เจ้าสาววังมังกร

132.0K · จบแล้ว
กุหลาบแก้ว
47
บท
2.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

พืนน้ำมิอาจกั้น รักเรานั้นนิรันดร ถ้าคุณเชื่อลิขิตจากฟ้า คุณจะเชื่อว่าความรักของเขาและเธอมีจริง ด้ายแดงเส้นนั้น มุกมังกรในร่างของเธอ ทุกอย่างคือวาสนาเพียงคำเดียว เมื่อวาสนานำพาองค์ชายมังกรแห่งทะเลใต้เช่นเขา มาพบกับมนุษย์ตัวน้อยๆเช่นเธอ เธอทั้งแสนดี อ่อนหวาน โลกสวยเสียเหลือเกิน แต่รอบตัวเต็มไปด้วยศัตรูที่หวังปองร้าย งานนี้องค์ชายมังกรอย่างเอ๋าจินหลง ต้องยอมก้มหน้ากับลิขิตฟ้าเพื่อพิทักษ์เธอให้รอดพ้นจากหมู่มาร ที่สำคัญ บทพิสูจน์รักแท้กำลังจะเกิดขึ้นในเรื่องราวความรักของเขาและเธอ

นิยายรักโรแมนติกนิยายแฟนตาซีท่านอ๋องฝึกพลังเซียนโตมาด้วยแฟนตาซี จีนโบราณผู้ชายอบอุ่นฟินๆนิยายจีนโบราณ

บทนำ

บทนำ

เด็กหญิงผมเปียวัยห้าขวบหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นอาคารหลังหนึ่งตรงหน้า ศาลเจ้าเก่าหลังนี้ก่อสร้างด้วยการฉาบดินทับกับไม้ไผ้ ที่สานเข้าด้วยกันเป็นผนังให้ดูเรียบง่าย เด็กหญิงก้าวเดินเข้าไปด้านในพร้อมมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ รูปปั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลางมีทั้งหมดสามองค์ เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่ารูปปั้นเหล่านั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร ด้านขวาเป็นรูปปั้นผู้ชาย ด้านซ้ายเป็นรูปปั้นผู้หญิง และมีด้ายสีแดงผูกโยงฝั่งซ้ายและขวา เชื่อมหยุดอยู่ที่รูปปั้นตรงกลาง ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างกว่ารูปปั้นอื่นนั้นก็คือ เป็นรูปปั้นชายแก่มีหนวดยาว ตรงหน้านี้มีด้ายแดงเก่าๆ เส้นหนึ่งวางอยู่ เด็กหญิงเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้ารูปปั้นตรงกลาง ปีนโต๊ะขึ้นไปหาสิ่งที่หมายตาไว้ ด้ายแดงเส้นเก่าที่อยู่บนพานนั่น

“มุก น้องมุก”

“น้องมุก ว้าย...”

“คุณแม่” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานให้มารดาที่รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่แสดงอาการตกใจหรือเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เพิ่งพลัดตกลงมาจากที่สูง

“เจ็บไหมลูก” เฉินกุ้ยเจิน มารดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย พร้อมกับสำรวจร่างกายของบุตรสาวว่าบาดเจ็บตรงไหนไหม

“เจ็บค่ะ แต่คุณพ่อสอนว่าต่อให้เจ็บแค่ไหนก็ต้องไม่ร้องออกมา เราต้องอดทน” เด็กหญิงตอบอย่างฉะฉาน แสดงความเข้มแข็งตามที่พูดด้วยการไม่ร้องไห้หรือบ่นว่าเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย

“แต่กับพ่อแม่ แม้เจ็บนิดเดียวลูกก็ต้องรีบบอก เพราะถ้าหนูเป็นอะไรไปพ่อกับแม่คงทนไม่ได้” ธราธร บิดาของเด็กหญิงเดินตามมาสมทบ เขาย่อตัวลงอุ้มแก้วตาดวงใจไว้แนบอกพร้อมกับโอบไหล่ศรีภรรยาสุดที่รักอย่างทะนุถนอม

“มาซนอะไรตรงนี้ แม่กับพ่อไหว้เจ้าแม่กวนอิมแป๊บเดียวหันมาไม่เห็นลูกแล้ว” เฉินกุ้ยจินถาม

“มาเดินเล่นค่ะ” เด็กหญิงตอบแล้วชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นอวดอย่างภาคภูมิใจ

“หนูได้อันนี้มา” ด้ายแดงเส้นหนึ่งอยู่ในมือของเด็กน้อย สองสามีภรรยาสบตากันจะดุก็ดุไม่ออก เพราะรู้ดีว่าบุตรสาวซุกซนเพียงไร

“หนูปีนโต๊ะ เพื่อด้ายแดงเก่าๆ เส้นนี้เหรอลูก” บิดาถามย้ำด้วยความสงสัย

“ค่ะ หนูอยากได้”

“ลงทุนปีนขึ้นไปแบบนี้ ก็ต้องเก็บมันไว้ให้ดีเหมือนเป็นของมีค่า เข้าใจไหมลูก” ธราธรสอนบุตรสาว

“ไปกันเถอะค่ะ เราต้องกลับไปเก็บของ พรุ่งนี้ต้องกลับเมืองไทยแล้ว” เฉินกุ้ยเจินเอ่ย ภารกิจความตั้งใจที่จะมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือเสร็จสิ้นก็ได้เวลาที่ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยตามกำหนดแล้ว

“หนูจะไปที่นั่นค่ะ” เด็กหญิงชี้ไปที่ศาลเจ้าหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล

ศาลเจ้าแห่งนี้เฉินกุ้ยเจินอธิบายให้สองพ่อลูกเข้าใจว่า เป็นศาลของเทพเจ้ามังกรแห่งทะเลใต้หรือหนานไห่หลงหวาง ในศาลมีรูปปั้นบุตรชายทั้งสี่ของเทพเจ้ามังกรองค์นี้ด้วย

“ไม่เคยได้ยินว่าเทพเจ้ามังกรทะเลองค์นี้จะมีลูกด้วย ถ้าเป็นทะเลตงไห่ยังพอเคยได้ยินบ้าง” ธราธรเอ่ยด้วยความแปลกใจ หลังจากที่ฟังเรื่องราวของศาลเจ้าแห่งนี้จบลง

“คงจะเป็นเรื่องราวของความเชื่อค่ะ เสียดายที่ศาลนี้คนไม่ค่อยรู้จัก ไม่งั้นคงไม่ทรุดโทรมขนาดนี้ นี่ถ้าลูกไม่บอกว่าอยากมา เราก็คงไม่รู้ว่าที่นี่มีศาลของเทพเจ้ามังกรแห่งทะเลใต้ด้วย” เฉินกุ้ยเจินพูดพลางสำรวจสถานที่

ตัวศาลดูเก่าทรุดโทรมแต่ก็ยังคงสภาพดีกว่าอีกแห่งที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ สองสามีภรรยามองไปรอบๆ เพื่อดูการตกแต่งในส่วนต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยฝุ่น และไม่มีใครดูแลใส่ใจสักเท่าไร แต่ลวดลายของภาพวาดและความสวยงามในส่วนอื่นๆ ก็ยังพอมองเห็น

“น่าจะเป็นความเชื่อของคนแถวนี้ค่ะ และคิดว่าคงมีคนมาที่ศาลนี้ไม่กี่คน เพราะสภาพดูเก่ามากและคนไม่สนใจเลย ถ้าลูกของเราไม่เดินมาแถวนี้คงไม่เห็น” ภรรยาสาวพูดกับสามีและเริ่มเดินสำรวจศาลเจ้ารอบๆ ส่วนลูกสาวตัวน้อยนั้นเดินไปยังรูปปั้นของชายหนุ่มที่แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายแบบจีนโบราณที่ใส่ชุดสีเหลืองทอง เด็กหญิงมองและเริ่มปีนป่ายอีกครั้ง เธอส่งยิ้มให้กับรูปปั้นเมื่อได้อยู่ใกล้ เด็กหญิงมองด้ายแดงที่ผูกอยู่กับนิ้วก้อยของตัวเองสลับกับใบหน้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“น้องมุก ทำอะไรลูก” ธราธรหันมาเห็นบุตรสาวกำลังเริ่มปีนป่ายอีกครั้ง

“น้องมุก ไม่เอานะลูก ไม่เล่นแบบนี้” เฉินกุ้ยเจินรีบเข้ามาห้ามบุตรสาว

เด็กหญิงปีนขึ้นบนตัวรูปปั้น เจ้าตัวส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะใช้ด้ายสีแดงที่ถือติดมือไม่ห่าง พันนิ้วของตนกับนิ้วมือของรูปปั้นนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย

“สงสัยว่า ลูกเขยของเราจะเป็นองค์ชายมังกรนะเนี่ย” ธราธรหัวเราะเบาๆ โดยไม่คิดอะไร ในขณะที่เฉินกุ้ยเจินไม่คิดเช่นนั้น อีกทั้งยังพร่ำคำขอโทษรูปปั้นต่อการกระทำที่ไร้เดียงสาของบุตรสาวอีกด้วย

“เอาด้ายออกลูก ทำแบบนี้ไม่ได้”

“หนูผูกไปแล้วค่ะ คุณแม่”

“ผูกแล้วก็เอาออกได้นี่คะ มานี่แม่จะทำให้ดู” กุ้ยเจินย้ำพร้อมกับจะเอื้อมมือไปดึงด้ายแดงที่พันไว้ออก

ระหว่างนั้นมีลมเย็นพัดเข้ามากระทบที่ลำตัวของเธอ เฉินกุ้ยเจินชะงักและมองไปรอบๆ กลับไม่พบทิศทางของลมที่มากระทบตัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างนิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงสัมผัสจากลมเย็นที่กระทบร่างกายของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

เด็กหญิงมุกชมพูเข้าใจว่าการนิ่งของมารดาคือความไม่พอใจ จึงค่อยๆ แกะด้ายแดงในฝั่งของตนเองออก แต่ไม่วายที่จะหันไปกระซิบที่รูปปั้นให้ได้ยินกันเพียงสองคน พร้อมทั้งคว้าเม็ดไข่มุกที่อยู่ในมือรูปปั้นนั้นมาถือครองไว้

“ฝากไว้ก่อนนะคะ เมื่อถึงเวลา สัญญาว่าน้องมุกจะมาผูกนิ้วตัวเองอีกครั้ง”

สายลมพัดวูบกระทบร่างสองแม่ลูก ราวกับรับรู้ในคำสัญญาจากปาก เด็กน้อย เฉินกุ้ยเจินยกมือไหว้อธิษฐานขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาล และรีบพามุกชมพูพร้อมสามีเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย

“เฒ่าจันทรา ออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”

เสียงเรียกอันทรงอำนาจนั้นดังขึ้นก่อนที่จะเจ้าของเสียงจะปรากฏตัวชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สง่างามสมชายชาตรีสวมเครื่องแต่งกายด้วยชุดสีทองแบบบัณฑิตจีนโบราณ ผมมีสีดำขลับยาวสลวยเกือบถึงหัวเข่า ตรงกลางหน้าผากมี รัดเกล้าลายมังกร ใบหน้าหล่อเหลาปานรูปสลัก แสดงความไม่พอใจบางสิ่งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเรียวยาวทว่าคมเข้มและเต็มไปด้วยพลังอำนาจนั้น จ้องมองรูปปั้นชายแก่ที่ขนาบข้างด้วยรูปปั้นคู่บ่าวสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“องค์ชายใหญ่” เฒ่าชราเครายาวโค้งคำนับผู้เรียก ทันทีที่ปรากฏตัว ต่อหน้าเอ๋าจินหลง บุตรชายคนโตแห่งเจ้าทะเลใต้ผู้สง่างาม

“เฒ่าจันทรา เจ้าล้อเล่นแบบนี้ ข้าไม่ชอบ” เขาชูนิ้วก้อยของตนเองที่มีด้ายแดงผูกไว้ให้เฒ่าจันทราเห็น

“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นองค์ชาย เรื่องนี้เป็นโชคชะตาของท่าน” เฒ่าจันทราผู้เป็นเทพพ่อสื่ออธิบายอย่างใจเย็น

“โชคชะตาอย่างนั้นหรือ” องค์ชายหนุ่มย้อนถาม เขาน่ะหรือมีวาสนากับเด็กน้อยนั่น

“ใช่ ท่านกับเด็กผู้หญิงน้อยผู้นั้นมีวาสนาต่อกัน” เฒ่าจันทรายืนยันอีกครั้ง ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และความบังเอิญไม่มีในโลก และในฐานะเทพที่ทำหน้าที่จับคู่ให้กับมนุษย์และสรรพสิ่ง ทุกอย่างขึ้นอยู่ด้วยคำว่าวาสนาคำเดียวเท่านั้น

“ข้าต้องการให้เจ้าใช้กรรไกรของเทพพ่อสื่อตัดด้ายแดงนี้ออกซะ” เจ้าชายมังกรแห่งทะเลหนานไห่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“ด้ายนี้จะถูกตัดได้ก็ต่อเมื่อคนสองคนไม่มีวาสนาต่อกัน แต่เด็กน้อยผู้นั้นมีวาสนากับท่าน” เฒ่าจันทรายืนยันคำเดิมอีกครา

“ไม่เคยมีมนุษย์คนใดครองคู่กับมังกรและไม่เคยมีเจ้าชายมังกรตนใดครองคู่มนุษย์ เจ้าก็รู้นี่” บุตรชายแห่งเจ้ามังกรทะเลใต้เอ่ย เฒ่าจันทรานิ่งไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ยอมทำตามคำสั่ง ทว่ากรรไกรของเทพพ่อสื่อกลับไม่สามารถตัดด้ายแดงนั้นขาดออกจากกันได้ เฒ่าจันทรายิ่งแน่ใจว่า วาสนาที่มีต่อกันของคนทั้งคู่คือลิขิตจากฟ้าอย่างแน่นอน

“ท่านมีวาสนาจึงได้พานพบ มีบุญที่ได้พบหา แม่หนูน้อยคนนั้นคือวาสนาของท่าน นี่คือสิ่งที่ฟ้าลิขิต ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”

“แต่ข้าไม่ต้องการมีวาสนากับผู้ใด” มังกรหนุ่มเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ไม่สนในวาสนาหรือชะตาฟ้าลิขิตใดๆ ทั้งสิ้น

“สักวันท่านจะต้องเรียกหา ขอให้วาสนาอยู่กับตัวท่านตลอดไป”

“นั่นอาจเป็นคนอื่น แต่ไม่ใช่กับข้าอย่างแน่นอน จงจำไว้” โอรสแห่งเจ้ามังกรทะเลใต้ยืนกรานเสียงแข็ง ก่อนจะสะบัดหน้าหายตัวไปด้วยความโมโห เฒ่าจันทราทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างใจเย็น และเฝ้าดูวาสนาที่กำลังดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ

ดวงตาคมคู่คมของเจ้าชายมังกรจ้องมองเด็กหญิงที่นอนหลับอยู่บนเตียงไม่ห่าง เด็กคนนี้น่ะหรือผู้มีวาสนากับเขา ลูกสาวมนุษย์ไร้อิทธิฤทธิ์ เดินดินธรรมดาหรือจะคู่ควรกับเจ้าชายมังกรเช่นเอ๋าจินหลง โอรสองค์โตของเจ้าแห่งทะเลใต้ มันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

มุกชมพูลืมตาขึ้นมาในความมืด แสงจากร่างของใครบางคนทำให้ต้องหันมอง เจ้าชายแห่งทะเลใต้ประสานสายตากับเด็กหญิงซึ่งไร้ความหวาดหวั่นใดๆ เมื่อเห็นหน้าเขา ทุกคนในห้องหลับสนิทมีเพียงมุกชมพูเท่านั้นที่จ้องมองเขาในเวลานี้

“คืนมุกมังกรมาได้แล้ว แม่หนูน้อย” เจ้าชายแห่งทะเลใต้เอื้อนเอ่ย หากแต่ริมฝีปากนั้นหาได้ขยับไม่

“มุกมังกรคืออะไรหรือคะ คุณลุง” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความงุนงง

“อย่ามาเรียกข้าว่าลุง บังอาจ คืนมุกมังกรที่เจ้าหยิบมาจากศาลมังกรเมื่อตอนกลางวันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” สีหน้าและน้ำเสียงองค์ชายมังกรเต็มไปด้วยอำนาจ เขาตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวตามประสาเด็ก ทว่า...

“หนูกลืนลงคอไปแล้วค่ะ” มุกชมพูตอบเสียงดังฟังชัด ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นต่อการแสดงอำนาจใดๆ ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“อะไรนะ เจ้ากลืนมุกมังกรของข้าอย่างนั้นรึ” สีหน้าของเจ้าชายมังกรแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่แม่หนูน้อยกระทำลงไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจนำมาซึ่งปัญหาหลายอย่าง

“หนูกลัวแม่เห็นเลยกลืนมันไปค่ะ”

เอ๋าจินหลงกุมขมับอย่างหงุดหงิด เด็กน้อยผู้มีวาสนาต่อตนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เจ้าชายแห่งทะเลใต้ไม่เจรจาใดๆ อีก หายวับไปกับตาต่อหน้ามุกชมพูที่จ้องมองเขาด้วยความสงสัยว่า เอ๋าจินหลงเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่

แต่การหายตัวไปต่อหน้าทำให้สติคืนสู่ความเป็นมนุษย์ และแน่นอนว่าความกลัวย่อมเกิดขึ้นตามมา เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยปลุกให้ทุกคนที่กำลังหลับสบาย ลืมตาตื่นมาดูด้วยความตกใจ

เจ้าชายแห่งมังกรทั้งสามมองดูพี่ชายของตนเดินวนไปวนมาอยู่ในตำหนักด้วยความเห็นใจปนขบขัน ไม่เคยมีใครทำให้เอ๋าจินหลงเป็นเช่นนี้ได้เลย นอกจากมนุษย์น้อยที่เฒ่าจันทราบอกว่ามีวาสนาต่อองค์ชายใหญ่แห่งทะเลใต้

“ก็แค่มุกมังกรเม็ดเดียว ไม่น่าทำให้ท่านหงุดหงิดได้ขนาดนี้เลย พี่ใหญ่” เอ๋าเอ๋อร์หลง องค์ชายรองแห่งทะเลใต้เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก เมื่อเห็นพี่ชายสุดที่รักเดินวนไปมานานแล้ว

“มุกมังกรเม็ดนั้น ข้าให้ไว้เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับผืนดิน แต่เด็กนั่นกลับกลืนมันลงท้องไปหน้าตาเฉย จะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร” เอ๋าจินหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“แต่ท่านพี่ก็วางมุกเม็ดใหม่และร่ายมนตร์ไว้มิให้มีผู้ใดเห็นแล้ว ผืนดินแห่งนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่อันที่จริงไม่เคยมีใครเห็นมุกเม็ดนั้น แล้วทำไมเด็กน้อย คนนั้นกลับมองเห็นมันได้” เอ๋าซานหลง องค์ชายสามถามด้วยความแปลกใจ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสงสัยเหลือเกินว่า แค่มนุษย์น้อยคนเดียวทำไมถึงรู้เห็น และไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย

“หรือคำพูดเฒ่าจันทราเป็นเรื่องจริง ท่านพี่กับเด็กน้อยนั่นมีวาสนาต่อกัน” เอ๋าซือหลง องค์ชายที่สี่ให้ความเห็น

“หากมีวาสนาต่อกันจริง ความรักของท่านพี่คงเป็นตำนานที่ถูกกล่าวขานไปทั่วเป็นแน่” องค์ชายทั้งสามพูดออกมาพร้อมๆ กันด้วยรอยยิ้มที่ต่างก็มั่นใจว่า เฒ่าจันทราพูดไม่ผิด

“อย่าเอาคำพูดของเฒ่าจันทราที่ชอบจับคู่คนโน้นคนนี้มาพูดกับข้า เด็กนั่นกับข้าไม่มีทางมีวาสนาต่อกัน และข้ากับนางจะไม่มีวันพบกันอีกเป็นอันขาด” เอ๋าจินหลงเอ่ยอย่างหนักแน่น ทว่าแววตาคู่คมนั้นกลับมีเงาใครบางคนอยู่เด่นชัด