บท
ตั้งค่า

บทที่10 เจ้าสาวของอิสรัน

และแล้วก็มาถึงวันแต่งงานของอิสรันและภีรพิชชา หลายอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่เป็นดั่งที่ตั้งไว้สักเท่าไร เพื่อนๆ ที่จะมาทำซุ้มให้มาได้แค่18คนหรือ9คู่เท่านั้นเพราะที่เหลือดันเกิดอาการท้องเสียจากการชวนกันไปกินส้มตำร้านเด็ดฉลองสละโสดให้อิสรันกันทั้งคณะเมื่อวานนี้ โชคยังดีว่าอีก18คนที่เหลือนั้นภรรยาไม่อนุญาตให้ออกมาร่วมส่วนอิสรันก็มีภารกิจสำคัญเข้ามาจนไม่ได้มาร่วม

ภีรพิชชาเพิ่งเห็นสถานที่จัดงานเมื่อคืนก่อนวันงานนี้เองเธอชอบมาก สถานที่ถูกจัดได้งดงามราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝันเลยทีเดียว

“สวย เพื่อนภีร์สวยมากเลย สมกับเป็นนางเอกของงานนี้เลย คุณอาอิสรันเห็นต้องมองตาค้างแน่ ๆ” มุทิตาเอ่ยบอกเมื่อมองเจ้าสาวของงานวันนี้ที่ช่างแต่งหน้าเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ พลอยรัมภาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยจนว่าที่เจ้าสาวต้องหันมองผ่านกระจก

ดวงตาคมของภีรพิชชามองใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางราคาแพงผ่านกระจกใบใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจมันเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นเต็มประดา และเกิดอาการสับสนขึ้นมา

อรพิชชาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ วางมือลงบนไหล่ของบุตรสาวแล้วเอ่ยถามขึ้น “ตื่นเต้นเหรอภีร์”

“อือ คุณแม่ขา ไม่แต่งแล้วได้มั้ยอ่ะ” คนที่อยู่ ๆ ก็สับสนขึ้นมาเอ่ยบอกก่อนหน้านี้เธอยังมั่นใจอยู่เลยจนมาถึงช่วงที่สวมชุดแต่งงานนี้และแต่งหน้าทำผม เธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวของอารันจริง ๆ เหรอ เธอมันก็แค่เด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่ง หน้าตาก็ใช่ว่าจะสวยสดงดงามราวนางฟ้า ไม่ได้แสนดีอย่างคุณน้าวิกานดา แขกที่มาร่วมงานจะไม่พากันหัวเราะเยาะอิสรันเหรอ เธอจะไม่ทำให้เขาขายหน้าเหรอ เมื่อคิดมาแบบนี้ก็พาลทำให้ไม่อยากแต่งงานกับเขาขึ้นมา

“ได้ยังไงคะลูก อย่าคิดมาเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายแบบนี้สิ ทุกอย่างพร้อมอยู่ข้างหน้า หนูมาเปลี่ยนใจแบบนี้ก็จบกัน ขายหน้ากันหมด หรือหนูกลัวว่าอารันจะมาไม่ทันงาน ไม่ต้องกังวลนะลูก คุณอารินทร์เพิ่งให้บีมมาบอกว่าอารันกลับมาแล้วกำลังแต่งตัวอยู่” อรพิชชาเอ่ยบอก นี่ลูกสาวเธอเป็นอะไรไปอีกล่ะเนี้ย ก่อนหน้านี้ยังดี ๆ อยู่เลย หรือกังวลว่าคนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจด่วนจะกลับมาไม่ทัน เรื่องนั้นก็ไม่ต้องกังวลแล้วเพราะ “ไอยรินทร์” พี่สาวของอิสรันส่งกวินดนัยผู้เป็นลูกชายมาบอกแล้วนิว่าอิสรันกลับมาแล้วเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน

ภีรพิชชาหันมองมารดาก่อนที่จะเอ่ยบอกอย่างสับสน

“แต่ แต่ตอนนี้หนูภีร์ไม่อยากแต่งแล้วคุณแม่”

“ไม่ได้ อาไม่ยอม”

เสียงค้านดังมาจากหน้าห้องทำให้ทุกคนในห้องต้องหันไปมอง “อารัน”

“ทุกคนออกไปก่อนครับ ผมจะคุยกับหนูภีร์เอง” อิสรันพูดแล้วเดินเข้ามาตรงหน้าภีรพิชชาที่บัดนี้ลุกขึ้นยืนแล้ว ดวงตาคมประดุจพยาราชสีห์พิจารณาเจ้าสาวของตนตั้งแต่ชายกระโปรงยาวเยียดขึ้นมาจนถึงใบหน้าของเธอ ‘สวยไร้ที่ติเลยทีเดียว’

อรพิชชาส่งสายตาให้มุทิตา พลอยรัมภาและช่างแต่งหน้าก่อนที่ทั้งหมดจะเดินออกจากห้องไป ประตูถูกปิดลงอย่างแผ่วเบาแต่ก็ทำให้อิสรันละสายตาจากใบหน้าหวานได้

“ทำไมอยู่ ๆ ถึงไม่อยากแต่ง” เสียงทุ้มกังวานมีเสน่ห์เอ่ยถามออกมาแต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าไปมา

ภีรพิชชาส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอก “ไม่รู้ แต่ไม่แต่งแล้ว ไม่แต่งๆ อุบ...”

ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้โวยวายต่อกลีบปากบางก็ถูกครอบครองโดยริมฝีปากอุ่นร้อน มันไม่ใช่การจุมพิตที่ลึกซึ้งแค่ปากแตะปาก คนถูกจูบนิ่งไปอย่างตกใจหัวใจดวงน้อย ๆ เต้นระรัวตึกตักดั่งกลองรบแทบจะหลุดออกมาจากอก มือน้อย ๆ กำชุดแต่งงานแน่นทั้งสองข้าง ‘จูบ นี่มันจูบแรกของเรานะ จะ จูบแรกของเรา นี่ไม่ใช่การจูบผ่านช้อนเหมือนกับครั้งก่อน อารันจูบเราจริง ๆ ‘

อิสรันผละริมฝีปากออกก่อนที่จะมองใบหน้าแดงก่ำของว่าที่เจ้าสาวแล้วเอ่ยบอก “จูบกับอาแล้วยังจะไม่แต่งอีกมั้ย”

“มะ ไม่แตะอือ...” เสียงของภีรพิชชาดังขึ้นและถูกกลืนลงคอไปเมื่ออิสรันโน้มหน้าลงจูบอีกครั้ง คราวนี้ขยับจากการที่ปากแตะปากเป็นเริ่มดูดเม้นก่อนที่จะผละออก

“ยังไม่แต่งอีกมั้ย” “แฮกๆ มะ...” อิสรันไม่รีรอให้เด็กสาวได้ปฏิเสธเขาดูดเม้นริมฝีปากบางก่อนที่จะพยายามแทรกลิ้นเข้าในโพรงปากหวาน และในที่สุดลิ้นร้อนก็สามารถเข้าไปหยอกล้อดูดดื่มกับความหวานล้ำจากปลายลิ้นหวาน ร่างบางเริ่มอ่อนระทวยจนชายหนุ่มต้องรวบร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน ปลายลิ้นหนาหยอกล้อวนเวียนดื่มด่ำความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าจนร่างบอบบางแทบขาดอากาศหายใจจึงค่อยๆ ถอดถอนริมฝีปากหนาออกมา ร่างบางยังคงอ่อนระทวยและเหนื่อยหอบราวกับไปวิ่งมาเกือบสิบรอบอยู่ในอ้อมแขนหนา

“ยังจะไม่แต่งอีกมั้ย” หนุ่มเกือบใหญ่ในชุดแต่งงานแบบไทยเอ่ยถามคนที่ตอนนี้หน้าแดงหูแดงหายใจแรงๆ อยู่

“ว่ายังไง” พูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนภีรพิชชาต้องยกมือขึ้นปิดปาก

“ตกลงว่าไม่ดื้อแล้วใช่มั้ย” เขาพูดในขณะที่เธอได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก

“ก็แค่เนี้ย ไม่ดื้อแต่แรกก็ไม่โดน” อิสรันพูดก่อนที่จะมองใบหน้าของคนตัวเล็กที่ตอนที่ยังคงแดงระเรื่อทั้งหน้าทั้งหู “นั่งรอในห้องนี้ดี ๆ นะ เดี๋ยวจะเรียกช่างแต่งหน้ามาเติมปากให้ สีมันจางหมดแล้ว”

เขายิ่งพูดคนสีลิปสติกจางได้แต่เขินเข้าไปใหญ่เพราะรู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้สีมันจางลงนั่นมาจากอะไร

“จำไว้นะ ถ้าดื้อไม่แต่งอีก อาจะจูบให้หนักกว่านี้อีก จูบให้ตัวอ่อนระทวยไปทั้งตัวเลย” อิสรันพูดก่อนที่จะหันหลังก้าวเดินไปที่ประตูห้อง ประตูถูกเปิดออกและปิดลง

“เผด็จการ อารันบ้า บ้าที่สุดเลย” คนถูกขโมยจูบแรกและจูบที่สองที่สามในเวลาไม่ห่างกันมากบ่นให้หลังก่อนที่จะมองตัวเองในกระจกอย่างเขินๆ นอกจากเขินแล้วยังเคืองอิสรันอีกด้วย ถ้าช่างแต่งหน้าเข้ามาเติมลิปสติกให้จะไม่อายเขาตายเหรอถ้าเขารู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

ด้านอิสรันที่เปิดประตูออกมานั้นถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่าที่แม่ยายยืนกอดอกอยู่ที่ข้างประตู

“กล้ามากนะอิสรัน พี่จะถือว่าวันนี้เป็นวันของเธอก็แล้วกัน แต่วันหลังอย่าฝัน” อรพิชชาพูดก่อนที่จะยกหูโทรศัพท์หาช่างแต่งหน้าให้ขึ้นมาที่ห้อง ก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง

“เว้ยๆ ว่าที่แม่ยายสายดุซะจริง” อิสรันพูดกับตัวเองก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบคลึงริมฝีปากตัวเองเบาๆ ความหอมหวานยังคงติดลิ้นไม่จากหายไป ภีรพิชชาช่างหอมหวานสมกับเป็นสาวน้อยแรกรุ่นถ้าจะต้องอยู่กับชิ้นเนื้อหอมหวานยั่วใจแบบนี้ทุกวันเขาจะไม่บ้าตายขึ้นมาพอดีเหรอ ไม่สติแตกก็ตบะแตกล่ะหว่า ‘ไม่ได้ๆ ไอ้รัน ขืนแกหลงใหลไปกับความหอมหวานแบบนั้นสักวันก็เข้าตำราโคแก่ในสมาคมเกลียมัวอย่างอาศิระแน่นอน’

พอคิดถึงอาศิระขึ้นมาว่าที่เจ้าบ่าวก็ได้แต่หมั่นไส้ ทำไมคู่ปรับประสาทกลับของเขาถึงได้ไม่ท้องเสียไปนะ เขาล่ะอยากให้มันนอนอยู่โรงพยาบาลซะจริง หมั่นไส้

อิสรันส่ายหน้าแล้วเดินลงบันไดไปและสวนทางกับมุทิตาและพลอยรัมภาที่เดินมาพร้อมช่างแต่งหน้าพอดี สองสาวน้อยแอบมองริมฝีปากที่ติดลิปสติกสีชมพูระเรื่อก่อนที่จะหันไปเดินซุบซิบกันไปสองคน

เมื่อสองสาวน้อยขึ้นมาถึงห้องแต่งตัวที่เพื่อนอยู่ก็อดที่จะส่งสายตาและล้อเลียนไม่ได้ แต่ภีรพิชชากลับทำไม่สนใจทั้งที่เขินตัวแทบแตก ‘ยัยสองคนนี้ไปรู้ไปเห็นอะไรมานะมาส่งสายตาล้อเลียนเธอแบบนี้ คุณแม่ก็อีกคน พี่ช่างแต่งหน้าก็อีก โอ๊ยเพิ่งเข้าใจคำว่าเขินตัวแตกวันนี้แหละ’

ในช่วงเช้าเป็นพิธีแห่ขันหมาก ทำบุญตักบาตร และพิธีหมั้น จากนั้นจึงเป็นการร่วมรับประทานอาหารเที่ยง ส่วนช่วงบ่ายเป็นพิธีแต่งงานแบบไทย

“สวมแหวนแต่งงานให้น้องสิเจ้ารัน” เสียงเมตตาและทรงอำนาจของ “อรรครินทร์”ผู้เป็นบิดาดังขึ้นทำให้อิสรันต้องหันไปมองแหวนแต่งงานวงหรูที่บิดามอบให้ แหวนวงนี้จะถูกส่งต่อรุ่นต่อรุ่น “คุณรวีรัมภา” มารดาของเขาได้รับมาจากคุณย่าของเขา ก่อนท่านจะจากไปท่านได้ฝากบิดาไว้มอบให้แก่คนที่มาเป็นภรรยาของเขา ในตอนที่เขาแต่งงานกับวิกานดามันหายไปจึงไม่มีโอกาสได้สวมแหวนวงนี้ เขาคิดว่าคงไม่มีใครได้สวมแหวนนี้อีกแล้วเพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานอีกจึงไม่ได้ตามหาจนสองสามวันก่อนผู้เป็นพ่อกลับเจอแหวนวงนี้ราวกับมีปาฎิหารย์

มือหนาเอื้อมไปหยิบแหวนเพชรเม็ดโตมาถือไว้ก่อนที่จะยื่นมือออกไปรอรับมือบาง ภีรพิชชาไม่ยอมยื่นมือออกมาเพราะยังขุ่นเคืองเรื่องเมื่อรุ่งเช้าอยู่แต่แล้วก็ต้องรีบยืนมือออกไปเมื่อมารดาแอบหยิกสะเอวจนเจ็บจี๊ด อิสรันค่อยๆ บรรจงสวมแหวนแต่งงานให้แก่ภีรพิชชาอย่างอ่อนโยน น่าประหลาดใจที่แหวนวงนี้ช่างพอดีกับนิ้วของเด็กสาวพอดีจนอรรครินทร์ถึงขั้นพูดขึ้น “แหวนวงนี้มันคงเป็นของหนูภีร์จริง ๆ น่าประหลาดมากขนาดแม่เจ้ารันยังใส่ไม่พอดีขนาดนี้เลย”

“นั่นสิ รักษาแหวนวงนี้ดี ๆ นะหนูภีร์” หญิงชราใจดีวัยเกือบแปดสิบเอ่ยบอก ท่านคือ “คุณอนงค์นาง”คุณย่าของอิสรันนั่นเองท่านยิ้มอย่างเมตตาก่อนที่จะเอ่ยบอก “ตอนที่ย่าได้แหวนวงนี้มาจากย่าทวดของเจ้ารัน ท่านเล่าให้ย่าฟังว่าคนจะเป็นเนื้อคู่ของลูกชายบ้านนี้เท่านั้นที่จะใส่แหวนวงนี้ได้ คนที่จะเป็นเจ้าของแหวนวงนี้คือคนที่สามารถใส่แหวนได้โดยที่ไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวาง หนูเป็นเจ้าของคนต่อไป เก็บรักษาไว้ดี ๆ นะหนูภีร์”

“ค่ะคุณย่า” เด็กสาวเอ่ยตอบก่อนที่จะก้มลงมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างพิจารณา

อรพิชชาสะกิดบุตรสาวที่จ้องแหวนก่อนที่จะเอ่ยบอก “ก้มลงกราบที่ตักพี่เขาสิภีร์”

“ต้องทำ?” คนไม่เคยแต่งงานและไม่ค่อยได้ไปร่วมพิธีแต่งงานถามขึ้นอย่างงุนงง

อรพิชชาหันหน้าไปขอโทษขอโพยผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวก่อนที่จะหันมาบอกบุตรสาวตัวเอง “เราต้องไหว้พี่เขาเป็นการฝากเนื้อฝากตัว ต้องอ่อนน้อมฝากฝังชีวิตไว้กับพี่เขา”

“อ๋อ อย่างนี้เอง แต่ไม่ทำได้มั้ยอ่ะ” คนดื้ออยากพยศเอ่ยถามมารดา

อรพิชชายิ้มให้ในขณะที่มือข้างหนึ่งแอบหยิกเข้าที่สะเอวของแม่คนดื้อ “ต้องทำสิคะลูก ไม่ดื้อนะคะ”

“อ๊ายย่ะ ไม่ดื้อก็ได้ค่ะคุณแม่” ภีรพิชชาพูดในขณะที่เจ้าบ่าวและญาติผู้ใหญ่ถึงกับกลั้นขำ เด็กสาวขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่จะก้มลงกราบที่ตักของเจ้าบ่าว อิสรันเอื้อมมือไปลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน “เป็นเด็กดีนะหนูภีร์”

คำพูดในเชิงเอ็นดูของอิสรันทำเอาคนที่ประนมมือจรดลงที่ตักของอีกฝ่ายอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้ ‘ชิชะ อย่าฝันว่าจะได้มาสั่งหนูภีร์อีกเล้ยอารัน ผ่านวันนี้ไปก่อนเถอะ’

“จูบเลยๆๆ” เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อภีรพิชชาลุกกลับมานั่ง

“หรือเจ้าบ่าวไม่กล้า กลัวเมียอะเปล่า” เสียงท้าทายดังขึ้นทำให้คนที่เกลียดการท้าทายต้องขยับเข้ามาจับใบหน้าเนียนไว้นิ่งก่อนที่จะค่อยๆ จูบลงแต่คนเคืองกลับกัดริมฝีปากเขาจนต้องร้องโอ๊ยในใจ อิสรันรักษามาดราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้นส่วนคุณอนงค์นาง คุณสุมณฑาและอรพิชชาถึงกับยกมือขึ้นทาบอก คนที่นั่งไกลๆ อาจไม่เห็นแบบที่ทั้งสามคนและคุณอรรครินทร์เห็น พ่อเจ้าบ่าวได้แต่ยิ้มอย่างชอบใจ ‘ โว่ะ ลูกสะใภ้คนนี้ได้ใจพ่อสามีจริงเว้ย สมน้ำหน้าเจ้ารัน แบบแกต้องมีเมียแบบนี้แหละถึงจะดี’

ทั้งสองผละออกจากกันอิสรันฝืนยิ้มในใจกลับอยากจะร้องด้วยความเจ็บนัก ในขณะภีรพิชชานั้นยิ้มอย่างสะใจพิธีสวมแหวนแต่งงานเป็นอันเสร็จสิ้นก่อนที่จะเริ่มพิธีรดน้ำสังข์ และพิธีจดทะเบียนสมรส ทั้งสองพิธีผ่านไปด้วยดีอาจจะเพราะภีรพิชชาอารมณ์ดีขึ้นไม่ดื้อ เป็นอันเสร็จพิธีในช่วงบ่าย เหลือเพียงงานในช่วงค่ำที่จะเริ่มขึ้นในช่วง19นาฬิกา9นาที เพราะภีรพิชชามีเรียนและจะสอบในสัปดาห์ข้างหน้าและยังมีงานโรงเรียนทำให้พิธีแต่งงานในวันนี้จัดให้เสร็จภายในวันเดียวไม่แยกพิธีฉลองมงคลสมรสออกไป

พิธีในช่วงค่ำเริ่มต้นขึ้นด้วยการเปิดตัวคู่บ่าวสาวและการแนะนำตัวคู่บาวสาวและพูดคุยกับคู่บ่าวสาวก่อนที่จะถึงช่วงเวลาอันเป็นไฮไลท์ และมนต์ขลังของงาน นั้นก็คือการลอดซุ้มกระบี่

“ครับ และตอนนี้ก็ถึงช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่งของงานนะครับ” คีตวัตรที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรและเพื่อนเจ้าบ่าวเอ่ยขึ้น

เรือตรีติณภัทรผู้รับหน้าที่พิธีกรคู่จึงเอ่ยบอก “ใช่ครับถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานในช่วงค่ำเลยก็ว่าได้”

“ครับ ในช่วงเวลาต่อจากนี้เป็นพิธีลอดซุ้มกระบี่ครับ เนื่องจากเจ้าบ่าวในงานวันนี้เป็นนายทหาร จึงมีพิธีนี้เกิดขึ้น” คีตวัตรเอ่ยบอกก่อนที่ติณภัทรจะอธิบายให้เข้าใจกันอย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับการลอดซุ้มกระบี่

“การลอดซุ้มกระบี่เป็นการต้อนรับคู่สมรสของนายทหารเข้าสู่การเป็นสมาชิกของเหล่าครับ สำหรับงานในวันนี้คือการต้อนรับเจ้าสาวเข้าสู่การเป็นสมาชิกของกองทัพเรือ นอกจากเป็นการต้อนรับแล้วยังเป็นการย้ำให้คู่สมรสของเหล่านายทหารตระหนักด้วยว่านับตั้งแต่นี้ไปทั้งคู่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น รวมถึงทั้งสองจะต้องมีความศรัทธา ช่วยเหลือกันตลอดไป จะต้องสนับสนุนส่งเสริมการทำงานของอีกฝ่ายที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ อย่างเจ้าบ่าวในวันนี้เขามีหน้าที่รักษาอธิปไตยทางทะเลเจ้าสาวจะต้องสนับสนุน ส่งเสริม ดูแลและเป็นกำลังใจให้กับเจ้าบ่าวอยู่เคียงข้างเจ้าบ่าวในช่วงเวลาที่เจ้าบ่าวท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน”

“และบัดนี้ก็ถึงพิธีอันมีมนต์ขลังแล้ว ขอเชิญซุ้มกระบี่ครับ” คีตวัตรพูดก่อนที่ชายในชุดเครื่องแบบเต็มยศจะเดินเข้ามาเป็นสองแถวนำโดยอาศิระและคีรติ

“พร้อมจะไปกับอามั้ย” อิสรันกระซิบถามพร้อมทั้งขู่ “ถ้าไม่พร้อมจะทำเหมือนเมื่อเช้าเอาสิ”

“พร้อมมากค่ะ แต่อารันน่ะพร้อมรึเปล่าาาา” เด็กสาวเอ่ยบอกอย่างท้าทายก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างช้า ๆ ทางข้างหน้าคือสิ่งที่เขาและเธอจะได้ตระหนักถึงอุปสรรคและขวากหนาวมากมายในชีวิตคู่ที่จะต้องพร้อมก้าวเดินไปด้วยกัน

พิธีการดำเนินมาเรื่อยๆ จากการตัดเค้ก และโยนช่อดอกไม้จนถึงช่วงเวลาที่อิสรันเตรียมไว้เป็นพิเศษ ชายหนุ่มจูงมือของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณีมายืนกลางลานกว้างหน้าเวที

“ให้เกียรติเต้นรำกับอานะ” อิสรันเอ่ยบอกก่อนที่จะขยิบตาให้คีตวัตร คีตวัตรส่งสัญญาณให้ฝ่ายควบคุมดนตรีเปิดเพลงที่เตรียมไว้

เสียงท่วงทำนองไพเราะดังขึ้นทำให้ภีรพิชชายิ้มออกมาก่อนที่จะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อทำนองมันเปลี่ยนไปเป็นทำนองเพลงประกอบหนังอินเดียแทน

“เฮดูราเฮดูราเฮดู” เสียงที่ดังขึ้นเจ้าบ่าวตกใจแล้วหันไปชี้หน้าอาศิระที่ยืนยักคิ้วอยู่ข้างคีตวัตร ไม่บอกก็รู้ โดยสับเปลี่ยนเพลงแน่นอน

“อารันมาเต้นกัน เฮดูราเฮดู” เจ้าสาวผู้ชื่นชอบดนตรีและนาฏศิลป์อินเดียอย่างมากเอ่ยบอกก่อนที่จะเต้นอย่างกับสาวอินเดีย ในขณะที่แขกผู้มีเกียรติพากันเต้นไปตามจังหวะดนตรี

“หมด หมดกัน อุตส่าห์จัดความโรแมนติกปิดท้าย ไอ้เห็บหมาเอ๊ย”อิสรันบ่นพึมพำก่อนที่จะโดนภีรพิชชาลากไปเต้น ‘เอาว่ะไม่โรแมนติกแต่หนูภีร์ชอบก็ยังดี’

คู่บ่าวสาวยืนมองหน้ากันในขณะขยับไหล่และหน้าไปมาไปทางเดียวกันด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเต้นลืมชีวิตกันไปเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel