บทที่ 3.....การพบกันในความฝัน
บทที่ 3
การพบกันในความฝัน
หมอกและควันที่อยู่รอบตัวทำให้มุกชมพูมองอะไรไม่ค่อยเห็นนัก เธอเดิน วนไปวนมาเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ เงาจางๆ ที่ปรากฏอยู่ไม่ห่างทำให้ ตัดสินใจก้าวเข้าไปดูให้ชัดๆ ว่าเป็นอะไร ร่างสูงนั้นยืนหันหลังให้เห็นเพียงผมดำขลับสยายยาวลงมาถึงกลางหลัง สวมเสื้อผ้าในชุดจีนโบราณที่ทำจากผ้าแพรต่วนปักเป็นลวดลายมังกรสีทองสี่เล็บซึ่งมีความสวยงามมาก
ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ หันมาสบสายตากับสาวน้อย แววตาคู่นั้นมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงแต่แฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด บุรุษรูปงามที่มุกชมพูต้อง กระพริบตาหลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองตาไม่ฝาด บนศีรษะสวมรัดเกล้ารูปมังกร ไว้ที่เหนือหน้าผาก ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผยเสียเหลือเกิน
เมื่อก้าวเข้ามาใกล้ๆ และได้เห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้นก็รู้สึกคุ้นเคยและนึกออกว่าเขามักอยู่ในความฝันของตนบ่อยๆ แต่เพราะช่วงนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่ง และเธอเองก็มีเรื่องอื่นให้คิดมากมาย อาจเป็นเหตุผลที่ลืมเลือนไปชั่วขณะ
“พบกันอีกแล้วนะ มุกชมพู” คำทักทายแรกที่ออกจากปาก แม้ใบหน้าจะดู เรียบเฉยแต่น้ำเสียงที่อาทรไม่เปลี่ยน ทำให้เธอจดจำเขาได้ชัดเจนมากขึ้น
“คุณ เอ่อ...”
“จำข้าไม่ได้รึ เราเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวัยเด็กของเจ้า”
“ฉันฝันถึงคุณบ่อยๆ ค่ะ” มุกชมพูจำได้แล้ว ใบหน้าคมเข้มนี้ มักปรากฏอยู่ในความฝันของเธอเสมอ
องค์ชายใหญ่แห่งวังมังกรถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อฟังคำตอบของเธอจบ
“เพราะมุกมังกรเม็ดนั้น ทำให้ข้ากับเจ้าได้พบกันอีก” องค์ชายหนุ่มเฉลยถึงสาเหตุของการพบกันในตลอดเวลาที่ผ่านมา
มุกมังกรที่มุกชมพูกลืนลงคอเมื่อวัยเด็ก เสมือนสายใยที่เชื่อมเขาและเธอไว้ด้วยกัน องค์ชายมังกรมักปรากฏตัวในความฝันของสาวน้อยเสมอ เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ แต่เจ้าของความฝันกลับจำได้อย่างแม่นยำไม่เคยลืมเลือน
“คุณ ไม่ใช่สิ ท่านเป็นรูปปั้นที่อยู่ที่ศาลนั้น” มุกชมพูจำได้แล้ว
ศาลเก่าริมทะเลที่ครอบครัวเคยไปไหว้เมื่อวัยเด็ก และเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้กลับไปที่นั่นเพื่อขอพรให้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีแต่สิ่งดีเข้ามาในชีวิต หรือว่าคำอธิษฐานของเธอเป็นผล
“ข้าไม่ใช่รูปปั้นแต่นี่คือข้า ตัวจริงของข้า เจ้ารู้หรือไม่ มุกชมพู” องค์ชายมังกรกล่าวเสียงเข้ม
“ท่านมาทวงมุกมังกรคืนหรือคะ” หญิงสาวจำได้แม่นยำว่า ครั้งแรกที่พบ หน้าเขาสั่งให้เธอคืนมุกมังกรให้ แต่เธอกลืนมันลงท้องไปเรียบร้อยแล้ว
“มุกเม็ดนั้นไม่จำเป็นสำหรับข้าแล้ว ที่มาหาก็เพื่อบอกบางอย่างให้เจ้ารู้”
“อะไรคะ”
“ข้าคือผู้ปกครองตัวจริงของเจ้า”
“ผู้ปกครอง” มุกชมพูทวนคำอย่างตกใจ เขาหรือ คือผู้ปกครองของเธอ ไม่ใช่แล้วล่ะ คุณตาคุณยายต่างหากที่เป็นผู้ปกครองของมุกชมพู
“เจ้าคือคนในปกครองของข้า”
“คนในปกครอง” ยิ่งฟังยิ่งงง เธอจะเป็นคนในปกครองของเขาได้อย่างไร
“ก็เจ้าไปขอพรให้ข้าคุ้มครองไม่ใช่หรือ” องค์ชายมังกรทวนคำอธิษฐานที่ สาวน้อยเคยวิงวอนไว้ต่อหน้ารูปปั้น
“ใช่ค่ะ” มุกชมพูยอมรับว่าตนเองวิงวอนไว้เช่นนั้นจริง
“ข้ามาตามคำขอของเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็คือคนที่สวรรค์ส่งมาใช่ไหมคะ” สาวน้อยกล่าวอย่างดีใจ
“ทำไมถึงคิดว่าสวรรค์ส่งข้ามาเพื่อเจ้า”
“ฉันเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้า ไม่มีคนสนใจ ไม่มีใครเคยนึกถึง สวรรค์คง เมตตาเลยส่งให้ท่านมาดูแล” มุกชมพูรู้สึกเช่นนั้นจริง ในเวลานี้ที่พักแห่งนี้เป็นแค่ที่ อาศัย แต่ไม่ใช่ที่พึ่งพิงใดๆ ให้อบอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย หากเขาคือคนที่มาด้วยพรแห่งคำอธิษฐานแล้ว จะให้คิดเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
“สวรรค์ไม่ได้ส่งข้ามาให้เข้า แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่องราวมา จนถึงทุกวันนี้ ด้ายแดงเส้นนั้นและมุกมังกรที่เจ้ากลืนลงท้องไป นี่ต่างหากที่เป็น สาเหตุที่ทำให้ข้าต้องรับเจ้าเป็นคนในปกครองของข้า ดังนั้นอย่าทำให้หนักใจเป็น อันขาด จงรักษาความดีที่เจ้ากระทำไว้ให้มั่นคง” องค์ชายมังกรกล่าวอย่างหนักแน่น
“ฉันสัญญาว่าจะทำตัวดี เป็นเด็กดีไม่ให้ท่านต้องหนักใจค่ะ” หญิงสาว รับคำมั่น
“จำไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความดี ความซื่อสัตย์และความอ่อนโยนจริงใจ เท่านั้นที่จะช่วยให้เจ้าผ่านเรื่องต่างๆ ไปได้” องค์ชายมังกรย้ำอีกครา
“ค่ะ” มุกชมพูพยักหน้ารับ
“ข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ แล้วเราจะได้พบกันอีกใช่ไหม”
“เราจะได้พบกันอีกแน่” เอ๋าจินหลงสบตากับสาวน้อย เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง
“แล้วจะให้เรียกท่านว่าอะไรดีคะ ท่านเทพหรือว่าเทวดาพ่อทูนหัว”
“เรียกข้าว่าท่านพี่ ส่วนข้าจะเรียกเจ้าว่าเหม่ยจู” เงาที่ปรากฏหายไปหลังจากที่พูดจบ
มุกชมพูรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาช้าๆ คิดทบทวนภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ความฝัน ไม่มีแม้เงาของเขาปรากฏในห้องแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่ความฝันแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“ท่านพี่”
เช้าวันต่อมามุกชมพูถูกเรียกตัวไปพบกับทุกคนในครอบครัวอีกครั้งเธอได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการกับบรรดาญาติๆ ได้รู้จักกับพี่ชายของแม่ทั้งสามคนรวมทั้งครอบครัวของพวกเขาด้วย
พี่ชายคนโตของแม่คือลุงเฉินเสียงหลิน เป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำสูงมาก แววตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นสายตานั้นมีความมุ่งมั่น และมีความเมตตาเธออยู่มากเช่นกัน
พี่ชายคนรองชื่อว่าลุงเฉินฮั่น พี่ชายคนที่สามของแม่คือลุงเฉินเซียน ซึ่งเป็นกันเองกับมุกชมพูมากที่สุด ส่วนคุณป้าสะใภ้ทั้งสามนั้นชื่อหลิวเจินนี่ เถียนนิว หลี่เยี่ยหลินตามลำดับ ซึ่งทั้งสามคนท่าทางไม่เป็นมิตรนัก
นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับลูกของลุงทั้งสามด้วย พวกเขาอายุมากกว่าทั้งหมด เฉินเสียงหลินมีลูกชายสองคน เฉินฮั่นมีลูกสองคนเป็นชายคนหญิงคน และลูกของเฉินเซียนมีสามคน คนโตเป็นผู้ชายส่วนอีกสองคนเป็นผู้หญิง ท่าทีของพวกเขาก็ไม่เป็นมิตรเช่นเดียวกัน
มุกชมพูมีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนสตรีที่ดีที่สุดของเซียงไฮ้ โดยคุณนายเฉินเป็นผู้จัดการและส่งรถไปรับส่งให้ทุกวัน เธอต้องปรับตัวมากพอสมควรในช่วงสัปดาห์แรกที่เข้าเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เริ่มมีเพื่อนซึ่งมันช่วยให้หายเหงาไปได้บ้าง กิจกรรมที่ทำเป็นประจำก็คือตอนเช้าและค่ำจะต้องขึ้นไปรับประทานอาหารบนตึกใหญ่ จากนั้นก็จะมาให้อาหารปลาที่สระด้านหลังที่พักเสมอ
สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนจะออกไปโรงเรียนหรือเข้านอนมุกชมพูจะระลึกถึงท่านพี่เป็นประจำ ถึงแม้จะไม่มีเขาปรากฏตัวในความฝันอีกเลยก็ตามที แต่ก็รู้สึกอุ่นใจและรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ
“ท่านพี่”
หลังจากเรียนไปได้หนึ่งเทอม ผลการเรียนของมุกชมพูสร้างความปลื้มใจให้กับผู้เป็นยายมากเพราะได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง เฉินหลินพอใจแต่ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา
เรื่องนี้ทำให้บรรดาลูกสะใภ้ตระกูลเฉินไม่พอใจโดยเฉพาะสะใภ้รองกับสะใภ้เล็กที่มีลูกสาวเหมือนกัน ถึงแม้ลูกสาวของพวกเธอจะโตกว่ามุกชมพูหลายปีแต่ไม่เคยมีผลการเรียนที่อยู่ในระดับสูงขนาดนี้เลยสักครั้ง
“โอ๊ย” มุกชมพูร้องเมื่อถูกผลักให้ล้มลงไปกองที่พื้นสนามหญ้าหน้าที่พัก ก่อนเวลาอาหารเย็น
“แกทำให้พวกฉันโดนแม่ด่า นังลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่” เฉินไต้อี้ลูกสาวของเฉินฮั่นชี้หน้าด้วยความไม่พอใจ
“แกมันร้ายกาจ” เฉินซือซือลูกสาวของลุงคนที่สามพูดบ้าง ในขณะที่เฉินฟ่งหลินนั้นเอาสมุดในกระเป๋าเรียนของมุกชมพูมาฉีกทิ้งเพื่อความสะใจ
“อย่านะ อย่าทำแบบนี้” มุกพยายามจะห้ามไม่ให้ฉีกสมุดเรียน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสามรุมหนึ่งและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“จะสู้พวกฉันเหรอ นังหลานนอกคอก แม่แกเป็นลูกทรยศ”
“อย่ามาว่าแม่ฉันนะ แม่ฉันเป็นคนตระกูลเฉินเหมือนกัน” มุกชมพูสวนด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมจะว่าไม่ได้ แม่แกมันเป็นลูกทรยศ แกก็เป็นนังหลานนอกคอก”
เธอถูกผลักให้ลมลงไปกองกับพื้อนอีกครั้ง แม้จะโกรธที่ถูกรังแกยังไม่เท่ากับการที่แม่สุดที่รักถูกดูหมิ่น
“คิดจะสู้เหรอ นังนอกคอก” มุกชมพูถูกผลักให้ล้มลงอีกครั้ง ทั้งสามสะใจที่ได้ระบายอารมณ์จากการถูกต่อว่า ทิ้งให้คนที่ไม่มีทางสู้ได้แต่นั่งนิ่งกับโชคชะตาที่เผชิญเพียงลำพัง
เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของหลี่กุ้ย เม่นทะเลเม้มปากแน่นดีดนิ้ว และพึมพำเบาๆ สิ่งที่มุกชมพูเห็นก็คือ จู่ๆ คนทั้งสามก็ล้มลงโดยไม่มีสาเหตุ และเมื่อทั้งสามคิดจะย้อนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้งก็เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำ
“นี่มันอะไรกัน” เฉินไต้อี้เอ่ยด้วยความงุนงง ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อก็มีลมพัดแรงเข้ามาหาตัว และทำให้ทั้งสามล้มลงอีกครั้ง
“นี่แกทำอะไรพวกฉัน เล่นไสยศาสตร์งั้นเหรอ” เฉินซือซือร้องถาม
“ฉันไม่ได้ทำ บางทีอาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำก็ได้” สายตาของมุกชมพูมอง ไปรอบๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนอย่างแกจะมีเทพมาช่วยงั้นหรือ มารล่ะสิไม่ว่า”
“ท่านพี่ไม่ใช่มาร ท่านพี่เป็นเทพ เป็นผู้ปกครองของมุก” มุกชมพูพึมพำ เบาๆ หรือว่าเขาจะเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้
“นังเด็กกำพร้าหน้าโง่ แกมันบ้าไปแล้ว” ทั้งสามหัวเราะขบขันกับท่าทีของมุกชมพูที่ทำเหมือนมองหาใครสักคนในเวลานี้ และหมายจะเข้ามาเล่นงานอีกรอบ ทว่ามีลมแรงพัดมาอีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้พวกเธอรู้สึกกลัวจนตัดสินใจวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
มุกชมพูเดินไปเก็บหนังสือและสมุดที่ถูกฉีกขาดด้วยความเสียใจ ลุกขึ้นยืนช้าเดินเข้าไปในที่พักเงียบๆ พยายามเก็บความรู้สึกที่เจ็บปวดนี้ไว้ในใจและต้องทำ สีหน้าให้สดใส เนื่องจากอีกสักพักต้องขึ้นไปรับประทานอาหารเย็นบนตึกใหญ่ คงไม่ดีแน่ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้
“มันน่าเอาหนามเม่นแทงมือไอ้คนที่มาหาเรื่องแม่หนูนัก” หลี่กุ้ยพูดอย่างเจ็บใจ ขณะที่เอ๋าจินหลงมองตามหลังสาวน้อยที่เดินเข้าบ้านไปด้วยความเป็นห่วง
คุณนายเฉินตกใจเมื่อเห็นร่องรอยเขียวช้ำที่แขน และรอยเล็บที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลานสาวผู้อาภัพ คุณหนูเฉินผู้ก่อเรื่องทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาเพราะกลัวความผิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อมุกชมพูบอกว่าซุ่มซ่ามเอง
“เป็นอะไรไป” เฉินหลินถามหลานสาวทั้งสาม
“ไม่รู้ค่ะ” เด็กสาวทั้งสามตอบพร้อมกับสะอึกไม่หยุด
“ดีแล้ว สะอึกแบบนี้ไปสามวันเลยนะพวกตัวแสบ” หลี่กุ้ยมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจที่ได้เอาคืนแทนมุกชมพูบ้าง
มุกชมพูกลับมายังที่พักหลังรับประทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว สมุดหนังสือเรียนที่เธอแสนจะรักและหวงแหนขาดไม่มีชิ้นดี เธอค่อยๆเอาสก็อตเทปมาติดในส่วนที่ขาดเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะทนไม่ไหวก้มหน้าร่ำไห้เพียงลำพังจนหลับไป
“หยุดร้องไห้เถิด เหม่ยจู”
“ท่านพี่”
ปลายนิ้วของเจ้าชายมังกรยื่นมาซับน้ำตาบนแก้มสาวอย่างแผ่วเบา มุกชมพูสุดจะกลั้นโผเข้ากอดเขาแน่นแล้วร่ำไห้ระบายความอัดอั้น เอ๋าจินหลงยกมือทำท่าจะกอดปลอบ แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่ควรจึงวางมือลงข้างตัวปล่อยให้เธอกอดเขาร้องให้ต่อ
“ไม่ต้องร้อง เจ้าเคยสัญญากับพ่อไม่ใช่รึว่าจะไม่ร้องให้ต่อหน้าคนอื่น” มังกรหนุ่มเตือนสติ
“ข้าสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น แต่ท่านพี่ไม่ใช่คนอื่น ข้าเป็นคนในปกครองของท่าน ข้าร้องไห้ต่อหน้าท่านได้ไม่ใช่เหรอ” สาวน้อยเอ่ยเสียงสะอื้น
“เด็กเจ้าเล่ห์ เอาเถอะ ถ้าอยากจะร้องก็ร้องต่อให้พอก็แล้วกัน”
“พรุ่งนี้ข้าจะเอาหนังสือที่ไหนไปเรียน ถึงซ่อมมันแล้วแต่บางหน้ามันขาดจนต่อไม่ได้” มุกชมพูมองไปที่กองหนังสือซึ่งขาดไม่เป็นชิ้นดี
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง รุ่งอรุณของพรุ่งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นปกติ”
“จริงหรือคะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
“ข้าไม่เคยผิดคำพูด ปล่อยข้าได้แล้ว”
“เสื้อของท่านพี่เปื้อนหมดเลย” มุกชมพูเงยหน้าแล้วถอยหลังออกมา คราบน้ำตาของเธอเปรอะชุดของเอ๋าจินหลง
“ช่างมัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย” เอ๋าจินหลงตวัดมือเบาๆ เพียงครั้งเดียว คราบน้ำตาเหล่านั้นก็หายไปหมด ตอนนี้เขามีเรื่องอยากจะถามแม่สาวน้อยตรงหน้ามากกว่า
“ข้าขอถามหน่อย ทำไมถึงไม่บอกคนอื่นเรื่องที่ถูกทำร้าย”
“ข้าไม่อยากสร้างศัตรูค่ะ พวกเขาเกลียดข้าอยู่แล้วถ้าฟ้องก็จะยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่” หญิงสาวพูดตามความจริง เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกทำร้ายด้วยเรื่องอะไร รู้เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่คิดญาติดีด้วย ถ้าขืนพูดเรื่องจริงออกไปรับรองว่าคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่
“คนพวกนั้นจะไม่สำนึก ถ้าไม่ถูกลงโทษ” องค์ชายมังกรเอ่ยเสียงเข้ม จะว่าไปเขาเองก็ไม่พอใจที่เห็นใครมาทำร้ายมุกชมพูเพียงฝ่ายเดียว
“ข้าเชื่อว่า คนเราจะต้องได้รับผลของการกระทำของตัวเองไม่วันใดก็วันหนึ่งค่ะ”
“เจ้าช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีจริงๆ เอาล่ะ ข้ามีของจะให้”
“อะไรคะ” มุกชมพูถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยื่นมือไปรับของที่เอ๋าจินหลงมอบให้
“หงส์เป็นสัญลักษณ์แห่งดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นสำหรับฤดูร้อนและฤดูเก็บเกี่ยว เป็นเครื่องหมายคุณงามความห้าประการ คือ คุณธรรม ความยุติธรรม ศีลธรรม มนุษยธรรม และสัจธรรม มันยังแสดงถึงการมีชีวิตใหม่ที่ดี เชื่อกันว่าหงส์เป็นมงคลประจำทิศใต้” องค์ชายมังกรอธิบายต่อไปอีกว่า “นอกจากนี้หงส์ยังเป็นสิ่งที่ชาวจีนปีติชื่นชอบมากที่สุด เพราะมันมีรูปร่างสวยงามสะโอดสะอง มีความอ่อนหวานมีความสุภาพเป็นผู้ดี ข้าอยากให้เจ้างดงามเหมือนกับหงส์สลักนี้”
หยกสีขาวรูปหงส์คือของที่องค์ชายมังกรมอบให้มุกชมพู สิ่งที่เขาอธิบายลักษณะของหงส์ ทำให้เธอรู้ว่าควรใช้ชีวิตเช่นไร ให้สมกับที่ได้รับหงส์หยกสีขาวนี้
“ข้าจะเก็บมันไว้กับตัวตลอดเวลาค่ะ ท่านพี่” นอกจากมุกมังกรที่อยู่ในตัวเธอแล้ว ของชิ้นนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นของชิ้นแรกที่เอ๋าจินหลงตั้งใจมอบให้เธอ
“ข้าไปล่ะ”
มุกชมพูสะดุ้งตื่นมาในตอนเช้า สิ่งแรกที่เห็นคือหยกขาวที่วางไว้ข้างหมอน เธอหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะแนบลงที่กลางอก ระลึกถึงผู้ให้ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
ไม่เพียงแค่ของแทนตัวที่เขามอบให้แค่นั้น แต่คำสัญญาที่เอ๋าจินหลงเอ่ยไว้ก็ไม่มีคำว่าลืมเลือน สมุดหนังสือที่ถูกฉีกขาดกลับมาอยู่ในสภาพปกติทุกอย่าง เขารักษาสัญญาและรักษาหัวใจนี้ให้อบอุ่นเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ ท่านพี่”
