บทที่ 3 ฉันคือเจียงเสวี่ยอิ๋งเหรอเนี่ย
บทที่ 3 ฉันคือเจียงเสวี่ยอิ๋งเหรอเนี่ย
“พะ พี่...ฟื้นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้าง” เจียงเสวี่ยหนิงเอ่ยถาม ทว่าเสียงของเธอดูจะตะกุกตะกักไม่น้อย คล้ายกับกลัวคนตรงหน้าเสียเหลือเกิน
“เอ่อ...”
พรลดากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเหมือนกับคนในความฝันของเธอก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน
“ฟะ...ฟื้นแล้ว หมายความว่ายังไง” เธอถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
พอได้ยินอย่างนั้น เจียงเสวี่ยหนิงจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฟื้นแล้วก็ดีค่ะ เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้นะคะ”
เมื่อเห็นพี่สาวตื่นขึ้นมาเจียงเสวี่ยหนิงก็เหมือนหนูเห็นแมว เอาแต่ก็มหน้าไม่กล้าสบตา พอเธอเอ่ยถามก็ตอบเสียงเบาหวิวจนฟังไม่รู้เรื่อง และยังเข้ามาดูแลเธอตั้งแต่เอาน้ำใส่อ่างมาล้างหน้าให้ราวกับตัวเองเป็นคนรับใช้
แค่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่ใช่บ้านตัวเอง พรลดารู้สึกแปลกใจมาก อีกทั้งยังพบกับน้องสาวที่อยู่ในฝันนั่น ตอนนี้คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อเจียงเสวี่ยหนิงยกน้ำมาให้ พรลดาจึงตัดสินใจก็มมองหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำในอ่างล้างหน้า ก่อนจะตกใจแทบสิ้นสติเพราะใบหน้าในอ่างนั้นเป็นใบหน้าอันแสนเยาว์วัยของสาวแรกรุ่น และเมื่อมองชัด ๆ ใบหน้านี้กลับเป็นหญิงสาวที่อยู่ในฝันที่ชื่อว่า เจียงเสวี่ยอิ๋ง นั่นเอง
จึงได้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าตัวเองจะย้อนเวลามาเหมือนในนิยายที่เคยอ่าน จากนั้นพรลดารีบเรียกเจียงเสวี่ยหนิงเข้ามาหาทันที
“เสี่ยวหนิง มานี่หน่อยสิ”
เมื่อได้ยินเสียงพี่สาวเรียกเจียงเสวี่ยหนิงจึงเดินเข้ามาด้วยท่าทีหวาดกลัว “พี่มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นี่เสี่ยวหนิง ฉันถามอะไรหน่อย ปีนี่เป็นปีอะไรเหรอ” พอน้องสาวเข้ามาใกล้จึงเอ่ยถามสิ่งคาใจและสงสัยออกมา
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ปฏิทินก่อนจะพูดว่า “ปี 1981 ค่ะ”
เมื่อพรลดามองตามมือของเจียงเสวี่ยหนิง ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้องตกใจอีกครั้ง ซึ่งก็คือเธอสามารถอ่านตัวหนังสือภาษาจีนที่อยู่บนปฏิทินนั่นได้
‘นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อฉันไม่เคยเรียนภาษาจีนเลยสักครั้ง แต่สามารถอ่านมันออกทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย’ หญิงสาวคิดในใจอย่างตกใจ ก่อนจะอ่านวันที่บนปฏิทิน
‘วันที่ 25 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1981’
“แล้วที่เราอยู่นี่ชื่อเมืองอะไรนะ” เธอหันไปถามสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าพี่สาวทำคำถามอะไรก็ไม่รู้ เจียงเสวี่ยหนิงจึงทำหน้าตางุนงงอย่างเห็นได้ชัด ในใจนั้นคิดว่า เรื่องแค่นี้พี่สาวจำไม่ได้เลยหรือยังไง แค่ชื่อเมืองเนี่ยนะ หรือว่าพี่สาวจะได้รับความกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตอบออกมาแต่โดยดี
“นานกิงค่ะ”
“นานกิง!!” พรลดาทวนคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะโพล่งออกมาว่า “อ้อ...มณฑลเจียงซูสินะ”
“ค่ะ” เจียงเสวี่ยหนิงพยักหน้าด้วยความงุนงงอีกครั้ง
จากนั้นพรลดาจึงมองไปรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะถามอีกคำถามเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองได้ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของเจียงเสวี๋ยอิ๋งจริง ๆ “แล้วพี่เป็นอะไรเหรอ ทำไมถึงไม่สบายล่ะ”
“เมื่อคืนพี่ถูกลูกมะพร้าวหลังบ้านตกใส่หัวจนสลบไปค่ะ” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับมองหน้าพี่สาวด้วยความสงสัย
‘หรือว่าพี่ใหญ่จะความจำเสื่อมจริง ๆ’ ประโยคนี้ได้แต่พูดในใจ
‘อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้เนี่ย’ พรลดาคิด
นั่นเพราะว่าสาเหตุการตายของเธอจนต้องทะลุมิติมาที่นี่ก็เป็นเพราะว่าลูกมะพร้าวตกใส่หัว ขณะที่เจียงเสวี่ยอิ๋งตายก็เป็นเพราะมะพร้าวตกใส่หัวเหมือนกัน
จะบอกว่ามันเป็นพรหมลิขิตของสองดวงวิญญาณก็ไม่ผิด!!
คราวนี้หญิงสาวมั่นใจแล้วว่า ตนเองทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเจียงเสวี่ยอิ๋งจริง ๆ สิ่งที่คิดเป็นอย่างแรกคือจะทำอย่างไรต่อไป เธอจะหาทางกลับไปได้ไหม หรือว่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ตลอดไป เหมือนกับในนิยายที่เธอเคยอ่านมา
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ ๆ เธอก็ปวดศีรษะขึ้นมา เมื่อความทรงจำของเจียงเสวี่ยอิ๋งถาโถมเข้ามาราวกับภาพยนต์เรื่องหนึ่ง
เรื่องราวต่าง ๆ มากมายไหลเข้ามาไม่หยุด จนเธอสับสนไปแล้วว่าตอนนี้ตัวเองยังเป็นพรลดาอยู่หรือว่ากลายเป็นเจียงเสวี่ยอิ๋งไปแล้วกันแน่
อาการปวดหัวทวีความรุนแรงขึ้นเ ในที่สุดเธอก็สลบไปอีกครั้งท่ามกลางเสียงร้องเรียกของน้องสาว
“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไปคะ พี่ใหญ่ ๆ”
แสงอาทิตย์สีส้มของยามเย็นสาดส่องเข้ามาในห้อง จึงทำให้พรลดารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสถานที่ที่ตนเองอยู่ในตอนนี้ ยังคงเป็นที่เดิมใช่บ้านเก่าหลังเดิมของตระกูลเจียงก็ถอนหายใจออกมา
“ยังไงก็ต้องยอมรับสินะว่าฉันก็คือเจียงเสวี่ยอิ๋ง” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง
ในที่สุดก็ต้องยอมรับแล้วว่าเธอทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเจียงเสวี่ยอิ๋งในยุค 80
และเมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่พรั่งพรูเข้ามาในหัวก่อนหน้านี้ก็พอจะสรุปได้ว่า ครอบบครัวนี้คือบ้านตระกูลเจียง บิดาของเจียงเสวี่ยอิ๋งเป็นทหาร และได้สละชีวิตของตัวเองไปในสนามรบเมื่อสิบกว่าปีก่อน
โดยทิ้งบ้านหลังนี้เอาไว้ให้ครอบครัวพร้อมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง ที่คาดว่าจะสามารถให้สามคนแม่ลูกใช้กันได้จนกว่าลูกสาวทั้งสองจะเรียนจบ ซึ่งตอนนี้เจียงเสวี่ยอิ๋งก็เรียนจบชั้นมัธยมปลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่เจียงเสวี่ยหนิงผู้เป็นน้องสาวที่ยังคงอยู่ชั้นมัธยมต้น
มารดาของเจียงเสวี๋ยอิ๋งเป็นหญิงวัยกลางคนอายุสามสิบแปดปีตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่โรงงานเสื้อผ้า เงินเดือนก็ไม่ได้มากสักเท่าไร เพียงแค่พอเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับใช้เดือนต่อเดือนเท่านั้น หากวันไหนที่เจียงเสวี่ยอิ๋งอยากซื้อของใช้เพิ่ม เธอก็จำเป็นต้องควักเงินเก็บออกมาให้ลูกสาว
เมื่อเห็นว่าลูกสาวฟื้นขึ้นมาแล้ว เซี่ยเป่าเจิ้นก็รีบเข้ามาดูทันที สีหน้าท่าทางของเธอดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก การที่ลูกสาวคนโตเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิดแล้วสลบไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ทำเอาหัวใจของคนเป็นแม่แทบแตกสลาย
แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เป็นยังไงบ้างลูก ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า ไหนขอแม่ดูหน่อย”
เธอดีใจที่เห็นลูกสาวคนโปรดฟื้นขึ้นมา
พรลดารู้สึกงุนงงเล็กน้อยแต่ครู่เดียวเท่านั้นก็ตั้งสติได้ แล้วคิดในใจว่า ตอนนี้เธอคือเจียงเสวี่ยอิ๋งไม่ใช่พรลดาอีกแล้ว
“ค่ะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะแม่” เธอจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“แม่ตกใจมากรู้ไหม แล้วก็เป็นห่วงแทบแย่ที่รู้ว่าลูกเกิดอุบัติเหตุ” เรื่องนี้เธอตกใจจริง ไม่คิดว่าลูกสาวคนโตจะดวงซวยขนาดนี้ จากนั้นก็หันไปที่ลูกสาวคนเล็กแล้วเริ่มต่อว่า “เสวี่ยหนิงนี่ก็ไม่ได้เรื่องเลย ดูพี่เขายังไงถึงได้ให้ลูกมะพร้าวตกใส่หัวได้”
พอได้ยินแม่โทษตนเอง เจียงเสวี่ยหนิงไม่ตอบอะไร เธอทำเพียงแต่ก็มหน้างุดด้วยความสำนึกผิด
เจียงเสวี๋ยอิ๋งเห็นน้องสาวเป็นแบบนั้นแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของสาวน้อยคนนี้สักหน่อย ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าของร่างนี่แหละที่เดินไม่ดูตามาตาเรือไปที่ใต้ต้นมะพร้าว จนทำให้ลูกมะพร้าวมันหล่นใส่หัวได้
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ แม่อย่าไปดุหรือตำหนิน้องเลยนะ” หญิงสาวคิดว่าครอบครัวจะต้องเป็นครอบครัว เลยออกหน้าพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จะไม่ด่าได้ไง ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงล่ะ ถึงได้ซื่อบื้อ ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักที” เซี่ยเป่าเจิ้นดุด่าลูกสาวคนเล็กอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะพูดอีกว่า “แล้วนี่ไปทำอาหารเย็นหรือยัง”
“กำลังจะไปค่ะแม่” เจียงเสวี่ยหนิงตอบกลับมาเสียงเบา นอกจากพี่สาวแล้วคนที่เธอกลัวก็คือแม่นี่แหละ
“ก็รีบไปสิ พี่แกจะได้กินข้าว นี่ก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเป่าเจิ้นตวาดลูกสาวคนเล็ก
ท่าทางที่พูดกับลูกสาวคนโตและลูกสาวคนเล็กนั้นช่างแตกต่างกันเสียเหลือกเกิน
เมื่อทำอะไรไม่ได้ เจียงเสวี่ยหนิงจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหารให้แม่และพี่สาวกินทันที
