
เจียงเสวี่ยอิ๋งคนนี้ไม่เป็นแล้วสตรีเย่อหยิ่ง 80s
บทย่อ
พรลดาแม่ค้าอาหารออนไลน์ต้องมาตายเพราะความซวย และเธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีเย่อหญิงอย่างเจียงเสวี่ยอิ๋งที่ไม่เอาไหน แต่เธอคนนี้จะไม่เป็นแล้วสตรีเย่อหยิ่ง ขอเป็นคนสร้างตัวด้วยความสามารถที่มีดีกว่า!
บทที่ 1 พรลดาแสนดวงซวย
บทที่ 1 พรลดาแสนดวงซวย
ที่ดินผืนหนึ่งกลางชนบทอันเงียบสงัด ไร้ร่องรอยของชีวิตชีวา ดินแห้งแข็งแตกระแหง แทบจะไม่มีพืชผลให้เห็นเลย เหมือนถูกละทิ้งผืนดินนี้จากเจ้าของคนเก่า
ต้นมะม่วงและมะพร้าวไม่กี่ต้น จากที่เคยยืนต้นเขียวขจีตอนนี้เหลือเพียงกิ่งก็านที่แห้งเหี่ยว แถมใบเหลืองกรอบยังร่วงหล่นเกลื่อนพื้นไปหมด บางต้นมีเปลือกไม้หลุดลอกเผยให้เห็นเนื้อไม้แห้งแตกระแหง ที่กำลังรอวันล้มลงอย่างโดดเดี่ยว
ใกล้กันนั้นมีบ่อปลาขนาดไม่ใหญ่มาก ขอบบ่อทรุดโทรมตะไคร่น้ำจับหนาแน่น ผืนน้ำขุ่นข้นไร้การเคลื่อนไหว
ท่ามกลางความรกร้างนั้น มีบ้านไม้หลังเล็กใต้ถุนสูงตั้งอยู่เงียบงัน ตัวบ้านสร้างด้วยไม้เก่าซึ่งผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน หลังคามุงสังกะสีเก่าเป็นสนิมมีรอยรั่วให้เห็นชัด บางแผ่นงอแอ่นจากแรงลมและฝน ผนังไม้สีหม่นแตกร้าว บางจุดก็แยกออกจากกันจนเห็นแสงลอดผ่านได้ เสาบ้านแตกลายงา บันไดไม้ที่ดูเก่าแถมยังมีรอยผุพังให้เห็นอย่างชัดเจน
ความเงียบงันปกคลุมทั่วบริเวณ เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงสายลมพัดผ่านกิ่งไม้แห้งไหว สะท้อนให้เห็นความอ้างว้างของที่ดินผืนนี้ ที่ไม่มีใครเหลียวแล!!
หญิงสาวขับรถเข้ามาในพื้นที่บ้านด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอผิดหวังเอามาก ๆ ไม่คิดว่าที่ดินที่ได้มาจะไร้ประโยชน์ถึงขนาดนี้ คิดว่าจะจากเมืองกรุงแล้วมาตั้งตัวในชนบทเสียหน่อย แต่ทว่าเมื่อเห็นแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเลย
“ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้นะ” เธอบ่นพลางถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า เหนื่อยจากการขับรถไม่พอ แถมต้องมาเหนื่อยจากสภาพที่ดินผืนนี้อีก
พรลดา หญิงสาวอายุสามสิบเอ็ดปี ตัดสินใจลาจากเมืองกรุงมุ่งหน้าสู่ชนบทเพื่อต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอคาดหวังเอาไว้ว่า ถ้าหากสามารถทำมาหากินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่ ก็คงจะมีชีวิตรอดได้จากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างที่พบเจอมา
เนื่องจากที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินมรดกตกทอดมาจากคุณยายของชายที่ชื่อว่าธาดา แฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง จะบอกว่าเป็นอดีตแฟนก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เขายืมเงินไป แล้วเอาที่ดินผืนนี้มาค้ำประกันไว้กับเธอนั้นเขาก็หายเงียบไปเลย ไปตามหาที่คอนโดก็ได้ความว่าย้ายออกไปแล้ว พรลดาพยายามติดต่อไปเท่าไรก็ติดต่อเขาไม่ได้สักที
‘ตื้ดดดดด’
พรลดากดโทรศัทพ์มือถือเพื่อโทรหาธาดาอีกครั้ง เพราะอยากยืนยันว่าที่นี่ใช่ที่ดินของเขาจริงหรือเปล่า เธอยังคงมีความหวังว่าคนรักจะรับสายแล้วบอกว่าไม่ใช่ที่ดินผืนนี้แต่เป็นที่ดินผืนข้าง ๆ ต่างหาก แต่แล้วความหวังก็ดับวูบลง เมื่อชายหนุ่มกดตัดสายเธอเสียอย่างนั้น และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เธอโทรไปหาเขา
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างโฉนดก็ระบุมาแล้วว่าเป็นที่ตรงนี้ เฮ้อ...” เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถเพื่อตรวจดูว่าที่ดินผืนนี้มีอะไรน่าสนใจกว่านี้อีกไหม
ขณะเดียวกันที่ดินผืนข้าง ๆ มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังผูกเชื่อให้ควายกินหญ้าอยู่ใต้ต้นตาลโตนด เมื่อเห็นหญิงสาวก้าวลงจากรถเขาก็หันมายิ้มให้ทันที
ซึ่งพรลดาเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
“พี่สาว มาหายายเปี่ยงเหรอครับ” เมื่อผูกเชือกให้ควายกินหญ้าแล้วจึงเดินเข้ามาหาพรลดาพร้อมกับถามด้วยหน้าตาใสซื่อ
“ใช่จ้ะ ที่นี่เป็นที่ดินของยายเปี่ยงใช่ไหม” หญิงสาวถามกลับเพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่าใช่
“ครับ แต่ว่ายายเปี่ยงแกตายไปสองสามปีแล้ว พี่มาที่นี่คงไม่เจอแกแล้วละครับ” เด็กชายตอบด้วยเสียงตกใจเล็กน้อย ในใจนั้นคิดว่ายังมีคนมาหายายเปี่ยงอีกเหรอ
สายตาของเด็กน้อยมองสำรวจพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่มาจากในเมืองเหรอครับ ทำไมผมไม่คุ้นหน้าเลยล่ะ”
“อ้อ...พี่มาจากรุงเทพฯ น่ะ” พรลดาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ไม่แปลกหรอกที่เด็กคนนี้จะไม่คุ้นหน้าเธอ จากนั้นจึงพูดประโยคต่อมาว่า “แล้วมีใครที่พี่สามารถติดต่อได้บ้างไหม พวกลูกหลานยายเปี่ยงน่ะ”
เด็กชายทำท่าทางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา
“ยายเปี่ยงแกมีหลานชายอยู่คนหนึ่งน่ะครับ ชื่อพี่ธาดา แต่ว่าเขาไม่กลับมาที่นี่เลยตั้งแต่ตอนที่ยายเปี่ยงตายน่ะครับ เห็นว่าย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ นี่แหละ”
“อ้อ...” พรลดาพยักหน้าเข้าใจ เพราะหลานยายเปี่ยงที่เด็กคนนี้พูดถึงคือคนรักของเธอเอง ตอนนี้เหมือนฝ่ายนั้นจะหายสาบสูญไปแล้ว แม้ว่าสัญญาณมือถือจะติดต่อได้แต่ไม่มีคนรับสายก็ตาม
เมื่อเห็นท่าทางพี่สาวคนสวยตรงหน้า คราวนี้เป็นเด็กชายที่ถามบ้าง “แล้วพี่มาหายายเปี่ยงทำไมเหรอครับ”
“อ๋อ..พอดีว่าพี่เป็นคนที่ซื้อที่ดินผืนนี้จากหลานชายของยายเปี่ยงน่ะ แล้วกำลังจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
สีหน้าของเด็กชายดูเหมือนจะดีใจขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีพี่สาวย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กัน จึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับครับพี่สาว ผมชื่อฝุ่นนะครับ บ้านผมอยู่กลางทุ่งนาตรงโน้น แต่ว่าจะพาควายมาผูกกินหญ้าแถวนี้ทุกวันครับ” พอพูดจบฝุ่นก็ชี้มือไปที่ทุ่งนาของบ้านตัวเอง เพื่อให้พี่สาวจากกรุงเทพได้เห็น
“สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อพรลดานะ เรียกว่าพี่ลดาก็ได้ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย พี่เพิ่งมาอยู่ใหม่อาจจะต้องขอคำแนะนำจากฝุ่นเยอะหน่อย คงไม่รังเกียจนะ” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น พร้อมกับฝากเนื้อฝากตัวเพราะหญิงสาวมองว่าตนเองนั้นยังใหม่กับที่นี่ ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านก็ไม่เสียหายอะไร
หลังจากที่พูดคุยแนะนำตัวกันแล้ว ฝุ่นก็ช่วยพรลดาขนของขึ้นมาไว้บนบ้าน อีกทั้งยังอาสาที่จะช่วยทำความสะอาดบ้านด้วย แต่เธอเกรงใจและไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไปเลยบอกไปว่าจะทำเอง
ข้าวของที่หญิงสาวขนมาก็ไม่ได้มีมากนัก อาจจะเพราะก่อนหน้านี้เธอเช่าบ้านอยู่เลยไม่ได้ซื้อของชิ้นใหญ่เข้าบ้านมากเท่าไร และที่เอามาด้วยก็มีเพียงเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว รวมถึงก็อุปกรณ์ทำครัวที่ตัวเองมีเท่านั้น
เดิมทีแล้วพรลดามีอาชีพเป็นแม่ค้าขายอาหารในแอพลิเคชันเดลิเวอรี่เจ้าดัง ช่วงแรกที่เริ่มต้นธุรกิจนั้นมันเป็นไปได้ดีมาก นั่นเพราะมีลูกค้าสั่งอ่านหารผ่านแอพลิเคชันมากมาย ยิ่งช่วงที่โรคโควิดระบาดยิ่งได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้านกันจึงพึ่งพาการสั่งอาหารเดลิเวอรี่แทบทุกวัน
แต่หลังจากช่วงโรคระบาดผ่านไป สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็เข้ามาแทน ทางภาครัฐจำเป็นจะต้องควบคุมในหลาย ๆ ด้านจึงทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ อาทิเช่น การปิดประเทศทำให้การค้าส่งออกกันไม่ได้ แม้แต่ธุรกิจเล็กขนาดย่อมก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน อย่างการขายอาหารผ่างทางแอพลิเคชันก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
“นี่ถ้าหากฉันไม่ให้นายยืมเงิน ชีวิตฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ” พรลดาอดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ขณะที่กำลังทำความสะอาดห้องนอนชั้นบน
ก็จริงอย่างที่เธอว่าแหละ หากแฟนหนุ่มไม่มายืมเงินไป เธอก็ยังคงพอจะมีเงินเอาไว้ลงทุนทำอย่างอื่นได้บ้าง เงินที่เขายืมไปก็หลายแสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเงินที่พรลดาตั้งใจทำงานเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็เห็นจะมีแค่ที่ดินผืนนี้เท่านั้น
เมื่อคิดแล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ายังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ แต่ก็ยังมิวายบ่นด่าแฟนเก่าอยู่เป็นระยะ
