บทที่3. ต่อ
พ่อใหญ่ปีเตอร์ ประกาศให้ทุกคนรับรู้ด้วยภาษากลางเพื่อให้อรอาภาได้เข้าใจด้วยและเขาก็ขอให้ทุกคนพยายามพูดกับอรอาภาด้วยภาษากลางเสียก่อนเพื่อให้โอกาสหญิงสาวได้ปรับตัวให้ชินเสียก่อน
“สวัสดีค่ะทุกคน หนูอ่อนฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
อรอาภายกมือไหว้ทุกคนอย่างอ่อนช้อยงดงามพร้อมด้วยยิ้มหวานตามแบบฉบับของตน และคนที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้พากันส่งเสียงต้อนรับอย่างยินดี อรอาภาคลายความเกร็งและขัดเขินลงได้บ้างเมื่อชบาพาเธอไปแนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ ของตนและคนอื่นๆ ซึ่งเป็นคนงานที่ทำงานในนาในสวนของผู้ใหญ่ปีเตอร์ญาติๆ และเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง รวมๆ แล้วคืนนี้มีคนมางานเลี้ยงต้อนรับอรอาภาครึ่งร้อยเลยทีเดียว
“ดูท่าหนูอ่อนของเราจะเข้ากับทุกคนได้ดีนะแม่ใหญ่”
“น้องก็ว่าอย่างนั้นค่ะ ปรับตัวอีกหน่อยก็คงไม่มีปัญหา”
“แล้วทางนั้นล่ะเป็นไง”
“เจ้าตัวแสบยังคงเล่นตัวอยู่ ส่วนนังมารร้ายก็คงคิดแผนการอะไรอยู่น้องมั่นใจ” แม่ใหญ่ไพลินหันมาสบตากับสามี
“น้องไม่เชื่อว่าอนุวัฒน์จะตายง่ายดายขนาดนั้น”
“เรื่องนี้เราพูดไม่ได้นะ เพราะเราไม่มีหลักฐานพูดไปยายนั่นจะมาเล่นงานเราได้”
“ก็นั่นล่ะค่ะ น้องเลยไม่อยากมองหน้ามันนานนัก.. ตอนนี้มันคงกำลังหลงเพลินกับเงินที่มันได้ไป ได้ข่าวว่ามันติดการพนันด้วย”
“เงินที่ได้ไปก็คงหมดในไม่ช้าแน่นอน ถึงตอนนั้นล่ะคงพาลไปหมด”
“และคงคิดจะฮุบทุกอย่างของหนูอ่อน น้องล่ะชังน้ำหน้ามันนัก ร้ายกาจตั้งแต่สาวยันแก่”
แม่ใหญ่ไพลินนั้นไม่ชอบหน้าคุณพิสมัยอย่างมากและด้วยความที่สนิทสนมกับคุณอนุวัฒน์ โตมาด้วยกันเรียนด้วยกันทำงานด้วยกันมาหลายปีและได้เห็นนิสัยใจคอของคุณพิสมัยด้วยแล้ว นางมั่นใจว่าการตายของเพื่อนรักไม่ธรรมดาแน่ๆ และโชคดีที่นางรู้มาก่อนว่าจะมีการเปิดพินัยกรรมของคุณหญิงอรพินท์ในวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ของอรอาภา
“แล้วทางนั้นล่ะเขาว่าไง”
“เขาก็บอกว่าจะคอยดูความเคลื่อนไหวให้ค่ะ เขาก็น่าสงสารนะคะ ทำไมพิสมัยถึงยังคิดไม่ได้เสียทีจะถลำลึกจงเกลียดจงชังอะไรกันนักหนา..” แม่ใหญ่ไพลินถอนใจเบาๆ พ่อใหญ่ปีเตอร์โอบไหล่เมียรักไว้
“มันเป็นวิบากกรรมของเขานะ เราจะไปก้าวก่ายกรรมของเขาไม่ได้ดอกแม่ไพลิน เขาทำอะไรไว้เขาก็คงได้รับผลของการกระทำของเขาในสักวัน เราก็ดูแลหนูอ่อนให้ดีเท่าที่เราจะดูแลได้นั่นล่ะ”
“ค่ะ.. ขอบคุณคุณพี่นะคะที่คอยปลอบน้องเสมอเลย”
สองสามีภรรยายิ้มให้กันแล้วมองบรรดาลูกหลานและญาติๆ ที่ต่างเข้ามารุมล้อมพูดคุยกับอรอาภาอย่างสนุกสนาน แต่ที่ได้ยินเสียงชัดเจนกว่าใครพูดมากกว่าใครก็คงจะเป็นชบากับเอกที่คอยขัดคอกันเสมอ
“มึงนี่สาระแนรู้ทุกเรื่องนะบักเอก”
“ธรรมดาละเว้ยคนมันฉลาดหัวแหลมเหมือนลูกพี่อ้ายเคน”
“เอาอ้ายเคนมาอ้าง มึงมันสาระแนมากกว่า” ชบาชี้หน้าคู่กัดของตนเอกก็ลอยหน้าลอยตายียวน
“หมู่สูนี่ก็มักเถียงกันเนาะ แบบนี้ล่ะเขาเรียกว่าเนื้อคู่กัน”
ชายคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าชบากับเอกเจอกันทีไร มักหาเรื่องมาทะเลาะต่อว่ากันทุกที ประมาณเหมือนคู่กัด
“อ้าว ลุงทำไมพูดงี้ล่ะ ใครอยากได้ไอ้หน้าแหลมเป็นผัว อีกอย่างชบาสวยเลือกได้นะจ๊ะ”
“ใครบอกว่าแกสวยวะนังชบา” เอกขัดขึ้น
“ก็คุณหนูอ่อนไง หรือแกจะเถียง เอาสิ เถียงสิว่าคุณหนูอ่อนโกหก” ชบากอดอกเชิดหน้ามองเอกที่ยิ้มแหยๆ ให้อรอาภา
“ไม่เถียงเว้ย ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่ก็แอบไม่เห็นด้วย หึหึ” เอกพูดเบาๆ พอได้ยินกันสองคนกับชบา
“ไอ้เอกมึง..” ชบาชี้หน้าเอกอย่างขุ่นเคือง
“ชบาพูดไม่เพราะเลย” อรอาภาดึงชบาให้นั่งลงแล้วพูดเบาๆ
“จริงครับ คุณหนูอ่อน เนี่ย ผมก็หวังว่าคุณหนูอ่อนมาจะช่วยขัดเกลา เอาอะไรมาล้างปากน้องชบาให้พูดเพราะๆ กับผมบ้าง น้องชบาเป็นคนพูดจาไม่น่ารักพูดมึงๆ กูๆ ผมขอขอบคุณคุณหนูอ่อนมากเลยนะครับที่จะช่วยสั่งสอนน้องชบาของผมให้เป็นคนอ่อนหวานเหมือนคุณหนูอ่อนบ้าง”
เอกได้ทีก็เข้ามาพูดจาอ่อนหวานฉอเลาะกับอรอาภาทันที ชบามองอย่างขุ่นเคืองจนอดใจไม่ไหว ยกเท้าขึ้นจะถีบเอกให้หงายหลังแต่เอกรู้ทันหลบได้ทันท่วงทียิ่งทำให้ชบาฉุนเฉียว
“ไอ้เอกมึงมาให้กูถีบเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ขี้ฟ้อง”
“ใครจะอยู่ให้ถีบวะ แน่จริงก็วิ่งให้ทันสิวะ ฮ่าๆๆ”
เอกว่าพลางวิ่งไปรอบตัวอรอาภาแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชบา แล้วสองหนุ่มสาวก็วิ่งเล่นเตะกันเหมือนเด็กๆ ทุกคนต่างก็หัวเราะและร้องเชียร์กันเป็นการใหญ่
อรอาภาหัวเราะไปกับทุกคนด้วยหญิงสาวยิ้มกว้างและนั่งคุยกับเพื่อนบ้านและญาติๆ ของแม่ใหญ่ไพลินอย่างนอบน้อมอ่อนหวาน และหลังจากนั้นทุกคนก็พากันตั้งชมรมแฟนคลับคุณหนูอ่อนขึ้นมาโดยมีสมาชิกเป็นสาวๆ หนุ่มๆ และเด็กๆ คนเฒ่าคนแก่ที่หลงรักสาวชาวกรุงคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะถูกใจในอัธยาศัยอันอ่อนหวานอ่อนน้อมของเธอนั่นเอง
ในอีกมุมหนึ่งของงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ชายหนุ่มที่เหมือนหายไปจากวงสนทนาก็กำลังเฝ้ามองหญิงสาวที่สวมใส่ชุดผ้าซิ่นแบบสาวชาวบ้านที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างไม่เคอะเขิน ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มแสนหวานและท่าทางอ่อนโยนที่แสดงออกกับทุกคนทำให้คนที่แอบมองใจเต้นแรงอย่างหักห้ามไม่ได้ แต่ของแบบนี้มันต้องมีฟอร์ม...
“ฟอร์มหลายระวัง หมาคาบไปแดกเด้อครับ” อ่อมพูดลอยๆ ทำให้เคนชะงักแล้วหันมามองลูกน้องคู่ใจที่กำลังถือปิ่นโตมาหา
“รู้ดี รู้มากนะมึง”
“แหม่ อ้ายคนล่ะก็ ข้อยกะเว้าตามที่เห็น”
“รู้ดีขนาด ไหนมีอีหยังกินมั่ง” เคนเดินมานั่งที่แคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อมของตนแล้วมองอาหารในปิ่นโตก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง
“อีหยังวะนี่”
“อาหารคนกรุงเทพฯ” อ่อมว่ายิ้มๆ แต่เคนยิ้มไม่ออก
“หน้าตาจืดชืดแบบนี้กูคือสิกระเดือกลง”
“แม่ใหญ่บอกว่ากินบ่ได้กะบ่ต้องกินครับอ้าย”
“อีแม่คือพูดแบบนั้นวะ นี่ลูกนะนี่ลูก กูเป็นลูกเพิ่นเด้” เคนหน้าตึงมองไปทางเรือนใหญ่อย่างหงุดหงิดใจ
“คงสิหลงลูกใหม่คัก”
“ผู้ใดก็หลงอ้าย คุณหนูอ่อนเพิ่นงามอีหลี คนอีหยังงามปานนางฟ้าลงมาหย่างดิน” อ่อมพูดถึงอรอาภาอย่างชื่นชมเปรียบหญิงสาวเป็นนางฟ้าเดินดิน
“ชื่นชมกันหลายน้อ”
“อ้ายต้องได้ไปเห็นกับตา เจอตัวเป็นๆ อ้ายสิยิ่งกว่าหลง บ่แน่ดอก พอได้เมียแล้วสิลืมบักอ่อมกับบักเอก”
“เว้าหลายว่ะ ไปไสกะไปไป๊”
