บทที่1 หวนคืนวันวาน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…
“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
นั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…
ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง
“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด
“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้ม
ยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย หากแต่เหตุใดสัมผัสนี้จึงคล้ายยามเด็กเล่า
ซ้ำเสด็จพ่อยังมิได้เรียกขานนางว่าเจ้าก้อนแป้งน้อยมาแสนนานแล้ว ไยจึงเรียกขานนางราวกับนางเป็นเด็กกันเล่า
ผู้คิดว่าตนอยู่ในโลกหลังความตายฉุกคิดก่อนจะก้มลงสำรวจเรือนกายของตน ไม่มีบาดแผลจากการถูกฮุยอี้แทง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ…แขนขานางก็ยังเล็กลงมากอีกด้วย
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
“ฝ่าบาท หรงกุ้ยเฟยเสด็จมาพะย่ะค่ะ” เสียงจากขันทีด้านนอกเรียกให้เฉินอันหนิงต้องมึนงงเพิ่มขึ้น หรงกุ้ยเฟยเช่นนั้นหรือ หรงกุ้ยเฟยถูกเสด็จพ่อลดขั้นเป็นเจาอี๋ไปแล้วมิใช่หรือ ในตอนที่พระนางจากไปก็ถูกเรียกขานเพียงหรงเจาอี๋ ในโลกหลังความตายเสด็จพ่อคืนตำแหน่งให้พระนางเช่นนั้นหรือ
“ให้นางเข้ามา”
“พะย่ะค่ะ” ขันทีด้านนอกรับคำสั่งก่อนที่ประตูตำหนักจะเปิดกว้างออก เฉินอันหนิงมองไปก่อนจะต้องอ้าปากค้างยามที่ร่างระหงเยื้องย่างเข้ามาภายในห้อง ท่วงท่าของสตรีในอาภรณ์หรูหราสมฐานันดรกุ้ยเฟยสง่างามและน่าเกรงขามมากกว่าอ่อนโยน แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความสูงศักดิ์ ทว่าท่าทีเหล่านั้นมิได้ทำให้เฉินอันหนิงตกใจได้เท่ากับใบหน้าของผู้เป็นกุ้ยเฟย
ใบหน้ายามนี้อ่อนเยาว์ยิ่งนัก ซ้ำมิได้ซูบผอม
ราวกับกลับไปยามที่นางยังเล็กอย่างไรอย่างนั้น
หรงซูหลาน อัครชายาตำแหน่งกุ้ยเฟยตระกูลหรงคือพระมารดาขององค์ชายสามเฉินอี้หลงที่แต่งเข้าตำหนักรัชทายาท ตั้งแต่ฮ่องเต้เฉินไท่เสียนยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท
นางเติบโตมาในตระกูลแม่ทัพซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าแท้จริงแล้วนางคือบุตรสาวอีกคนของจวนเซี่ยและยังเป็นพี่สาวต่างมารดาของเซี่ยฮองเฮา ซึ่งเป็นพระมารดาของเฉินอันหนิง
เสด็จป้าซูหลานในสายตาของเฉินอันหนิงเป็นสตรีที่งดงามไม่แพ้เสด็จแม่ และทรงสง่างามอย่างบุตรหลานตระกูลแม่ทัพหากแต่ทรงเย็นชาและเฉยชามิได้อ่อนหวานเสด็จพ่อจึงมิได้โปรดปรานนักและพระนางก็คล้ายจะมิได้รู้สึกอันใดกับกระกระทำของโอรสสวรรค์ พระนางเพียงเลี้ยงพระโอรสเงียบ ๆ โดยไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด
แต่สุดท้ายพระนางก็ถูกเฉินซูเหมยและมารดากล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายขององค์ชายใหญ่เพื่อให้โอรสได้ตำแหน่งรัชทายาทซ้ำยังมีพยานและหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุด จึงถูกลดขั้นเป็นเจาอี๋และขับไล่ไปอยู่ตำหนักเย็น ก่อนจะพระราชทานผ้าขาวในเวลาต่อมา
เฉินอันหนิงจดจำยามนั้นได้ดี ก่อนจะมีการเชิญพระราชโองการพระราชทานผ้าขาวนางคุกเข่าต่อหน้าเสด็จพ่อเพื่อไปยังตำหนักเย็นเพื่อพบผู้เป็นป้าเป็นครั้งสุดท้าย
สภาพของเสด็จป้าซูหลานที่นางได้พบเห็นซุบผอมและยังเจ็บป่วยไร้เรี่ยวแรง แตกต่างไปจากยามนี้…
ยามนี้พระนางสง่างามและเยาว์วัยมากทีเดียว
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ทรงประชวร หม่อมชั้นจึงมาเยี่ยม มิคิดว่าฝ่าบาทจะอยู่ที่นี่ด้วย” เสียงเจือความเรียบเฉยเอื้องเอ่ยหลังจากที่หยอบกายทำความเคารพผู้เป็นโอรสสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย
“เจ้าก้อนแป้งป่วยไข้ เจิ้นจะไม่มาหาได้เช่นไร”
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ประชวรเพราะพระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับสนมและพระธิดาที่ประสูตินอกวังที่เพิ่งรับเข้าวังจนลืมแม้กระทั่งสัญญาพาองค์หญิงใหญ่ไปดูงานเทศกาลนอกวังมิใช่หรือเพคะ” ประโยคที่หรงกุ้ยเฟยกล่าวมาทำเอาโอรสสวรรค์ถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เป็นประโยคที่น้ำเสียงตำหนิแต่ตัดพ้ออยู่ในทีจนพระองค์มิอาจจะโต้แย้งใด ๆ ได้
เฉินอันหนิงพยายามขบคิดด้วยใจที่สั่นระทึก นางประชวรเพราะเสด็จพ่อผิดสัญญาไปสนใจธิดาอีกคนเช่นนั้นหรือ
นี่มันเหตุการณ์ตอนที่เฉินซูเหมยและมารดาถูกรับเข้าวังมิใช่หรือ…ตอนนั้นนางเพียงเจ็ดหนาวเท่านั้น
นี่คือโลกหลังความตายจริง ๆ หรือว่านางย้อนเวลากลับมาในช่วงที่ความวุ่นวายยังมิเกินขึ้นกันนี่
นางย้อนเวลากลับมาหรือ?
