บทที่ 5 ฟื้นแล้วไปไหน ?
หยาดฝนในร่างใหม่ ก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่ตัวเองนั่งซ้อนแบบคร่อมมาอย่างทุลักทุเล...
เธอรู้สึกไม่ชิน ไม่เข้าใจและยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาเล่าให้ฟังมา
แต่เธอคงเลือกอะไรมากไม่ได้ ถ้าไม่ยอมนั่งรถคันนี้ของเขามา เธอก็ต้องทนนอนดมกลิ่นเหม็นๆ ที่โรงพยาบาลไปอีกไม่รู้ถึงเมื่อไหร่
'ตอนนี้อาการของเพื่อนผมอาจจะยังไม่ดีมาก แต่ผมคิดว่าการให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่คุ้นเคย น่าจะช่วยได้มากกว่าการอยู่โรงพยาบาลครับ' เขาบอกกับแพทย์เจ้าของไข้ด้วยทีท่าที่เป็นงานเป็นการ พูดจาน่าฟัง แม้บุคลิกจะดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้หล่อเหลาหรือมีความสามารถโดดเด่นอะไร
'ไม่ได้เป็นผัว เป็นเพื่อน' แต่พอนึกไปถึงคำบอกเล่าของเขา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงคนนี้ เธอก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อใหญ่
ถ้าเป็นแค่เพื่อน ทำไมต้องใส่ใจ ดูแลกันมากขนาดนี้ด้วยเล่า!
"ระวัง เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก ค่อยๆ เดิน" ฝ่ามือแกร่งเอื้อมมาจับแขนของเธอเอาไว้ เมื่อออกแรงเดินได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้สึกจะเซทันที
"นี่ บ้านของ...ชื่ออะไรนะ?" เธอชี้มาที่ตัวเอง ด้วยความรู้สึกที่ไม่ชินนัก เขาบอกเธอไปหลายหนแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าอะไร แต่เธอก็ยังจำไม่ได้สักที อาจจะเป็นเพราะรอยโรคในสมองที่แพร่กระจายก็เป็นไปได้ ทำอะไรก็เลยดูมีข้อจำกัดไปซะหมด
"ปานฝัน เธอชื่อปานฝัน...ปานฝันที่แปลว่ากำลังอยู่ในความฝัน" ผู้ชายที่แนะนำตัวเองไปแล้วว่าชื่อ สิชล บอกกับเธอด้วยถ้อยคำช้าๆ ชัดเจน เต็มใจ และไม่ได้มีทีท่ารำคาญแต่อย่างใด
มันทำให้หยาดฝนรู้สึกอบอุ่นประหลาด เธอไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่การที่เขาทำแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีความโชคดี ไม่ได้ไปโผล่ในร่างของคนที่รายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย
อย่างน้อยๆ ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายคนนี้ ก็ยังมีผู้ชายที่พร้อมดูแลเธอ คอยอยู่เคียงข้าง...
"อ๋อ จำได้แล้ว ปานฝัน...ชื่อปานฝัน...เดี๋ยวขอจดไว้ก่อนนะ" เธอว่าไปในเชิงติดตลก จดใส่มือตัวเองตามประสาคนขี้เล่นและยิ้มแฉ่งให้กับเขา
ริ้วรอยแห่งความดีใจ ฉายชัดในแววตาคู่คม ของผู้ชายที่ก็ไม่ได้หน้าตาหล่ออะไรมากนะ แต่ก็ไม่ได้แย่
แต่การกระทำแบบนี้ของเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาดูหล่อขึ้นผิดหูผิดตา
พอได้แล้ว จะชมอะไรเขานักหนา วู้!
"แล้ว ปานฝันอยู่บ้านคนเดียวเหรอ พ่อแม่อะไร ไม่มีแล้วเหรอ" เธอเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็ก ที่มีการจัดข้าวของในบ้านเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ตัวบ้านมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูนมีหน้าต่างสองสามบาน ส่วนชั้นบนเป็นไม้เก่าๆ ที่มีร่องรอยของการลงสีขาว แต่ตอนนี้มีการหลุดลอกเป็นส่วนใหญ่
"ออกไปทำธุระข้างนอกกัน กำลังกลับมา" เขาไม่ได้บอกความจริงว่า พวกท่านไปเตรียมวัดสำหรับจัดงานศพบุตรสาว เพราะไม่อยากให้เธอตกใจหากทราบว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมา
"ขึ้นไปบนห้องนอนก่อนสิ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จะได้สบายตัว" เขาว่าพร้อมเดินนำขึ้นไปที่ชั้นสอง
"หูย แล้วทำเป็นพูดว่าเป็นแค่เพื่อน ขึ้นห้องเขาคล่องซะขนาดนี้ พ่อคุณ!" เธอว่าเบาๆ เชิงแซวเขาลำพัง แต่ก็เดินตามขึ้นไปอย่างว่าง่าย
สภาพห้องของปานฝัน ทำให้หยาดฝนต้องเบิกตากว้าง ห้องเล็กๆ ที่ฝาผนังเต็มไปด้วยรูปของศิลปินคนโปรดทำให้เธอใจเต้นแรง...
เพราะศิลปินคนโปรดคนนั้น ดันเป็นตัวเธอเอง!
"ปานฝัน ชอบฉัน...เอ๊ย หยาดฝนเหรอ?" เธอหันไปถามเขา ผู้เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบเอาเสื้อผ้ามาให้เธออย่างคล่องแคล่ว เพราะตลอดเวลาที่เธอป่วย เขานี่แหละที่เป็นคนดูแลเรื่องส่วนตัวของเธอทั้งหมด แบบไม่เคยนึกรังเกียจ
"อื้อ"
"ฝันปลื้มศิลปินคนนี้มาก เป็นดั่งนางในดวงใจ เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ฝันต่อสู้กับโรคมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เป็นศิลปินที่ดีอะไรเท่าไหร่" เขาเล่าต่อให้ฟังแบบง่ายๆ ดูผ่อนคลาย หากแต่ทำเอาคนฟังถึงกับเลือดขึ้นหน้า
"ฉันไม่ดียังไง!" หยาดฝนลืมตัวไป ว่าตอนนี้ตัวเองคือปานฝัน ไม่ใช่หยาดฝน แต่ความโมโหทำให้เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
"ไม่ได้บอกว่าฝันไม่ดี หมายถึงแม่นักร้องเสียงเพี้ยนคนนั้นต่างหากที่ไม่ดี" เขาว่าเชิงขำ แต่เธอไม่ได้ขำด้วย
"ฉันคือหยาดฝน ศิลปินระดับโลก ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่เคยทำไม่ดีอะไรกับใคร นายไม่มีสิทธิ์มากล่าวหาฉันแบบนี้นะ!" คนโกรธจัดพูดไปหอบไป จนเขาต้องพาเธอนั่งลงบนเตียง
"โอเคชลขอโทษ ชลล้อเล่นเฉยๆ คุณหยาดฝนเขาเป็นคนดีทุกอย่าง ดีเลิศประเสริฐศรีร้องเพลงเพราะมาก ชลขอโทษนะที่กล่าวหาเขา" น้ำเสียงอ่อนโยนของสิชลทำเอาหยาดฝนทุเลาความโกรธลงได้บ้าง แต่ก็ยังหน้าบึ้งใส่เขาอยู่ดี
"นายไม่เชื่อใช่ไหม ว่าฉันคือหยาดฝน" เขาผู้ที่ไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ก็พอรู้ถึงความผิดปกติของเธอตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่เลือกที่จะไม่ทำให้เธอปักใจว่าตัวเองคือหยาดฝนจริงๆ
“สงสัยตอนจะสิ้นลมหายใจ คงจะไปนึกถึงเขา ถึงได้ฮึดกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แต่ร้ายกว่านั้น...คือคิดว่าตัวเองเป็นเขานี่แหละ"
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วไง ว่าฉันไม่ใช่แฟนนาย ฉันชื่อหยาดฝน เป็นนักร้อง เสียงดีมาก ไม่ได้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย!!!”
“ชลก็บอกฝันตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน เราดูแลกันในฐานะเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ชลเคยขอฝันเป็นแฟนนะ มันนานมามากแล้ว ไม่ต้องเอาไปปนกัน ไม่ต้องอึดอัดนะ ยังไงเราก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป” สิชลอธิบายอย่างอบอุ่น เอาใจใส่ แม้เธอจะเสียงดังใส่เขาแค่ไหน เพราะคิดว่าเธอกำลังอยู่ในสภาวะช็อก ความทรงจำทำงานได้ไม่เต็มที่
"โอ๊ย จ้ะ พ่อพระเอก ดูหนังมากไปปะเนี่ย เพราะเป็นอย่างนี้ไง เขาถึงไม่ได้ชอบนายตอบอ่ะ ซื่อบื้อเกิ๊น เพื่อนที่ดีต่อกัน พูดออกมาได้" หยาดฝนว่าอย่างรู้สึกหงุดหงิดใจ มองเข้าไปในกระจกอีกครั้ง แล้วก็พบว่าปานฝันเป็นผู้หญิงที่ผิวพรรณหยาบกร้านมาก เส้นผมก็แห้งกรัง เหมือนไม่เคยได้รับอะไรบำรุงมาก่อนเลย
"ถามจริง ก่อนที่จะป่วยผู้หญิงคนนี้สภาพเป็นงี้ไหม ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองผิวหยาบขนาดนี้...น่าจะบำรุงตัวเองบ้างนะ ใช้ชีวิตอยู่ในร่างแบบนี้ได้ยังไง ไหนเสื้อผ้า จะเข้าไปอาบน้ำละ...ทนไม่ไหว" แล้วเธอก็เดินรื้อข้าวของ ว่าพอจะเอาอะไรหยิบไปใช้ก่อนได้บ้าง
คนที่เกิดมาก็บำรุงผิวและเส้นผมด้วยผลิตภัณฑ์ราคาแพงและคุณภาพดีมาตลอดอย่างเธอ รับไม่ได้
รับไม่ได้อย่างแรง!
