บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ผู้ป่วยจิตเวช ?

มีคนจำเราได้แล้ว

ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ดีใจ ฉีกยิ้มจนสุดและเอ่ยถามอะไรเขาออกไป

เสียงผู้คนที่คนที่ตามมาติดๆ ก็ดังประชิดตัวเธอทันที

"ปล่อยนะ!" โชคดีที่ประสาทสัมผัสของเธอว่องไวพอ สะบัดมือของ รปภ.ที่กำลังจะมาคว้าแขนเธอเอาไว้ให้หลุดออก ฝีไม้ลายมือของคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้ต่อมาทุกแขนงอย่างหยาดฝน หลุดพ้นจากการเข้าตะครุบของผู้ชายราวๆ 4-5 คนไปได้

"จับคนไข้ไว้ อย่าให้หนี!" เสียงไล่บี้จากพยาบาลและแพทย์ที่วิ่งตามมาติดๆ ทำให้เธอได้สติและออกแรงวิ่งจนสุดพลัง

ไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเองจะหายใจหอบแรงแค่ไหน เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม รู้สึกตัวเบาๆ หวิวๆ เหมือนจะปลิว แต่ก็วิ่งต่อได้

"เดี๋ยวก่อนครับ" หนุ่มทรงช่างที่เพิ่งจะลุกขึ้นได้จากการล้มชนโครมเมื่อสักครู่ รีบเอาตัวเข้าไปขวางเจ้าหน้าที่ รปภ.และพยาบาลเอาไว้

"ผมเป็นญาติของเธอเองครับ" คำบอกเล่าของเขา ทำให้ทุกฝีเท้าชะงักได้อย่างพร้อมเพรียงกัน

"เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่เสียชีวิตเมื่อเช้า ผมว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ กับการฟื้นขึ้นมาของเธอ" พยาบาลที่จำหน้าเขาได้นึกออกและรีบบอกคนอื่นว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริง

"ถ้าทุกคนวิ่งตามเธอแบบนี้ เธอก็อาจจะตกใจจนหนีเตลิดไป ยังไง ผมขอเข้าไปคุยกับเธอเองนะครับ" สิชลรีบอธิบายเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้วิ่งตามปานฝันไปแล้ว

"ผมรีบไปดูเธอก่อนนะครับ" สิชลว่าพร้อมวิ่งไปยังทิศที่ปานฝันวิ่งไป เขาทั้งงุนงง ตกใจ ไปพร้อมๆ กับดีใจที่เห็นเธอมีลมหายใจอีกครั้ง

แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดว่า นี่มันคือเรื่องอะไรกัน ทำไมเธอถึงฟื้นขึ้นมาได้ ก็ตาม...

เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลัง เขาอยากดูให้แน่ใจอีกสักครั้ง ว่าเธอได้กลับมาหาเขาแล้วจริงๆ

ทางฝ่ายของหยาดฝนในร่างของปานฝัน วิ่งกระหืดกระหอบมาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา

เธอรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่ กับการที่วิ่งแค่นี้ก็เหนื่อยจนเหมือนจะขาดใจของตัวเอง

ปกติเธอเป็นคนออกกำลังกายทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวิ่งหรือเวทเทรนนิ่ง เธอทำ 5-6 ครั้งต่อสัปดาห์ วิ่งแค่นี้จริงๆ มันแทบไม่มีผลอะไรต่อร่างกายของเธอเลยนะ

แต่เรื่องความผิดปกตินี้ เธอก็ขอละเว้นเอาไว้ก่อน สิ่งที่เธอจะต้องทำมากที่สุดก็คือ...ตามหาญาติของตัวเองให้เจอ ก่อนจะถูกจับไปไว้โซนเดียวกับผู้ป่วยจิตเวช!

เธอเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังตึกไอซียูที่เธอพบกับบิดามารดาและแฟนหนุ่มเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เผื่อว่าจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง

“พ่อ! แม่! พี่นัย! ยัยกิ่ง!" เธอเห็นพวกเขากำลังจะเดินไปอีกทางหนึ่งเข้าพอดี จึงรีบวิ่งเข้าไปขวาง

ทีท่าตกใจของบิดามารดาและแฟนหนุ่ม รวมไปถึงเพื่อนรักอย่างแพทย์หญิงกิ่งฉัตร ทำให้น้ำตารื้นขึ้นมา

กิริยาขยับหนีและความรังเกียจฉายชัดในแววตาทั้ง 4 คู่ จะให้เธอทนไหวได้ยังไง ทุกคนที่รักเธอพากันเป็นอะไรไปกันหมด เธองงไปหมดแล้ว!

"ทำไมไม่มีใครจำฝนได้สักคนเลยล่ะ..."

"ยัยกิ่ง แกจำฉันได้ไหม ฉันฝนเพื่อนแกไง?" แพทย์หญิงกิ่งฉัตรถือว่าเป็นโอกาสสุดท้าย เพราะเป็นคนเดียวที่เธอเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก

“หมอกิ่งที่โรงพยาบาลนี้เขามีระบบรักษาคนไข้จิตเวชกันยังไง ทำไมถึงได้ปล่อยเพ่นพ่านกันแบบนี้” แต่แล้วมารดาของเธออย่างหยาดทิพย์ก็พูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ กิริยาเหยียดหยามคนอื่นแบบนี้ เธอไม่เคยเห็นจากท่านมาก่อนเลย ตลอดชีวิตนี้

“นั่นสิ แถมยังแอบอ้างเป็นลูกสาวของเราด้วย สงสัยจะบ้าดารานักร้อง จนเสียสติไปแล้ว” สมทบด้วยบิดา ที่ปกติท่านจะเป็นคนสุขุม ไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาโดยง่าย หยาดฝนหันไปมองใบหน้าของท่านด้วยความรู้สึกสะท้อนในใจ แววตาของท่านแดงก่ำ เจ็บช้ำ จนเธอไม่อาจจะโกรธท่านลงได้

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทุกคนเป็นอะไรไป...เกิดอะไรขึ้นกับฝน แล้วทำไมทุกคนถึงจำฝนไม่ได้" หญิงสาวเริ่มจะฟูมฟาย น้ำตาของเธออาบหน้า เธอสัมผัสได้ว่า ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ มันยากเหลือเกิน มันน่ากลัว...เกินกว่าที่เธอจะรับเอาไว้ได้

"หมอกิ่ง ช่วยตาม รปภ.ได้ไหม เขากำลังจะเสียสติใหญ่แล้ว" หัสนัยเดินนำทุกคนออกมาหนึ่งก้าวเชิงปกป้อง แล้วหันไปบอกแพทย์หญิงกิ่งฉัตร ที่ยืนนิ่งเหมือนทำอะไรไม่ถูก

"ไม่ใช่นะพี่นัย หนูไม่ใช่คนไข้จิตเวชนะคะพ่อ แม่ฟังหนูก่อน...หนูคือหยาดลูกสาวพ่อกับแม่จริงๆ เมื่อกี้หนูยังขึ้นไปพูดบนเวทีอยู่เลย แล้วก็เหมือนแน่นหน้าอก..." เธอรีบอธิบายทั้งน้ำตาที่นองหน้า เพราะรู้สึกได้ว่านี่มันคือโอกาสสุดท้ายของตัวเองแล้ว

“เดี๋ยวกิ่งตาม รปภ.ให้ดีกว่า พี่นัยพาคุณพ่อคุณแม่กลับไปพักก่อนเถอะค่ะ” กิ่งฉัตรว่าเสียงดังมากกว่าปกติ พร้อมตะโกนเรียกพยาบาลในห้องไอซียูออกมาช่วยตนเอง แววตาของเธอกลับมามีสติแล้วและพร้อมจะรับมือกับทุกอย่าง

“ไม่ต้องหรอกครับ!" ไม่ทันที่ทุกคนจะได้ทำในสิ่งที่ร้อนใจ เสียงหนึ่งก็ดังมาพร้อมการวิ่งกระหืดกระหอบของหนุ่มร่างสูง ที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดา แต่ดูสุขุมและน่าไว้วางใจ

"เธอเป็นญาติผมเองไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเวช มะเร็งของเธอกระจายไปที่สมอง สติอาจจะฟั่นเฟือนหน่อย ต้องขอโทษแทนเธอด้วยนะครับ” เขาว่าพร้อมมาจับแขนเล็กๆ ของผู้หญิงที่ยืนผมยุ่งอยู่เอาไว้ และน้อมศีรษะเชิงขอโทษทุกคนจากใจ

หยาดฝนอึ้งไปสักพัก เธองงและตกใจกับสิ่งที่เขาพูดมา

เธอคือผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระยะแพร่กระจายอย่างนั้นหรือ?

เป็นไปได้ยังไง เธอตรวจสุขภาพประจำปี หมอบอกว่าแข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติอะไรเลยนะ!

และที่แปลกไปมากกว่านั้น ร่างกายของเธอรู้สึกคุ้นกับสัมผัสอันดูน่าปลอดภัยจากเขา มืออุ่นๆ ที่จับและจูงแขนเธอไปด้วยกัน ทำให้น้ำตาที่กำลังรินไหลของเธอเหือดแห้งไป หยาดฝนเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย ความรู้สึกมันคล้ายๆ กับตอนที่ก่อนจะตื่นฟื้นขึ้นมา

สัมผัสอุ่นๆ แบบนี้ล่ะ...เธอจำได้

รู้ตัวอีกที เธอก็ถูกผลักให้เข้าไปในห้องน้ำหญิง

"พอดีเลย อยากรู้เหมือนกัน ว่าทำไมใครๆ ถึงจำเราไม่ได้"

หญิงสาวรีบวิ่งไปเปิดน้ำ วักน้ำใส่หน้า ล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังกระจกอย่างเต็มสายตา

“ว้าย!" เธอว่าด้วยความตกใจ ในแวบแรกที่เห็นตัวเอง

"โอ้...มายก็อด นี่เราอยู่ในร่างใครกันเนี่ย?” ผมเผ้ายุ่งเหยิงในกระจก สอดรับกับใบหน้าซีดเซียวที่เหมือนไม่ได้มีเลือดไปเลี้ยง กับริมฝีปากเทาปนเขียวที่ทำให้เธอต้องกัดเม้มริมฝีปากตัวเองไปหนึ่งที

“ถึงว่า...ทำไมใครๆ ก็พากันวิ่งหนี หน้าอย่างกับผี...” เธอว่าพร้อมจับใบหน้าของผู้หญิงในกระจกไปมา ก่อนจะเหลือบไปมองชายร่างสูงที่วิ่งตามเธอไปทุกที่ตลอดการวิ่งวน และตอนนี้ก็มายืนอยู่ด้านหลังเธอ ในห้องน้ำหญิงของโรงพยาบาลแห่งนี้

กระจกเงาตรงหน้าสะท้อนความคมคายได้สัดส่วนของเรียวหน้านั้น

แววตาคมปลาบทอประกายอบอุ่น พร้อมปกป้อง ปะปนไปด้วยความรู้สึกสงสาร

แตกต่างจากทุกสายตาที่เธอได้พบเจอ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ยอมรับเลยว่ามันทำให้ใจที่ร้อนรนของเธอค่อยๆ ผ่อนลงได้ ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น พร้อมเอ่ยถามว่า...

“เป็นผัวคนนี้เหรอ?” เธอชี้นิ้วใส่ที่ตัวเอง พร้อมกะพริบตาปริบๆ

โอ๊ย โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรอยู่เนี่ย?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel