บทที่ 4.....ดนตรีสื่อสัมพันธ์
บทที่ 4
ดนตรีสื่อสัมพันธ์
คุณนายเฉินอยากให้หลานสาวเรียนรู้เรื่องดนตรีจึงเรียกมุกชมพูมาถามความสมัครใจ สาวน้อยตกลงเรียนเครื่องสายโบราณอย่างหนึ่งของจีนที่เรียกว่า ผีผา
ความสามารถในเรื่องดนตรีของมุกชมพูเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจของคุณนายเฉินเสียเหลือเกิน เพราะเวลาแค่สองเดือนเท่านั้นหลานสาวสุดที่รักสามารถเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ได้อย่างไพเราะ ราวกับว่าคุ้นเคยกับมันมานานนับสิบปี ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร ก็สร้างความไม่พอใจแก่ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
“ไต้อี้ ซือซือและฟ่งหลินก็เล่นเปียโนได้นะคะ” ลูกสะใภ้รองเอ่ย
“อีกอย่างเดี๋ยวนี้พวกเครื่องดนตรีโบราณก็ไม่ค่อยมีคนสนใจแล้ว เล่นไปก็มีแต่เชย” สะใภ้เล็กกล่าวย้ำ ซึ่งทำให้คุณนายเฉินรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับต้องออกปากเองเลยว่า
“จะเห่อของใหม่ก็เรื่องของพวกเธอ แต่อย่ามาหาว่าของที่บรรพบุรุษคิดค้นและควรสืบทอดเชย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเป็นพวกหลงของใหม่จนลืมรากเหง้าของตัวเอง”
ทุกคนเงียบเมื่อรู้สึกได้ว่าคุณนายเฉินไม่พอใจ มุกชมพูก้มหน้าไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น เดาได้ว่าคำพูดของนางทำให้ทุกคนเพิ่มความไม่พอใจตนมากขึ้นไปอีกแน่
“เลิกเถียงกันได้แล้ว ทำไมจะต้องมาทะเลาะกันเพียงเพราะคำว่าของเก่าของใหม่ด้วย” ประมุขตระกูลเฉินตัดบทในทันที แม้จะเห็นด้วยกับความคิดของภรรยา แต่ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ นอกจากใช้น้ำเสียงทรงอำนาจยุติเรื่องนี้
มุกชมพูเดินถือเครื่องดนตรีกลับมายังที่พักเมื่อการรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ระหว่างทางกลับ บรรดาลูกๆ ของลุงทั้งสามมาดักหน้าไว้เหมือนเคย รวมถึงเฉินหมิงซานลูกชายคนโตของลุงรองด้วย
“แกทำให้แม่ของพวกฉันถูกต่อว่าบนโต๊ะอาหาร นังเด็กไม่มีพ่อแม่” เฉินไต้อี้เปิดฉากเป็นคนแรกแล้วเดินมาเกาะแขนพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“มันทำให้น้องถูกคุณแม่ว่าหลายครั้งแล้วค่ะ มันประจบคุณย่า”
เฉินหมิงซานไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ ตรงเข้ามาผลักมุกชมพูล้มลงไปที่พื้น จากนั้นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังขึ้น
“ทำแบบนี้ทำไม” มุกชมพูไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจอีก
“ก็เพราะแกทำให้พวกฉันโดนว่าไง” สามสาวพูดออกมาพร้อมๆ กัน
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” คนถูกกล่าวหาแย้ง
“วันนี้เรื่องดนตรี คุณแม่เสียหน้ามากค่ะพี่หมิงซาน” เฉินซือซือหันมาหาพี่ชาย
“นังเด็กกำพร้าหน้าโง่ อย่าหาเรื่องประจบคุณย่าอีก ถ้าทำให้พวกฉันมีปัญหาอีกล่ะก็ แกจะต้องเจ็บตัวมากกว่านี้แน่ และจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วยว่า ต่อให้ประจบอย่างไรคุณย่าก็ไม่มีวันรักหลานนอกคอกอย่างแกแน่” เฉินหมิงซานเดินเข้ามาประชิดหมายจะผลักมุกชมพูให้ล้มลง แต่สาวน้อยรู้ทันจึงหลบ
“หยุดนะ” เสียงตวาดดังลั่นหยุดการกระทำของทุกคนให้หันไปมอง
“ตาแก่นี่เป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร เนื้อตัวสกปรกมอมแมมดูไม่ได้เลย” เฉินหมิงซานเอ่ยพร้อมทำท่าจะเดินเข้าไปหาหลีกุ้ย แต่มุกชมพูมาขวางไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายผู้สูงอายุ
“จะทำอะไร” มุกชมพูยังไม่ทันจะพูดต่อ เฉินหมิงซานก็ผลักเธอกระเด็นไปชนกับหินก้อนใหญ่จุกจนลุกไม่ขึ้น แต่ก็ฝืนลุกเพื่อเข้าไปกันไม่ให้หลีกุ้ยถูกทำร้าย
“เด็กกำพร้าไม่มีใครคบ กับตาแก่แสนสกปรกสมกันดีมาก” ทั้งสี่ร้องตะโกนล้อเลียนแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะเย้ยหวังให้มุกชมพูรู้สึกอับอายมากขึ้น แต่หลีกุ้ยกลับโมโหที่เห็นเธอถูกรังแกมากขึ้นทุกที
“หยุดสามหาวเดี๋ยวนี้นะ”
หลีกุ้ยยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเลย จู่ๆ บริเวณนั้นก็เกิดลงมาพายุหมุน โดยเฉพาะรอบตัวคนที่หาเรื่อง แรงลมทำให้พวกเขาล้มลุกคลุกคลาน
“ผี” ทั้งสี่มองหน้าแล้วร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
“หนอย... บังอาจมากที่กล้าพูดคำนี้” หลีกุ้ยรู้ดีว่าแรงลมในเวลานี้เกิดจากอะไร และยิ่งสะใจเมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งสี่
“ถ้าต่อไปใครรังแกแม่หนูนี้อีก รับรองว่าโดนดีแน่”
ทั้งสี่มองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด สีหน้าท่าทางที่แสดงถึงความกลัวสุดชีวิต ทำให้หลีกุ้ยทั้งสะใจทั้งขำในเวลาเดียวกัน
“เป็นไงบ้าง แม่หนู” เมื่อแรงลมสงบและอันธพาลไปหมดแล้ว ทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ หลีกุ้ยหันมาหามุกชมพูที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณตาเป็นอะไรมากไหมคะ” มุกชมพูโล่งอกที่พวกนั้นไปเสีย
“ขอบใจนะที่คิดจะช่วย ทั้งที่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด” เม่นทะเลเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง ความเมตตาของมุกชมพูช่างประเสริฐนัก น้ำใจอันงดงามที่อยากจะช่วยเหลือทั้งที่ตัวเองก็ถูกรังแกสร้างความประทับใจให้กับผู้อารักขาเหลือเกิน
“แล้วนี่คุณตากินข้าวหรือยังคะ” มุกชมพูนึกได้ว่าเลยเวลาอาหารเย็นแล้ว จะมีใครเอาอาหารหรือหลีกุ้ยจะได้กินหรือยัง
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ว่าแต่แม่หนูเล่นผีผาเป็นด้วยงั้นหรือ” หลีกุ้ยเห็นผีผาแล้วอดคิดถึงใครบางคนที่ชื่นชอบในดนตรีชนิดนี้ด้วยไม่ได้
“ค่ะ” มุกชมพูพยักหน้ารับ
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าองค์ชาย เอ่อ ไม่ใช่ ท่านพี่ของแม่หนูก็ชอบเสียงดนตรีของผีผาเช่นกัน”
“คุณตารู้จักท่านพี่หรือคะ” มุกชมพูย้อนถามด้วยความประหลาดใจ
“รู้จักสิ รู้จักดีเชียวล่ะ ท่านพี่ของแม่หนูให้ตามาอยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวว่าแม่หนูจะเหงา” เม่นทะเลบอก
“ต่อไปคุณตาเรียกหนูว่าเหม่ยจูก็ได้ค่ะ ชื่อนี้นอกจากคุณแม่ คุณยายแล้วคนที่หนูรักและรู้สึกพิเศษด้วยเท่านั้นถึงจะเรียกได้” หญิงสาวรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ มักจะปรากฏตัวในยามคับขัน และถือเป็นเพื่อนคนแรกในบ้านหลังนี้เลยก็ว่าได้ ดังนั้นหลีกุ้ยถือเป็นคนพิเศษสำหรับตนด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งคุณตาและท่านพี่มาในชีวิตของเหม่ยจู” มุกชมพูพูดจากความรู้สึกในหัวใจจริงๆ
“ต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอันตรายขอให้นึกถึงตาทันที แล้วตาจะตามไปช่วยในทุกที่”
“ขอบคุณมากค่ะคุณตา เหม่ยจูจะจำคำนี้ไว้”
“อีกอย่างถ้าเด็กบ้าพวกนี้มารังแกอีก หรือทำอะไรที่เป็นการทำร้าย ก็ควรจะบอกให้ประมุขของบ้านนี้รู้เรื่องบ้าง” หลีกุ้ยคิดว่าอย่างน้อย สองสามีภรรยาผู้มีศักดิ์เป็นตาและยาย ควรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลานสาวในยามลับหลัง
“อย่าเลยค่ะ ถ้าทำแบบนั้นพวกเขาก็จะหาเรื่องอีก หนูไม่อยากให้ใครมาด่าพ่อแม่ของหนู อะไรที่ทนได้ก็จะพยายามค่ะ” อย่างน้อยการไม่ตอบโต้ของเธอ อาจทำให้พวกนั้นเบื่อและเลิกราวีไปเองก็ได้
“ถ้างั้นก็ขอให้จำคำตาไว้ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออย่าได้ลังเล ให้คิดถึงตาไม่ว่าอยู่ที่ไหนเพียงแค่คิดถึง ตาจะไปช่วยในทันที”
“เหม่ยจู ขอบคุณคุณตามากค่ะ” มุกชมพูเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นใจ ทั้งคู่เดินคุยกันไปจนถึงบ้านพักก่อนที่เม่นทะเลจะทำทีขอตัวจากไปในที่สุด
“นี่ไม่ใช่ความฝัน”
มุกชมพูเอ่ยด้วยความดีใจ เมื่อใครบางคนมาปรากฏกายตรงหน้า เขาสวมชุดสีขาวซึ่งแฝงไว้ด้วยความสง่างามเหมือนเคย ใบหน้าและสายตาที่ทอดมองมามีความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นความฝัน” เอ๋าจินหลงถามด้วยความสงสัย
“เพราะทุกครั้งที่ท่านพี่ปรากฏตัว เรามักจะพบกันในฝัน” มุกชมพูพูดพลางเดินไปรอบตัวของชายหนุ่ม เพื่อพินิจพิเคราะห์ให้แน่ใจว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ
“แล้วเจ้ากลัวข้าไหม ในเวลาที่อยู่ในฝัน ข้าอาจจะเป็นผีร้ายมาสูบพลังชีวิตของเจ้าก็เป็นได้”
“ถ้าท่านเป็นผีร้ายจริงๆ ข้าก็ไม่กลัว และท่านก็ไม่ได้เป็นผีร้ายเสียหน่อย แต่ท่านเป็นผู้ปกครองของข้า และข้าก็เป็นคนในปกครองของท่านต่างหาก”
“เหม่ยจู” ฟังคำพูดไร้เดียงสาที่มอบตนเองให้อยู่ในการดูแลแล้ว หัวใจ เอ๋าจินหลงก็รู้สึกดีอย่างประหลาด จนเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“เวลาท่านยิ้ม โลกนี้สดใสเหลือเกินค่ะ” รอยยิ้มของเขาสร้างความชุ่มชื่นในหัวใจมุกชมพูเหลือเกิน แค่ยิ้มเพียงเล็กน้อยก็ปรากฏความสว่างอบอุ่นแก่ดวงตาทั้งสองข้างที่ได้มองเห็น
“ก็แค่ยิ้ม ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษสักหน่อย” มังกรหนุ่มเหมือนจะรู้ตัวว่ามีคนมอง และชื่นชมในรอยยิ้มของตนเองจึงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
“ตั้งแต่เจอท่าน ท่านชอบทำหน้าเย็นชาใส่ข้า แต่ตอนนี้ท่านยิ้มแม้เป็นเพียงรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ท่านยิ้มโลกนี้สดใสมาก ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้ท่านยิ้มบ่อยๆ เพื่อที่ว่า...”
“เจ้ามีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังไหม” เอ๋มจินหลงตัดบทเปลี่ยนเรื่องในทันทีคำชมของสาวน้อยตรงหน้ากำลังทำลายกำแพงที่ตั้งไว้กับเธอให้พังลงอย่างไม่เป็นท่า
“เรื่องอะไรคะ” มุกชมพูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน
“ก็เรื่องที่เจ้าถูกรังแกในวันนี้”
“ท่านพี่รู้”
“ข้ารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเจ้า เจ้าคิดว่าลมนั่นเป็นฝีมือของใครล่ะ”
“ท่านทำเหรอคะ”
“แสดงว่าท่าน...”
“ใช่ ข้ารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้า” มังกรหนุ่มยอมรับทันที
“ถ้างั้นทุกครั้ง คนที่ช่วยข้าก็คือท่าน” สายตาของมุกชมพูเต็มไปด้วยความชื่นชมและคำขอบคุณที่แสนตื้นตัน เธอไม่รู้จะเอ่ยคำไหนออกมานอกจากเดินเข้าไปใกล้ๆ และพนมมือกราบลงที่กลางอกขององค์ชายมังกร
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ” สาวน้อยเงยหน้าขึ้นสบตามังกรหนุ่ม แววตาแห่งความใสซื่อที่ปรากฏคำว่าชื่นชมเต็มเปี่ยมในหัวใจ ทำให้เอ๋าจินหลงหวั่นไหวไปกับอารมณ์นั้น และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
“ข้าอยากให้เจ้าระวังตัว และควรบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นได้รับรู้ เพื่อเจ้าจะไม่ถูกคนพวกนั้นทำร้ายอีก”
“ข้าสู้พวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ ข้าเพียงคนเดียวกับพวกเขาสี่คน อนาคตก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คน” น้ำเสียงมุกชมพูขมขื่นเล็กน้อย
“เจ้ามีพลังของมุกมังกร หากเจ้าคิดอะไรแล้วก็จะทำได้ไม่ยาก”
“ถ้าข้าใช้มุกมังกรมาช่วย ก็เท่ากับว่าข้าเป็นพวกชอบเอาชนะ เพราะ มุกมังกรเป็นพลังพิเศษที่มีอยู่ในตัวข้า ในขณะที่คนพวกนั้นไม่มี”
“มันคนละเรื่องกัน ถ้าเจ้ายอมคนพวกนั้นก็จะรังแกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเจ้าใช้พลังมุกมังกรให้พวกนั้นเลิกวุ่นวาย ข้าว่ามันก็อาจจะเป็นการดีไม่ใช่เหรอ เอาเถอะข้าแนะนำเจ้าแค่นี้ จะใช้หรือไม่ใช้ก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ ตอนนี้ข้าไม่อยากฟังเรื่องอะไรอีก นอกจากอยากฟังเจ้าเล่นผีผาสักเพลง เล่นให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม” องค์ชายมังกรอยากมีเวลาแห่งความสุขมากกว่าสนใจเรื่องไร้สาระของคนอื่น ปัญหาของมุกชมพูไม่ใช่เรื่องยากหากคนอย่างเอ๋าจินหลงจะจัดการ
“ท่านพี่อยากฟังข้าเล่นผีผาเหรอคะ” มุกชมพูถามด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าอยากเล่นให้ข้าฟังหรือเปล่าล่ะ” เจ้าชายมังกรรูปงามถามกลับ
“อยากค่ะ อยากมากที่สุด ข้าอยากเล่นให้ท่านพี่ฟัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเถิด”
มุกชมพูจัดการใส่เล็บปลอมที่ปลายนิ้วมือด้านขวาจนครบและใช้พลาสเตอร์เป็นเหมือนกาวพันเล็บปลอมกับนิ้วมือจนแน่น เธอเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ วางผีผาลง บนหน้าตัก ตั้งให้อยู่ในระดับที่พอดี มือซ้ายประครองผีผาไว้ไม่ให้ล้มและใช้นิ้วชี้ กลาง นาง และก้อยกดบนขั้นเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงตามต้องการ ใช้นิ้วโป้งประคองตัวผีผาและเริ่มบรรเลงเพลงจันทร์แจ่มฟ้า (เยว่เอ๋อร์เกา月儿高)
เสียงเพลงที่ดังขึ้นมาช่างเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เสียเหลือเกิน ตอนนี้พระจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้า แสงนวลชวนมอง เมื่อบวกเข้ากับเสียงดนตรีที่แสนจะไพเราะแล้วมันน่าประทับใจ ท่าทางของผู้ที่กำลังเล่นดนตรีก็น่ามองเช่นกัน
มุกชมพูตั้งอกตั้งใจเล่นผีผาอย่างสุดความสามารถ เพื่อใช้มันเป็นเครื่อง ตอบแทนน้ำใจของเอ๋าจินหลง สายตาขององค์ชายมังกรจับจ้องคนที่กำลังเล่นผีผาอย่างไม่วางตา หวนคิดถึงคำเปรียบเปรยความงดงามของปักษีตกนภา งามเสียจนนกยังตกลงมาจากฟ้า นามของนางผู้นั้นคือหวังเจาจวิน ความงามที่อยู่ตรงหน้าเทียบไม่ได้กับปักษีตกนภา ทว่างดงามแสนงดงามอยู่ในหัวใจ
เสียงบรรเลงผีผาบรรเลงดังไปรอบบริเวณ ความกังวานหวานสร้างความสุข ให้แก่สรรพสัตว์ที่อยู่รายล้อมด้วยเช่นกัน
