บทที่13 เหม่งจ๋าของอารัน
หน้าผากกว้างถูกจุมพิตลงอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้เจ้าของหน้าผากกว้างนิดๆ นั้นรู้สึกตัวตื่นจากนิทราขึ้น ดวงตาคมลืมขึ้นก่อนที่จะเบิกตากว้าง
“มอนิ่งสาวน้อย” อิสรันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วประทับจูบลงบนหัวเหม่งนั้นอีกครั้ง เขาว่าหัวเหม่งของภีรพิชชานั้นเป็นเหม่งเสน่ห์ เพราะช่างสะดุดตาเวลามอง ที่เขาเรียกเด็กสาวว่าเหม่งก็เพราะจุดนี้ของเธอนั้นมีเสน่ห์ในสายตาเขามาก
ภีรพิชชานิ่งงันอ้าปากอย่างมึนงงพลางนึกย้อนลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระหว่างเธอกับเขา เมื่อนึกย้อนไปก็อดไม่ได้ที่จะเกิดอาการขวยเขิน แก้มขาวๆ เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อร้อนผ่าวขึ้นทันที เพราะผีจริงเชียวทำให้เธอตกเป็นของอิสรัน ไงล่ะกลัวผีผลักดีนัก เจอผีจริง ๆ เข้าให้เสียทั้งขวัญเสียทั้งตัว
“เงียบ นิ่ง ยังกลัวผีอยู่เหรอ มาเดี๋ยวอารันปลอบ” อิสรันพูดแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากกว้างๆ “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะเหม่งจ๋าของอารัน”
คนฟังเบิกตากว้างพูดตะกุกตะกักออกมาทันที “หือ มะ มะ เหม่งจ๋าขะ ของอารันเหรอ”
“ก็ใช่ไง เหม่งจ๋าของอารัน รึไม่จริง เหม่งจ๋าเป็นของอารัน ของอารันคนเดียวด้วย” อิสรันพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจจนภีรพิชชาอดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้
‘ ถ้าไม่ใช่เพราะผีนะ ไม่มีทางที่จะยอม เอ๊ะ แต่จะว่าไปเมื่อคืนนี้ผีจริง ๆ เหรอ’ คนหมั่นไส้คิดก่อนที่จะผละออกจากชายหนุ่ม มือรวบผ้าห่มขึ้นพันปกปิดเรือนร่าง อิสรันย่นคิ้วอย่างสงสัยก่อนที่จะหยิบกางเกงมาใส่
เด็กสาวค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่างในขณะที่ใบหน้าเหยเกไม่น้อย เพราะปวดราวที่จุดนั้นนึกหมั่นไส้ไอ้คนที่ทำให้เธอต้องเจ็บแบบนี้ มือยาวเลื่อนประตูกระจกแล้วมองสอดส่องที่ระเบียง
“หนูหาอะไรอยู่ฮึ” อิสรันที่เดินตามมาถามขึ้นแล้วเดินมายืนข้างๆ เด็กสาวแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรแวววาวอยู่ที่พื้นระเบียง เขาเดินไปหยุดใกล้ๆ แล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา
“สร้อยร้อยแหวนของใครอ่ะ” เด็กสาวถามขึ้นก่อนที่จะเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่าของ ของผีอ่ะ”
“ไม่ใช่หรอก” อิสรันพูดก่อนที่จะนิ่งทบทวนความทรงจำว่าเคยเห็นสร้อยเส้นนี้หรือไม่
หลายปีก่อน
อิสรันที่เหนื่อยจากการเล่นฟุตบอลเดินมานั่งข้างๆ หมอปริญญาที่นั่งอยู่ข้างสนาม “หมอป้อม สงสัยว่ะ นายสวมสร้อยอะไรไว้ที่คอน่ะ เห็นใครยุ่งไม่ได้เลย”
“สร้อยนี่เหรอ? “ ปริญญาถามพร้อมทั้งถอดออกมาให้รุ่นพี่ดู อิสรันมองสร้อยที่ร้อยแหวนวงสวยไว้อย่างแปลกใจ บนตัวแหวนมีอักษรสลักว่า P & A
ปริญญายิ้มอ่อนๆ แล้วเอ่ยบอก “แหวนแต่งงานของผมกับภรรยาน่ะพี่ เราแยกกันอยู่หลายปีแล้ว ผมเลยใส่ไว้เตือนตัวเองว่าผมเป็นคนมีพันธะ ไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือย”
เสียงบอกเล่าของปริญญาดังก้องในหูของอิสรันก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของภีรพิชชาดังขึ้น “อารันมีกระเป๋าสตางค์ตกอยู่ตรงนี้ด้วย เมื่อคืนเนี้ยไม่ใช่แล้ว”
“ไหนอารันดูหน่อย” เขาบอกแล้วหยิบกระเป๋าจากมือเด็กสาวไปเปิดดู ข้างในมีรูปสาวน้อยคนหนึ่งในชุดครุยถ่ายคู่กับชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารเรือสีกากีชายในรูปนั้นคืออาศิระคู่ปรับของเขานั่นเอง รูปนี้เขามองดูก็รู้ว่าเพิ่งถ่ายไม่นานและวันที่ถ่ายก็คือวันที่เพียงพิสุทธิ์ภรรยาของอาศิระรับปริญญาเมื่อไม่นานมานี้เอง
“ของใครอ่ะ แล้วเจ้าของเป็นคนเดียวกับสร้อยร้อยแหวนรึเปล่า” สาวน้อยถามก่อนที่จะมองรูปถ่ายในกระเป๋า “น้าหินผาเหรอ”
อิสรันมองกระเป๋าแล้วพยักหน้ารับ “ใช่ อันนี้ของไอ้เห็บหมา ส่วนสร้อยเนี้ยของหมอป้อม ส่วนผีตัวเหมือนวานนี้เสียงเหมือนวิแต่ไม่ใช่วิ ก็มีอยู่คนเดียว เจ้าพวกนี้สุมหัวเล่นพิเรนทร์จริง ๆ”
“ใครเหรอ ที่เป็นผีน่ะ” ภีรพิชชาถามอย่างสงสัย เหตุการณ์เหมือนจะเริ่มคลี่คลาย เมื่อคืนไม่ใช่ผีแต่มีคนขึ้นมาหลอกผีที่ระเบียง คนหนึ่งคืออาศิระ อีกคนคือปริญญา แต่แล้วใครที่ปลอมเป็นผีกันนะ
อิสรันไม่บอกแต่เดินเข้าไปในห้องแทน ของกลางทั้งสองของสองผู้ต้องหาคดีหลอกผีถูกวางลงบนฟูก สายตาคมกริบเหลือบไปเห็นรอยสีน้ำตาลไหม้เป็นวงๆ บนเตียงแล้วถอนหายใจออกมา ขบวนการผีกำมะลอร้ายกาจจริง ๆ ผลักเข้าอยู่ในสถานะเดี๋ยวกับอาศิระเมื่อหลายปีก่อนจนได้แต่ร้ายกว่าคนพวกนั้นก็เขานี่เหละ
เขายังไม่เคยคิดถึงการล่วงเกินสาวน้อยเลยในช่วงที่ผ่านมา แต่ไอ้ความรู้สึกคิดไม่ซื่อนี่มันโผล่ขึ้นในสมองตั้งแต่ลิ้มรสโพรงปากหวานเมื่อรุ่งเช้าวานนี้ ยิ่งโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แม้จะเมาหน่อยๆ แต่เขารู้ว่าได้ทำอะไรลงไป โดยเฉพาะความเจ้าเล่ห์หลอกล่อให้สาวน้อยยินยอมนั่น นึกถึงขึ้นมาล่ะอยากโยนความเจ้าเล่ห์ตัวเองทิ้งเสีย คนอะไรร้ายกาจจริงกับเด็กสาวอายุแค่นี้ก็ไม่เว้น นึกกลัวตัวเองขึ้นมาตงิดๆ คนอะไรร้ายกาจแบบนี้ มิน่าล่ะใครๆ ก็ว่าเขามันร้ายเงียบ เพิ่งรู้ตัวเองเดี๋ยวนี้เอง
“เหม่งจ๋าไปอาบน้ำไป อย่ามายืนอวดอยู่เดี๋ยวจะไม่ได้ออกไปกินข้าวนะบอกให้” อิสรันพูดโดยไม่ได้หันไปมองคนเดินกลับมาจากระเบียง
“ไม่ได้ออกไปกินข้าวหมายความว่าไงอ่ะ” เด็กสาวก็ยังคงเป็นเด็กสาวเก่งกล้าแค่ไหนก็ยังไร้เดียงสา
อิสรันหันกลับมายิ้มให้ในขณะที่สายตาทอประกายแพรวพราวจนสาวน้อยสะท้านไปทั้งร่าง “ก็ไม่ได้ออกไปกินข้าวเพราะอารันจะทำกับหนูแบบเมื่อคืนไง”
“ยึ้ยยย อารันหื่นกาม อารันโรคจิต” ภีรพิชชาบริภาษแล้วหอบร่างพันผ้าห่มวิ่งเข้าห้องน้ำไป
อิสรันยิ้มขำแล้วส่ายหน้า “นั่นไง กลายเป็นคนโรคจิตหื่นกามในสายตาเมียเข้าให้ไอ้รันเอ๊ย”
ชายหนุ่มหันกลับมาทอดสายตามองผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดพรหมจรรย์อีกครู่ใหญ่ก่อนที่จะดึงออกจากฟูก หาที่เก็บให้มิดชิดก่อนที่ใครจะเห็นแล้วเอาไปรายงานคุณย่าของเขาให้เมียตัวน้อยของเขาได้อายจนพูดไม่ออก
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภีรพิชชาเปลี่ยนไปต่อไปนี้เขาจะต้องทำให้เด็กสาวรักเขาให้ได้ และเขาจะต้องปกป้องเธอให้ได้ เธอจะเป็นต้องเป็นคู่ชีวิตของเขาตลอดไป
“เจออารันภาคผู้ชายหยอดเก่งขี้อ่อยเข้าไปอย่าน้ำลายไหลนะเหม่งจ๋าของอารัน” เขาพูดกับตัวเองอย่างขำขันก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง หยิบกระเป๋าของอาศิระขึ้นมาดู “ฉันจะแก้เผ็ดเจ้าของแกยังไงเจ้ากระเป๋า”
เวลาต่อมา
ภีรพิชชาเดินลงบันไดอย่างช้า ๆ สายตามองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ เรือนหอแห่งนี้ออกแบบตกแต่งได้สวยงามประณีตเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยก็ว่า บ่งบอกว่ามืออาชีพตั้งแต่คนสร้าง สถาปนิก ยันมัณฑนากร เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่เธอยังไม่ได้อยู่ที่เรือนหอสวยๆ นี้เป็นการถาวร อาจจะอยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว เย็นนี้ก็ต้องกลับบ้านแล้วเพราะวันพรุ่งนี้ก็ต้องไปโรงเรียน
เมื่อนึกถึงโรงเรียนคนเพิ่งผ่านพิธีแต่งงานมาหมาดๆ ก็ต้องอุทานขึ้น “ตายแล้ว! ยังไม่ได้ทำการบ้านสักหน้าเลย”
ช่วงเย็นวันศุกร์ทันทีที่โรงเรียนเลิกเธอก็ถูกพาตัวมาที่บ้านของอิสรัน การบ้านยังไม่ได้ทำสักหน้า
“ครูนิต้องทำโทษแน่ ๆ เลยอ่าาา ถ้าทำไม่เสร็จ” คนยังไม่ได้ทำการบ้านคร่ำครวญกับตัวเองก่อนที่จะหันหลังเดินกลับขึ้นบันไดไป
กระเป๋านักเรียนของภีรพิชชาถูกนำมาไว้ที่ห้องหอพร้อมกับชุดนอนเมื่อวานนี้ทำให้หาเห็นได้ง่ายๆ เด็กสาวหยิบกระเป๋าแล้วหามุมเงียบๆ นั่งลงทำการบ้าน
“เหม่ง เดี๋ยวอารันมานะ” เสียงเอ่ยบอกจากอิสรันดังขึ้นทำให้คนนั่งขะมักเขม้นอยู่หันขวับไปมอง “จะไปไหน!”
เสียงของภีรพิชชาทำให้อิสรันรู้สึกคล้ายๆ ภรรยากำลังถามจับผิดสามีไม่มีผิด
“ออกไปแก้เผ็ดขบวนการผีกำมะลอ จะไปกับอารันมั้ยครับ” เขาเอ่ยบอกและถามเพราะรู้ว่าเรื่องแกล้งแก้เผ็ดชาวบ้านนี่ภรรยาวัยกระเตาะของเขาถนัดนักแล
“ไปเถอะ ภีร์ต้องทำการบ้าน การบ้านท่วมหัวเลยส่งพรุ่งนี้ด้วย” เด็กสาวเอ่ยบอก ยิ่งใกล้ปิดเทอมการบ้านยิ่งเยอะ เยอะแบบนี้นักเรียนจะเอาเวลาไหนไปทบทวนหนังสือกันเล่า
“โอเค สู้ๆ นะ เดี๋ยวอารันกลับมา”อิสรันบอกก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปก่อนที่จะกดโทรศัพท์หาปริญญา “ถ้าอยากได้สร้อยกับแหวนคืน บอกมาใครบ้างที่ร่วมขบวนการพิเรนทร์เมื่อคืน”
“เฮ้ย นี่พี่รู้เหรอ” ปริญญาพูดอย่างตกใจ อิสรันนี่ฉลาดจริง ๆ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าอยากได้สร้อยกับแหวนคืนงั้นเหรอ “เฮ้ย สร้อยกับแหวนผม”
อิสรันได้ทีรีบขู่ขึ้นทันที “เออ สร้อยร้อยแหวนของนาย ถ้าไม่อยากให้พี่โยนทิ้งก็บอกมาไอ้หน้าไหนบ้างที่มันรู้เห็นแผนของไอ้เห็บหมา”
“ยอมแล้วพี่ยอมแล้ว ผมจะบอกเดี๋ยวนี้เลยอย่าเอาแหวนผมไปทิ้งนะ” ปริญญาเอ่ยบอกอย่างวิงวอนแล้วพูดต่อ “คนที่รู้เห็นแผนนี้มี10คน ผม พี่คีย์ พี่คิว พี่หินผา หมอวา ต้น แล้วก็พี่เต้ พี่วิชย์ พี่นนท์ พี่เปียว สี่คนนี้ไปพูดให้น้องภีร์ได้ยินว่าผีภรรยาพี่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ผมบอกพี่แล้วคืนของผมมานะ”
“ยัง ให้ฉันจัดการไอ้พวกนี้นั้นก่อน นายนะทีหลัง” อิสรันพูดแล้วตัดสายไปทันที
หลายคนในกองทัพมองว่าอิสรันนั่นบุคลิกดูนิ่งๆ องอาจกล้าหาญคล้ายกับภควัคแต่ก็มีมุมเจ้าแผนการและชวนฝัน เป็นบุคลิกที่สาวๆ หลายคนชอบแต่บรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายจะรู้กันดีว่านอกจากบุคลิกพวกนั้นแล้วอิสรันยังมีความร้ายกาจไม่น้อย แต่ไม่ใช่ความร้ายกาจที่น่ากลัว มันเป็นแค่ความร้ายกาจที่แสดงในหมู่เพื่อนและรุ่นน้องที่สนิท
อิสรันจัดการกับสี่คนที่เป่าหูภีรพิชชาให้คิดว่าวิกานดายังคงวนเวียนอยู่ใกล้เขาก่อนใครเพื่อน สี่หนุ่มเพื่อนร่วมรุ่นนั้นแต่งงานแล้วแต่ภรรยาค่อนข้างจะขี้โมโหเขาจึงใช้จุดอ่อนข้อนี้มาจัดการกับสี่คนนั้น
ส่วนอีกห้าคนนั้นเขาก็มีวิธีจัดการเหมือนกัน ต้องเริ่มที่ติณภัทรรุ่นน้องคนสนิทจอมเจ้าชู้ที่กำลังตามจีบครูสาวโรงเรียนในตัวจังหวัด โชคดีที่ครูสาวคนนั้นเป็นน้องสาวของพี่เขย แต่เขาจะไม่โทรบอกครูคนนั้นหรอกแต่จะโทรบอกพี่สาวอีกคนของครูสาวซึ่งเป็นคนที่หวงน้องสาวมากแทน
“สวัสดีครับครูนิ นี่พี่รันนะ” อิสรันเอ่ยบอกปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะถามขึ้น “พี่รันมีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่าภีรพิชชาสงสัยการบ้านข้อไหน”
“สุนิตา” หรือ “ครูนิ” เป็นครูสอนวิชาคณิตศาตร์สอนโรงเรียนที่ภีรพิชชาเรียนอยู่ การที่น้องชายของพี่สะใภ้ซึ่งแต่งงานกับลูกศิษย์สาวติดต่อมาทำให้สุนิตาคิดได้ว่าภีรพิชชาคงวานให้โทรให้
“เปล่าครับ พี่แค่โทรมาเตือนครูนิให้ดูแลครูนิวให้ดี ระวังนายต้นไว้นะครับมันเป็นพวกฟันแล้วทิ้งเสียด้วย ช่วงนี้นายนั่นอาจจะทำเหมือนจริงจังกับครูนิวแต่จริง ๆ แล้วเมื่อคืนนี้มันหิวแขกคนหนึ่งในงานกลับไปด้วย” อิสรันพูด พูดแค่นั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายๆ ตบโต๊ะดังขึ้นทันที
ที่อิสรันได้ยินเสียงเช่นนั้นก็เพราะสุนิตาทุบโต๊ะระบายอารมณ์นั่นเอง “ขอบคุณพี่รันมากนะคะที่เตือน นิจะดูแลนิวให้ดี แล้วก็จัดการกับนายผู้หมวดนั่นเอง”
“ครับ พี่โทรมาบอกแค่นี้แหละ” อิสรันบอกก่อนที่จะตัดสายไปทันที “ต่อไปก็ไอ้แฝดนรกคีย์คิว”
