยืนตัวสั่นเพราะเสื้อผ้าที่เปียกชื้น และอากาศภายในถ้ำก็เย็นเฉียบ ต้องร้องกรี๊ดๆ และกระโดดกอดคอเขาจนแทบหายใจหายคอไม่ออก แต่พอนึกถึงร่างนุ่มๆ ที่เบียดกายเข้าหาอย่างหวาดกลัวนั้น มุมปากลึกก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ พลางคิดว่าถ้าจันทร์ดารากอดเขาด้วยความเสน่หาแล้วจะเป็นยังไงหนอ
“หนาวเหรอ” เขาหันไปถามจันทร์ดารา แล้วได้รับการพยักหน้าตอบรับกลับมา “ถอดเสื้อผ้าออกซะ” เขาสั่งและเริ่มปลดกระดุมเสื้อลายพรางของตนออกบ้าง
“นะ...นายจะทำอะไรน่ะ”
จันทร์ดาราร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวนอกหลุดออกไปจากลำตัวหนาแกร่ง แต่ก็ยังมีเสื้อยืดสีเขียวที่ฟิตเปรี๊ยะแนบไปกับมัดกล้ามเป็นลอนสวย
“ผมก็หนาวเหมือนกันน่ะสิคุณ คุณก็ถอดออกซะ ถ้ายังไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าถ้ำเพราะเป็นปอดบวมกลางป่านี่ซะก่อน แต่...”
“แต่อะไร”
“ผมก็ไม่แน่ใจนะว่า ตอนนี้คุณกำลังเป็นปวดบวมอยู่หรือเปล่า”
ดวงตาคมหลุบลงมองอกอิ่มอวบใหญ่ที่ดันเด่นออกมาอย่างสวยงาม จันทร์ดารามองตามสายตาคู่นั้น แล้วต้องยกมือปิดบังทรวงอกของตนให้พ้นจากสายตากรุ้มกริ่ม
“ทะลึ่ง ลามก ทำไมคุณพ่อต้องส่งนายให้มาช่วยฉันด้วยก็ไม่รู้ ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงรู้จักที่ต่ำที่สูงมากกว่านาย”
สุริยะย่างสามขุมเข้าหาร่างบาง มือใหญ่กระชากต้นแขนบอบบางเข้าหา จันทร์ดาราสาบานได้ว่าเธอเห็นดวงตาคมคู่นั้นลุกเป็นไฟ ก่อนจะมลายหายไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเฮื้อกใหญ่ข่มความหวาดกลัวให้อยู่ลึกที่สุด
“สำหรับผมไม่มีคำว่าที่ต่ำที่สูง ทุกคนยืนอยู่บนพื้นดินเท่าเทียมกันหมด คุณเอาอะไรมาวัดว่าคุณอยู่สูงกว่าผม หรือคิดว่าเป็นลูกนายพล แล้วจะเหยียบหัวใครเล่นก็ได้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ถึงแม้ท่านนายพลจะเป็นผู้บังคับบัญชาของผม แต่พันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์คนนี้จะไม่มีวันยอมให้ใครเหยียบหัวง่ายๆ โดยไม่คิดโต้ตอบ”
สุริยะกระชากเสียงคำรามใส่ จนร่างบางตัวสั่นงันงกและหลับตาปี๋ เพราะไม่กล้าสบตาคมดุคู่นั้น
“เอ่อ...ฉัน...คือว่า...”
จันทร์ดาราอยากจะบอกว่าเธอปากเสียไปอย่างงั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นเลย แต่ร่างสูงที่ถอยห่างและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ก็หายไปจากม่านน้ำตกนั้นทำให้เธอได้แต่นิ่งงัน หญิงสาวถอนหายใจออกมาแรงๆ และทรุดตัวลงนั่งกับพื้นที่เย็นเฉียบ เสียงน้ำตกที่ดังสนั่นและความมืดมิดภายในถ้ำ มีเพียงแสงที่ลอดผ่านสายน้ำเข้ามา ด้วยเวลานี้บรรยากาศในป่าเริ่มอึมครึมเพราะดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ทำให้แสงในถ้ำก็เริ่มลดน้อยลงไปด้วย
เวลาผ่านไปจากนาทีเป็นร่วมชั่วโมง จันทร์ดาราก็ได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ ก่อนที่ร่างสูงจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ความดีใจที่เห็นชายหนุ่มทำให้หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนและวิ่งเข้าไปหา
“นาย...ฉันนึกว่านายจะโกรธจนทิ้งฉันไปแล้ว”
สุริยะโยนกิ่งไม้แห้งที่ออกไปเก็บและกล้วยเครือเล็กๆ ลงพื้น ความโกรธยังไม่จางหาย แต่หน้าที่ต้องมาก่อน
“ถ้าผมทิ้งคุณไปจริงๆ คุณจะทำยังไง รู้มั้ยว่าผมอยากทิ้งคุณใจจะขาด”
สุริยะหันมามองตาเขียว และชี้หน้าหวานๆ นั้นอย่างฉุนจัด เกิดมายังไม่มีใครเคยด่าว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาก่อนเลย แต่ผู้หญิงตรงหน้าที่เพิ่งรู้จักไม่ทันข้ามวัน กลับด่าเขาฉอดๆ
จันทร์ดาราเสียใจจนน้ำตาคลอเบ้า และปล่อยให้มันไหลลงมาอาบสองแก้ม ร่างบางสะอื้นฮักจนตัวโยน เสียใจที่ดันปากเสียและเสียใจที่เกือบถูกทิ้ง และเหนือกว่าอื่นใดเสียใจที่ได้รู้ว่าคนตรงหน้าอยากทอดทิ้งเธอใจจะขาด
สุริยะเห็นจันทร์ดาราร้องไห้ก็เงียบกริบ หันไปเปิดกระเป๋าเป้หยิบไฟแช็กออกมาจุด แต่ก็จุดไม่ติดเสียที ชายหนุ่มจึงขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดีและเริ่มจุดไฟด้วยมือเปล่า เขาเอาท่อนไม้ใหญ่ตั้งไว้ข้างล่างและนำกิ่งไม้มาหักก้านให้เหลือแต่กิ่งตรงๆ และหนีบกิ่งนั้นไว้กับฝ่ามือให้ด้านล่างแตะกับท่อนไม้ที่วางราบกับพื้นก่อนปั่นไปเรื่อยๆ อาจช้ากว่าการจุดไฟแช็ก แต่ไม่นานนักแรงเสียดสีก็ทำให้เกิดประกายเพลิงขึ้นมา จากนั้นสุริยะก็วางกิ่งไม้แห้งสุมๆ กัน จนกลายเป็นกองไฟ ถ้ำที่มืดสลัวเริ่มสว่างจ้าและอุ่นขึ้นทันที
“จะยืนร้องไห้อีกนานมั้ย ร้องยังกับมีใครตายซะงั้น พูดแค่นี้ไม่เห็นต้องร้อง ทีคุณยังด่าว่าผมปาวๆ ผมยังทนฟังได้เลย ทำไมผมพูดแค่นี้ถึงทนฟังไม่ได้”
“ถ้าคุณพ่อไม่ให้นายมาช่วยฉัน นายก็คงไม่มาอยู่แล้วใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณเป็นอะไรกับผมล่ะ ผมถึงต้องมาช่วยด้วย แล้วว่าที่ผัวในอนาคตของคุณล่ะไปไหนซะ ทำไมไม่มาช่วยคุณเอง ต้องเดือดร้อนให้ผมมาช่วยแบบนี้”
“ฉันคงเป็นภาระสำหรับนายมาก นายกลับไปเถอะ ปล่อยให้ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวก็แล้วกัน กลับไปบอกให้คู่หมั้นฉันเป็นคนมาช่วยฉันเอง” จันทร์ดารายังไม่วายประชดประชันเพราะความน้อยใจและเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุริยะไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นพรวดและเดินดุ่มๆ ออกไป ทิ้งจันทร์ดาราให้อยู่ตามลำพังในถ้ำ หญิงสาวมองร่างสูงที่เดินจากไปด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจที่ชายหนุ่มเดินจากเธอไปง่ายๆ แถมไม่คิดจะเหลียวแลเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ ข้างนอกนั้นมืดสนิท ความหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกทำให้จันทร์ดาราทิ้งตัวลงนอนข้างกองไฟ สัตว์เลื้อยคลานที่เธอกลัวนักกลัวหนาคงไม่เข้ามาอีก เพราะกองไฟที่สว่างโร่ แต่เธอก็อดหวั่นใจไม่ได้จนต้องขดตัวเข้าหากัน ความเหนื่อยผสมกับความหิวจัดทำให้เธอมองเครือกล้วยที่ถูกทิ้งไว้ และปอกกล้วยเข้าปากไปสามลูก ก่อนจะเอนกายอีกครั้งเมื่อหนังท้องเริ่มตึงขึ้นมาบ้าง และเผลอหลับลงเพราะความเหนื่อยอ่อน
เสียงฝีเท้าในรองเท้าคอมแบ็ตที่ย่องเข้ามาใกล้ แต่เธอก็ยังได้ยินเพราะใบหูแนบกับพื้นดิน หญิงสาวลืมตาขึ้นและทำท่าจะลุกขึ้นหากไม่มีอ้อมแขนที่สวมกอดจากทางด้านหลัง ไออุ่นจากกายหนาที่ส่งผ่านมายังร่างบาง ทำให้เธออบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ต้องหันไปมองจันทร์ดาราก็จำกลิ่นกายของเขาได้ ริมฝีปากอิ่มยิ้มพรายอย่างดีใจว่าเขาไม่ได้ทอดทิ้งเธอไปไหน
“กลับมาทำไมคะ”
เสียงหวานใสที่ถามขึ้นอย่างอ่อนหวาน แถมยังมีคำลงท้ายน่ารัก ทำให้ดวงตาที่กำลังหลับลงต้องลืมขึ้นอีกครั้งและทอดถอนใจยาวอย่างหนักหน่วง
“ข้างนอกมันหนาว ข้างในนี้อุ่นกว่ากันเยอะ”
“กอดแน่นขนาดนี้ ไม่อุ่นยังไงไหว”
สุริยะคลายอ้อมกอดและลุกขึ้นนั่ง ไขว้แขนถอดเสื้อยืดสีเขียวออก การเหวี่ยงตัวเข้าปากถ้ำที่อยู่หลังม่านน้ำตก ทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียก จริงอยู่ที่เสื้อยืดผ้าบางแต่มันก็ยังชื้นจนต้องถอดออก มือใหญ่คลำไปทั่วร่างบางและพบว่าเสื้อผ้าของจันทร์ดาราเริ่มหมาดแล้ว แต่ก็ยังชื้นอยู่บ้าง
“ถอดเถอะ ถ้าไม่ถอดคุณอาจไม่สบายจริงๆ แล้วเราคงต้องติดแหง็กอยู่ในถ้ำนี้ต่อไปอีก”
สุริยะบอก และเป็นฝ่ายปลดกระดมเสื้อเชิ๊ตสีชมพูผูกเอวของจันทร์ดาราออก
“นาย! ไม่ถอดไม่ได้เหรอ เดี๋ยวมันก็แห้ง”
จันทร์ดาราปฏิเสธ แต่มือหนาซึ่งถูกมือเล็กตะครุบหมับยังคงขยับปลดกระดุมไปเรื่อยๆ
“ไม่ได้ ถ้าถอดออกแล้วคุณจะอุ่นกว่าใส่เยอะ เชื่อผม”
จันทร์ดาราอยากดื้อรั้น แต่เธอกลัวเขาจะโกรธและทิ้งเธอไว้อีก มือน้อยจึงผละจากมือใหญ่ เปิดทางให้มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเธอจนหมดแถว ไม่นานเสื้อตัวสวยก็หลุดออกจากร่าง
“นายราหู...อย่ามองแบบนั้นสิ ฉันอายนะ”
“อายทำไม ของสวยๆ งามๆ ของดีมีไว้ให้โชว์ และผมก็อยากมอง อยากสัมผัส” สุริยะพูดเหมือนคนละเมอ
“นาย...” จันทร์ดาราอยากห้าม แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงของเธอจึงไม่ดังผ่านลำคอออกมา
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ผมจะถอดคราบนายราหูออก แล้วคุณจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผม” สิ้นคำ สุริยะก็มอบจูบแสนหวานระคนเร่าร้อนให้เธออีกครั้ง
“นายราหู”
“เรียกผมว่าพี่ยะ โดยเฉพาะเวลาที่ผมกอดคุณ”
แม้จะไม่อยากทำตาม แต่ดวงตาคมกริบที่ทอดมองอย่างเว้าวอนก็ทำให้จันทร์ดารายอมพยักหน้า หลังจากที่ลิ้มรสหวานจากริมฝีปากพักใหญ่ หญิงสาวก็ยอมถอดเสื้อที่เปียกชื้นเพราะยิ่งใส่ยิ่งหนาว และก็มีเขามอบกอดอันอบอุ่นให้
“ผมจะไปล้างหน้าแล้วล่ะ เปลี่ยนใจแล้ว เพราะสีดำๆ นี่มันติดหน้าอกคุณ คุณอยากอาบน้ำมั้ย คงไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันสินะ กลิ่นหอมเชียว หึ หึ”
สุริยะหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี และโดนทุบด้วยกำปั้นน้อยๆ ดัง “อึก”
“จะให้ฉันมีโอกาสไปอาบน้ำได้ตอนไหนกันล่ะ ว่าแต่...เราจะไปอาบน้ำกันที่ไหนเหรอ”
ชายหนุ่มพาจันทร์ดาราโหนตัวออกมานอกถ้ำ เขาเดินสำรวจน้ำตกแห่งนี้มาแล้ว และเห็นว่ามีแอ่งน้ำเล็กๆ ที่น้ำไหลมาขังอยู่บริเวณนั้น แถมยังมีโขดหินใหญ่เล็กกั้นเป็นกำแพงธรรมชาติปิดบังสายตาได้เป็นอย่างดี
“โอ้โห...ดีจัง นี่นายคงสำรวจหมดแล้วสินะ ถึงรู้ว่ามีที่แบบนี้ด้วย”
“บอกว่าให้เรียกพี่ยะไง”
จันทร์ดาราหันมาทำปากยื่น แต่อมยิ้มน้อยๆ ให้สุริยะ
“นายบอกว่า ให้เรียกพี่ยะเฉพาะเวลาที่นายกอดฉันไง ตอนนี้ไม่ได้กอด ฉันก็จะเรียกแบบนี้ล่ะ นายราหู”
“เดี๋ยวคุณก็รู้ ว่าผมต่างจากคำว่าราหูเยอะ”
สุริยะเดินนำไปหยุดใกล้ๆ แอ่งน้ำ เขาถอดรองท้องและกางเกงทหารลายพรางออก จนคนที่มองอยู่ต้องอ้าปากค้างยกมือขึ้นปิดตาฉับ
“กรี๊ด! นะ...นาย...ถะ...ถอดกางเกงออกทำไม ใส่กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้นะ คนลามก”
“อ้าว...คุณ ที่บ้านคุณเขาใส่เสื้อผ้าอาบน้ำกันรึไง...ฮะ”
“แต่...นายมาอาบน้ำกับฉันนี่ นายจะแก้ผ้าทำไมล่ะ ไม่รู้จักอายบ้างเลยรึไง”
จันทร์ดาราได้ยินเสียง “จ๋อม” ก็กางนิ้วออกและมองลอดผ่านช่องระหว่างนิ้วมือ เห็นร่างสูงลงไปอยู่ในแอ่งน้ำแล้ว เธอจึงลดมือลงแต่ไม่วายเหลือบมองกองกางเกงที่ชายหนุ่มถอดทิ้งไว้ และเห็นชั้นในชายสีดำวางอยู่ด้วย
‘ถอดหมด แสดงว่าใต้น้ำใสๆ น้ำก็...’
“รีบๆ ลงมาเถอะ ผมอนุญาตให้คุณแก้ผ้าได้ จะได้เสมอกัน” สุริยะบอกนัยน์ตาพราว
“ไม่ล่ะ ฉันจะลงไปทั้งชุดนี้”
“ถ้าคุณลงมาทั้งชุดนั้น พอกลับเข้าไปในถ้ำ ผมจะถอดเสื้อผ้าคุณออกให้หมด แต่ถ้าคุณถอดตอนนี้ แล้วลงมาอาบน้ำกับผมดีๆ เสื้อผ้าของคุณก็ไม่เปียกมากและใส่ในถ้ำได้ คิดดูดีๆ นะ จะถอดตรงนี้หรือถอดในถ้ำ”
จันทร์ดาราค้อนประหลักประเหลือกให้กับคนเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าเธอจะถอดตรงไหน เธอก็เสียเปรียบเขาอยู่ดี แต่...เหตุการณ์ชวนระทึกใจในถ้ำที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ ทำให้หญิงสาวต้องตัดสินใจ
“นายหันหลังให้ฉันก่อนสิ มองฉันอยู่แบบนี้ ฉันไม่กล้าถอดหรอก”
สุริยะไม่ตอบ แต่ยอมหันหลังให้โดยดี จันทร์ดาราไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สุริยะกำลังหลับตาคิดถึงร่างนุ่มนิ่มของเธอ ร่างระหงขาวผ่อง ถ้าเปลือยเปล่าทั้งตัวแล้วจะงดงามแค่ไหน ผู้พันหนุ่มให้เวลาหญิงสาวก้าวลงมาในแอ่งน้ำ เขาหันไปมองเมื่อคิดว่าเธอคงลงมาแล้ว แล้วเป็นอย่างที่คิด...
จันทร์ดาราแช่น้ำลงไปทั้งตัวให้น้ำสูงถึงระดับต้นคอของเธอ เพื่อหวังจะให้กำแพงน้ำใสแจ๋วช่วยปิดบังร่างเธอให้พ้นจากสายตาคมที่ขยันเปล่งประกายตาแปลกๆ ออกมาบ่อยครั้ง
“นั่งแบบนั้นเดี๋ยวก็เมื่อยหรอก งอตัวแบบนั้นนานๆ ในสายน้ำเย็นแบบนี้ ระวังเป็นตะคริวนะคุณ”
“กะ...ก็...ก็ฉันอายนี่”
สุริยะวักน้ำขึ้นสาดหน้าหญิงสาว แกล้งให้เธอลืมตัวและดีดตัวที่จมดิ่งขึ้นจากสายน้ำ
“ว้าย! เล่นอะไรเนี่ย”
“ปล่อยนะ นี่นายจะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
เมื่อจันทร์ดาราได้สติ เธอก็พยายามผลักร่างหนาให้ถอยห่าง แต่กำแพงมนุษย์มีเลือดมีเนื้อร้อนแรงอย่างสุริยะ ไม่คิดจะยอมถอยให้เธอได้ง่ายๆ
“นี่...ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะฟ้องพ่อจริงๆ ด้วย”
จันทร์ดาราขู่ด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไป มันไม่หนักแน่นเท่าที่ควรเสียแล้ว
“อายอะไรกัน ของสวยๆ แบบนี้ น่ามองออก”
“บ้าสิ คนบ้า นายมัน...”
“อ๊ะ อ๊ะ...บอกแล้วว่าเวลากอดให้เรียกพี่ยะ”
“เรื่องอะไรฉันต้องเรียกด้วย”
จันทร์ดาราหลบตาคมที่จ้องมองมาตาแพรวพราว เธอไม่กล้าสบตาคู่นั้น เพราะกลัวว่าจะหลงกลยอมให้เขาทำอะไรน่าเกลียดกับเธออีก
“ถ้าไม่เรียก คงต้องเปลี่ยนไปเรียกผัวแทนแล้วล่ะมั้ง” สุริยะขู่
“นาย...ไม่ทำอะไรฉันหรอก”
“ลองดูมั้ยล่ะ แต่อย่าห้ามแล้วกัน”
“ก็ได้ๆ พี่ยะก็พี่ยะ”
จันทร์ดารารีบบอก เมื่อสุริยะหลุบตาลงมองอกอวบของเธอ
“ดีมาก เป็นเด็กดีแบบนี้ น่าจะให้รางวัล”
สุริยะหยิบสบู่ที่เขาตั้งเอาไว้บนโขดหินตั้งแต่เดินลงมายัดใส่มือจันทร์ดารา
“ล้างหน้าให้หน่อยสิ”
จันทร์ดาราไม่อยากขัดใจเขา เพราะเธอเสียเปรียบเขาทุกกรณีอยู่แล้ว หญิงสาวลูบหน้าคมด้วยน้ำสะอาดก่อนฟอกสบู่ให้อย่างเบามือจนทั่ว จากนั้นก็วักน้ำขึ้นมาล้างฟองสบู่ออก ใบหน้าที่เคยดำปิ๊ดปี๋จนมองไม่เห็นเค้าหน้าตาที่แท้จริง กลายเป็นใบหน้าคมคายหล่อเหลาขึ้นมาทันตา ดวงตาคมกริบนั้นดุดันก็จริงแต่ก็ได้แพขนตาหนายาวตรงช่วยเสริมให้หวานขึ้นอีกนิด จมูกโด่งเป็นสันรับกับดวงหน้าเหลี่ยมสมชายชาตรี ประดับด้วยกลีบปากเรียวหยักลึกได้รูปสวย หญิงสาวถึงกับตะลึงเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มที่เธอเรียกเขาว่าราหูตลอดเวลานั้น บัดนี้กลับเป็นดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างโล่ง และร้อนแรงด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนตลอดเวลา
“ไง...ถึงกับตะลึงเลยเหรอ”
“นาย...เอ๊ย...พี่ยะ”
“ใช่ ผมคือพันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์ หรือคนที่คุณควรเรียกว่า...พี่ยะ”
สุริยะจบคำพูดด้วยการกดจูบลงบนกลีบปากนุ่ม ลิ้นสากช่ำชองสอดเข้ากระหวัดไล้ปลายลิ้นนุ่ม ดูดดื่มความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ความหวานที่ไม่มีใครเคยได้ลิ้มลอง และไม่มีผู้หญิงคนไหนจะหวานล้ำได้เท่านี้อีกแล้วในความคิดของสุริยะ
“เวลาผมกอดคุณ ผมจะเรียกแทนตัวเองว่าพี่...ตกลงมั้ย”
“มะ...หมายความว่า...ถ้า...ถ้าไม่กอด...”
เสียงหวานใสเริ่มกระเส่าอีกครั้ง คำพูดที่เปล่งออกมาจึงขาดห้วงเป็นพักๆ
“แล้วแต่จันทร์เจ้าแล้วกัน อยู่ในป่า มีเราแค่สองคน จะเรียกอะไรก็ได้”
ทำไมจันทร์ดาราถึงรู้สึกว่าชื่อเล่นของเธอ เวลาที่เขาเป็นคนเรียกถึงได้ไพเราะนักก็ไม่รู้
“ค่ะ”
“ตอนนี้เนื้อตัวจันทร์เจ้าสกปรก พี่จะอาบน้ำให้เอง”
