ตอนที่ 4 เลิกหลอกตัวเอง
ห้องพักฟื้นโรงพยาบาล
ญาติและเพื่อน ๆ ต่างพากันมาแสดงความยินดีรับขวัญหลานและมีแวะเวียนกันมาเยี่ยมต่อเนื่องของขวัญไม่ว่าจะตุ๊กตาเสื้อผ้ากระเช้าเต็มห้อง ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลวีณา แพท นีน่าและคนขับรถต้องมาช่วยกันขนของขวัญกลับบ้าน
“พวกเรามาตั้งแต่เมื่อวานยังไม่เจอพี่ธนาเลย” แพทหยิบของเยี่ยมเก็บใส่ลังจะได้เรียกบุรุษพยาบาลมาเข็นรับไปทีเดียว
“คนไข้เยอะเลยมาหาตอนค่ำที่พวกเธอกลับไปแล้ว” อัญญารินทร์สีหน้าเรียบนิ่งเปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงยาวเตรียมตัวกลับบ้านแล้วเดินมาช่วยเพื่อนเก็บของลงลัง
“อ๋อ”
“หน้ายังเซียว ๆ ไม่สดชื่นเหมือนเมื่อก่อนเลยนะแบม มีลูกคงเหนื่อยน่าดูล่ะสิ” นีน่าเห็นเพื่อนหน้าตาไร้ชีวิตชีวาไม่สดใสอย่างที่เคยเป็น
“ช่วงแรก ๆ กำลังปรับตัวก็เป็นแบบนี้แหละลูก อีกหน่อยก็ชิน” วีณาอุ้มกล่อมหลานชายตัวน้อยเอ่ยแทรกขึ้นมาเพราะดูออกเช่นกันว่าอัญญรินทร์สีหน้าอมทุกข์
“โรงพยาบาลระดับพรีเมี่ยมคนไข้ไม่ได้เยอะจนจะมาดูแลภรรยาไม่ได้หรอก” เจนสุดาสวมชุดกาวน์สีขาวสอดมือล้วงกระเป๋าเดินเข้ามาหาในห้องพักผู้ป่วย
“พี่ธนาไม่ได้เป็นแค่หมอแต่ต้องเป็นอาจารย์สอนพ่วงด้วยตำแหน่งผู้บริหาร ทำงานหลายหน้าที่ไม่ได้เป็นหมออย่างเดียวเหมือนเจนเขาก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดา” อัญญารินทร์หันมองหงุดหงิด นับวันเจนสุดาที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนมักมีคำพูดเหน็บแนมเธออย่างกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน แพทกับนีน่าก็ไม่พอใจคำพูดของเจนสุดาเช่นกัน
“ตั้งแต่เป็นหมอก็ไม่ค่อยพูดจาถนอมน้ำใจเพื่อนเลยเนอะ” นีน่าเหน็บกลับเจนสุดา ส่วนแพทกวาดสายตามองลักษณะภายนอกของเพื่อนแต่งหน้าด้วยโทนสีส้มผมตรงดำยาวสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลครองเท้าส้นเตี้ยหุ้มส้นทะมัดทะแมงแปลกตาพาให้สงสัย
“ทำไมเจนเปลี่ยนลุคล่ะ ปกติชอบดัดผมลอนใหญ่ปัดแก้มทาลิปสติกสีชมพูแล้วก็ชอบใส่ชุดกระโปรงรองเท้าส้นสูงไม่ใช่เหรอ?”
“เราเป็นแบบนั้นมายี่สิบห้าปีเลยเบื่ออยากลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง” เจนสุดาหน้านิ่งยืดไหล่ตรงสีหน้าแววตาเปลี่ยนไป
“การพูดจาก็เปลี่ยนด้วยนะ ไม่ค่อยยิ้มดึงหน้าตึงทำไมก่อน”
“วุฒิภาวะเปลี่ยนอะไร ๆ ก็ต้องเปลี่ยนตาม ฉันไปตรวจคนไข้ก่อนนะงานยุ่ง” เจนสุดายกยิ้มมุมปากคล้ายกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วเดินออกไปไม่ได้มาช่วยเก็บของหรือมีอะไรติดมือมาเยี่ยมเพื่อน
“มาพูดเสร็จแล้วก็ไป อะไรของเขา?” แพทนิ่วหน้าเท้าเอวมองแคลงใจ
“ได้ยินมาว่าจะสอบเป็นอาจารย์หมอเลยจะทำตัวเองให้ดูภูมิฐานมั้ง” นีน่าสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้ อัญญารินทร์เก็บของต่อคล้ายไม่ใส่แต่เก็บทุกการสนทนาของเพื่อนมาคิด
เจนสุดาเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลที่กำลังยกมือไหว้เธอรับไหว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินผ่านไปเฉย ๆ ทำให้พยาบาลงงเพราะปกติหมอเจนสุดาจะยิ้มแย้มอัธยาศัยดี
“หมอเจนไม่ยิ้มทำหน้านิ่ง ๆ และแต่งตัวแบบนี้ เหมือนใครนะ...อ๋อเหมือนหมอพลอยเลย” พยาบาลสาวครุ่นคิดก่อนจะนึกได้ว่าเจนสุดาเลียนแบบหมอพลอยลดาคนรักเก่าของหมอธนา
“อุ้ย นึกว่าคิดคนเดียวนะเนี่ยเหมือนแม้กระทั่งสีปากอ่ะ” พยาบาลอีกคนนิ่วหน้าออกอรรถรสจากนั้นพยาบาลก็ต่างกรูกันเข้ามาร่วมสนทนากันทันที
หลายวันที่ผ่านมา
คฤหาสน์หลังใหญ่
ในห้องนอนชั้นล่างขนาดใหญ่ล้อมด้วยกระจกบานมีผ้าม่านปิดบังแสงแดด อัญญารินทร์เลือกแต่งห้องนอนข้างล่างให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของลูกชายน้องอัศวินจะได้ไม่ต้องขึ้นลงบันไดและยังได้เห็นวิวสนามหญ้ากับสระว่ายน้ำ
เสียงว่ายน้ำทุกเช้าปลุกให้อัญญารินทร์สะดุ้งตื่นกายบางลุกนั่งหันมองลูกชายนอนหลับอยู่ในเตียงเล็กและมีพี่เลี้ยงนอนบนฟูกใกล้ ๆ กัน เท้าเรียวย่องเดินไปยังผ้าม่านสูงไม่รบกวนคนหลับใหลแล้วแง้มขอบผ้าม่านดูคนที่ออกกำลังกายในสระว่ายน้ำเป็นประจำทุกเช้าและตอนเย็น
กายกำยำว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ไปกลับในสระน้ำขนาดใหญ่ สายตาสวยหม่นเศร้าจะมองสามีตัวเองสักทีก็ต้องแอบส่องตั้งแต่คลอดลูกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเจอเห็นหน้าเขาอย่างใกล้ชิด
ในช่วงเย็นของทุกวันผ้าม่านจะเปิดออกให้ลูกชายได้มองวิวธรรมชาติภายนอกและสระว่ายน้ำ ธนามาว่ายน้ำไม่คิดจะหันมามองลูกกับภรรยาเมื่อเขาว่ายน้ำเสร็จก็เดินผ่านไปคล้ายไม่เห็นว่าเธอกับลูกนั่งอยู่ตรงกระจกบานใหญ่เลยสักนิด
ความเจ็บปวดสะสมมาเนิ่นนานก่อนคลอดลูกก็ยังทนได้แต่พอมีลูกน้อยอัญญารินทร์เกรงว่าสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของเธอจะส่งไปถึงลูกจึงจำเป็นต้องตัดสินใจเลิกหลอกให้ความหวังตัวเองว่าเขาจะหันมารักเธอสักที
ค่ำคืนเงียบสงัด
วันหยุดของพี่เลี้ยงหนึ่งวันต่ออาทิตย์จึงลากลับไปบ้านหนึ่งวัน ทำให้อัญญารินทร์ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังและปั๊มนมไม่ค่อยได้พักผ่อน ช่วงค่ำเธอจึงนอนหลับสลบไสลเพราะความเหนื่อยล้า
อัญญารินทร์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับลึกไปนานแค่ไหนมารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงฮัมในลำคอคล้ายกล่อมเด็กแต่เสียงนั้นเป็นของผู้ชาย เธอผวาตื่นมาเอื้อมมือคว้าหาลูกแต่ต้องตกใจเมื่อเหลือแค่เบาะนอนเล็ก ๆ แล้วลูกหายไป
“วิน!” เธอตะโกนสุดเสียงตื่นตระหนก
“ชู่ว” ชายหนุ่มสูงใหญ่หันมาทำเสียงให้เธอเงียบเห็นธนาโอบประคองลูกด้วยสองแขนแล้วโยกตัวไปมากล่อม เธอถอนหายใจหอบเหนื่อยโล่งอก
ธนาเดินเข้ามาใกล้ค่อย ๆ หย่อนตัวลูกลงเบาะนอนของเตียงเล็กข้าง ๆ อย่างเบามือ อัญญารินทร์น้ำตารื้นมองเขาทะนุถนอมลูกอย่างตื้นตันไม่คิดว่าเขาจะดูดำดูดีลูกชายของตัวเองด้วยซ้ำ
“ลูกร้องไห้เสียงดังตั้งนานพี่เลยเข้ามาดู พี่เลี้ยงไปไหนทำไมไม่อยู่ช่วยเลี้ยง”
“วันหยุดของปุ้นอาทิตย์ละหนึ่งวันค่ะ”
“น่าจะบอกคุณแม่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนหรือจะจ้างพี่เลี้ยงเพิ่มอีกสักคนจะได้สลับกัน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แบมเลี้ยงลูกเองได้”
“ลูกร้องตั้งนานแต่แม่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ยังบอกว่าเลี้ยงได้อีกเหรอ” เสียงทุ้มเข้มขึ้นจ้องมองตำหนิ
“พี่ก็เป็นพ่อคิดจะช่วยกันเลี้ยงบ้างไหม” หน้าสวยง้ำงอเสียงแข็งใส่คนดีแต่บ่นไม่เคยช่วยทำอะไรเลย
“พี่มีงานต้องรับผิดชอบเยอะจะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยง”
“เหอะ งั้นพอมีเวลาเหลือคุยเรื่องหย่ากันหน่อยไหม?” ดวงตาสวยแข็งกร้าวเกินจะทนกับความทรมานทางใจที่ได้รับจากสามีมาเกินพอ
