บทที่ 4 ยอมรับความจริง
บทที่ 4 ยอมรับความจริง
เห็นว่าลูกสาวคนเล็กออกไปแล้ว เซี่ยเป่าเจิ้นจึงหันมาพูดกับลูกสาวคนโต
“เสี่ยวอิ๋ง พักต่ออีกสักหน่อยก่อนนะ เดี๋ยวค่อยออกมากินข้าว แม่จะไปตามหมอมาดูอาการให้สักหน่อย เผื่อว่ายังมีอะไรร้ายแรง”
“ไม่ต้องไปตามหมอหรอกค่ะแม่ ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ” หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม ตอนนี้เธอไม่มีอาการเจ็บป่วยหลงเหลือแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะนะ แม่ไม่กวนแล้ว” เมื่อเห็นลูกสาวยืนยันว่าไม่เป็นอะไร จึงยิ้มให้ลูกสาวสุดที่รักอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่อเห็นว่าแม่ไปแล้ว จึงได้คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง
หญิงสาวเข้าใจสถานการณ์ดีว่าที่เซี่ยเป่าเจิ้นไม่ชอบลูกสาวคนเล็ก นั่นก็เพราะว่าผิดหวังที่เจียงเสวี่ยหนิงเกิดมาเป็นผู้หญิง เพราะเธอและสามีหวังไว้ว่าลูกคนที่สองอยากให้เป็นผู้ชาย
อีกทั้งเจียงเสวี่ยหนิงตอนอยู่ในท้องยังตัวโตมาก เลยทำให้เซี่ยเป่าเจิ้นคลอดยากแถมยังตกเลือดจนตั้งท้องไม่ได้อีก จึงสร้างความเสียใจให้กับเธอและสามีเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอยังไม่มีลูกชายสืบสกุลเลย
และที่สำคัญหลังจากนั้นไม่นาน สามีของเธอก็เสียชีวิตในสนามรบ ทำให้เซี่ยเป่าเจิ้นมองว่าลูกสาวคนเล็กเป็นตัวอัปมงคล เกิดมาไม่ทันไรพ่อก็ตายเสียแล้ว!!
ซึ่งต่างกับลูกสาวคนโตยิ่งนัก ตอนที่เธอเกิดนั้นสามีได้เลื่อนตำแหน่งพอดี ทำให้เจียงเสวี่ยอิ๋งเป็นที่รักของพ่อกับแม่ บวกกับหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เมื่อใครเห็นต่างก็เอ็นดู
สร้างความภูมิใจให้กับเซี่ยเป่าเจิ้นเป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่องเรียน ถึงเธอจะเรียนไม่เก่งแต่ยุคสมัยนี้ยังมีความคิดเดิมอยู่ที่ว่า ผู้หญิงนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนสูงมาก แค่หาสามีดี ๆ ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว และหน้าตาแบบเจียงเสวี่ยอิ๋งที่
ยิ่งโตยิ่งสวยเซี่ยเป่าเจิ้นจึงคิดว่าลูกสาวจะต้องได้แต่งกับเศรษฐีอย่างแน่นอน
จากความทรงจำของร่างทำเอาหญิงสาวต้องฉุกคิดว่า
จะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ดี เธอเห็นน้องสาวแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะหากว่าเจียงเสวี่ยหนิงยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป
มีหวังในวันข้างหน้าจะต้องถูกคนอื่นเอาเปรียบแน่นอน
“เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเองนะเสี่ยวหนิง”
จากนั้นเจียงเสวี่ยอิ๋งจึงเริ่มขยับเขยื้อนร่างกายทันที
เพื่อตรวจดูว่ามีส่วนไหนที่บาดเจ็บอีกหรือไม่ นอกจากกลางหัวที่โนขึ้นมาเล็กน้อยก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติอีก
เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะออกไปสำรวจรอบบ้านสักหน่อย ทว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่เจียงเสวี่ยหนิงยกอาหารเข้ามาให้พอดี
“พี่ใหญ่จะลุกไปไหนคะ มากินข้าวก่อน” พอเห็นว่าพี่สาวทำท่าจะลุกขึ้น ก็รีบเอ่ยทักทันที
“ไม่ต้องยกเข้ามาก็ได้ เดี๋ยวพี่ออกไปกินเอง” เจียงเสวี่ยอิ๋งพูดพร้อมส่งยิ้มให้กับน้องสาว
ทำให้น้องสาวที่ถือถาดอาหารอยู่ในมือเหมือนจะอึ้งไป
เมื่อเห็นว่าพี่สาวยิ้มให้ นั่นเป็นเพราะว่าเธอไม่คาดคิดมาก่อนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
จากที่พี่สาวเอาแต่กดขี่ข่มเหงตนแทบทุกวัน อยู่ ๆ กลับใจดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ‘เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงกัน’
“เอ่อ...แต่แม่บอกว่าต้องยกมาให้ที่ห้องค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเบาเหมือนเดิม และยังไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเท่าไรนัก
พอเห็นน้องสาวยังมีท่าทีเหมือนเดิม เจียงเสวี่ยอิ๋งจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเดิม “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พี่หายดีแล้ว เลยไม่อยากลำบากเสี่ยวหนิงที่ต้องคอยยกอาหารและเข้ามาดูแลพี่น่ะ อย่าลืมสิว่าเราสองคนเป็นพี่น้องกัน”
คราวนี้เจียงเสวี่ยหนิงถึงกับช็อกไปเลยเมื่อพี่สาวห่วงใยเธอขึ้นมา เธอจึงมองพี่สาวเต็มตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วก็มีเสียงของผู้เป็นแม่ดังเข้ามาในห้อง จึงทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นไปหมดสิ้น
“ไม่ต้องสนใจน้องหรอกเสี่ยวอิ๋ง หน้าที่ของเสี่ยวหนิง อย่างไรน้องก็ต้องทำ กินข้าวเถอะ”
พอได้ยินเสียงแม่บอกแบบนั้น เจียงเสวี่ยอิ๋งไม่อยากจะอะไรมาก เธอจับมือน้องสาวเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้เดินตามมาที่โต๊ะกินข้าว
เมื่อมาถึงโต๊ะ เจียงเสวี่ยหนิงก็วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนไปทางที่พี่สาวของเธอนั่งอยู่
“ขอบใจนะ” เจียงเสวี่ยอิ๋งยังคงพูดเหมือนเดิม
เพราะต้องการสร้างความคุ้นชินให้กับน้องสาว
เพราะด้วยความหิว เจียงเสวี่ยอิ๋งจึงรีบกินแต่ทว่ารสชาติของอาหารนั้นฝืดคอเป็นอย่างมาก จะว่าไปแล้วก็แค่พอกระเดือกลงคอได้เท่านั้น ไม่มีความอร่อยเลยสักนิดเดียว
แต่หญิงสาวก็ฝืนกินจนหมดเพราะนึกเห็นใจน้องสาวที่ทำให้ แล้วก็กลัวว่าเจียงเสวี่ยหนิงจะโดนแม่ตำหนิเรื่องทำอาหาร
ไม่อร่อย และไม่ถูกปากเธอ เนื่องจากทุกครั้งก็มักจะเป็นแบบนั้นเสมอ
“เสี่ยวหนิง วันนี้ต้มปลาผักกาดดองอร่อยดีนะ ถ้าเธอใส่น้ำตาลลงไปตัดนิดหน่อย อาหารถ้วยนี้จะอร่อยมากเลย” หญิงสาวพูดขึ้น เพื่อให้น้องสาวได้รู้ถึงรสชาติอาหาร
“นี่ลูกแม่เก่งจังเลย ขนาดไม่เคยทำอาหารยังรู้เลยว่าต้องใส่อะไรเพิ่ม อาหารถึงจะอร่อย” เซี่ยเป่าเจิ้นพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ลูกสาวคนโตรู้ว่าต้องใส่อะไรเพิ่มเพื่อให้รสชาติอาหารออกมาดีขึ้น
ทว่าคนที่ภูมิใจยิ่งกว่าเห็นจะเป็นสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้าม เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอเพิ่งเคยได้รับคำชมเป็นครั้งแรก และยิ่งเป็นคำชมจากพี่สาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เธอมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาไม่น้อย
“เห็นไหมเสี่ยวหนิง หัดเรียนรู้จากพี่เขาเอาไว้บ้าง ต่อไปจะได้เก่งเหมือนพี่เขาอย่างไรล่ะ” เธอหันไปบอกกับลูกสาวคนเล็กอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนโต ครั้งนี้เลยไม่มีการดุด่าเหมือนที่ผ่านมา
จากนั้นเซี่ยเป่าเจิ้นคอยเอาใจใส่ดูแลเจียงเสวี่ยอิ๋งอย่างใกล้ชิดไม่ต่างจากกำลังเลี้ยงลูกน้อยคนหนึ่ง ทั้งพยายามป้อนข้าวทั้ง ๆ ที่บอกไปแล้วว่ากินเองได้ แต่ว่าผู้เป็นแม่ก็ไม่ยอม
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วยังปอกส้มให้กินอีก เจียงเสวี่ยอิ๋งรู้สึกว่ามันออกจะมากเกินไป มากจนน่าอึดอัด นั่นเพราะว่าชาติที่แล้วเธอเองก็เป็นหญิงแกร่งคนหนึ่ง ที่จากบ้านมาแล้วสู้ด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน
ดังนั้นการที่มีคนดูแลถึงขนาดนี้หญิงสาวเลยมองว่ามันก็แปลกอยู่มาก
“พอแล้วค่ะแม่ ฉันอิ่มแล้ว” สุดท้ายเมื่อไม่ไหวแล้วจึงได้พูดออกมา
“ช่วงพักฟื้นนี้ต้องกินให้มากเข้าไว้นะลูก ร่างกายถึงจะกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว” เซี่ยเป่าเจิ้นพูดคัดค้านเพราะต้องการให้ลูกสาวคนโตได้กินให้มากกว่านี้
เธออิ่มแล้วจริง ๆ แต่เมื่อผู้เป็นแม่ยังไม่ยอมหยุดป้อน ก็ได้แต่ต้องหาข้ออ้างอื่นแทน เลยรีบพูดว่า “กินเยอะไปเดี๋ยวจะอ้วนเอานะแม่ อ้วนแล้วจะไม่สวย เดี๋ยวจะไม่มีใครมาสู่ขอฉัน แม่หวังให้ฉันแต่งงานกับคนดี ๆ และมีเงินไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันอ้วนฉุไม่ต่างจากหมู ใครจะมาสู่ขอลูกสาวแม่กันล่ะ”
“จริงของลูก ถ้างั้นก็พอแล้ว” ผู้เป็นแม่วางส้มในมือลงอย่างว่าง่ายทันทีหลังจากได้ยินคำพูดจากลูกสาว
ภาพความห่วงใยที่แม่มีให้กับพี่สาว ทำให้เจียงเสวี่ยหนิงมองภาพนี้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ นั่นเพราะว่าเธอไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้จากแม่เลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าเธอจะพยายามทำทุกอย่าง ทั้งทำงานบ้าน ทั้งตั้งใจเรียน แต่ก็ไม่เคยได้อยู่ในสายตาของแม่เลยสักครั้ง ซึ่งผิดกับพี่สาวที่ไม่ต้องทำอะไร แต่ก็ได้เป็นถึงนางฟ้าของบ้าน
ถึงแม้ว่าจะมีความอิจฉาผุดขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้ง แต่เจียงเสวี่ยหนิงก็ไม่เคยคิดที่จะชิงชังพี่สาวของเธอเลย
“นี่...เสี่ยวอิ๋ง ไหน ๆ ก็เรียนจบแล้ว แม่คิดว่าลูกไปสอบเข้าทำงานที่เดียวกับแม่ดีกว่าไหม” จู่ ๆ เซี่ยเป่าเจิ้นก็พูดขึ้นมา
เธอมองว่าการทำงานที่โรงงานนั้นจะมั่นคง ทุกคนมองว่างานนีคือชามข้าวเหล็กของครอบครัว
“หือ?” เมื่อได้ยินแม่ถามอย่างนั้น เจียงเสวี่ยอิ๋งทำหน้าเหมือนมีคำถาม แต่ดูไปทางตกใจมากกว่า
“จะไม่เข้าใจอะไรขนาดนั้น แม่บอกว่าลูกควรไปสอบเข้าทำงานที่เดียวกับแม่ ที่โรงงานน่ะมีชายหนุ่มตำแหน่งดี ๆ ที่ยังไม่มีภรรยาอยู่ตั้งหลายคน หากว่าได้ไปทำงานที่นั่นก็มีโอกาสที่จะได้แต่งงานกับหนุ่มหล่อมีฐานะก็ได้นะลูก”
พอได้ฟังที่แม่ของตัวเองพูด หญิงสาวถึงกับต้องลอบถอนใจออกมาอยางเบื่อหน่าย เนื่องจากเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้สักเท่าไร นั่นเพราะเพิ่งเข็ดกับแฟนเก่าในชาติที่แล้วอย่างไรล่ะ
ถ้าให้พูดถึงเรื่องผู้ชายในตอนนี้เธอไม่แม้แต่จะอยากคิดถึงเสียด้วยซ้ำ!!
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันเถอะค่ะแม่ ตอนนี้ฉันเริ่มจะปวดหัวอีกแล้ว ยังไงขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ” เจียงเสวี่ยอิ๋งพูดพลางพร้อมกับส่งสายตาไปทางแม่และน้องสาวว่า เธออยากไปพักแล้วจริง ๆ
พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายและเพิ่งนึกได้ว่าเจียงเสวี่ยอิ๋งเพิ่งฟื้นขึ้นมา ทั้งสองจึงเข้าใจเป็นอย่างดี ก่อนจะพยักหน้าให้เบา ๆ อย่างเข้าใจ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เจียงเสวี่ยอิ๋งต้องใช้เวลาทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกสักพัก นั่นเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากจนเกินไป
ก่อนหน้านี้เธอสอยมะพร้าวแล้วลูกมะพร้าวตกใส่หัว ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่ มาอยู่ในร่างของหญิงสาวที่เอาแต่ใจและเย่อหยิ่งคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้เจอกับน้องสาวที่เอาแต่กลัว กับแม่ที่อยากจะให้เธอหาสามีให้เร็วที่สุด คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง
จะว่าไปตั้งแต่ตื่นมานี่ก็ถอนหายใจไปไม่รู้กี่รอบแล้วสินะ
