บทที่2.2 บรรณาการ
ทั้งหมดกอดกันร่ำไห้อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนซีห่าวจะเร่งให้รีบนำตัวเจาจวินขึ้นเกี้ยว แม้ตนจะก้มศีรษะคารวะต่อการเสียสละในครั้งนี้ ทว่ามิมีผู้ใดในเผ่าปักษายอมรับการคารวะจากเขาสักคน
โดยเฉพาะพี่สาวคนโตนาม เจาเฟย
สตรีใบหน้าสวยคมจ้องมองซีห่าวด้วยสายอาฆาตแค้น นางสงบเยือกเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เมื่อเห็นเกี้ยวของน้องสาวถูกหามและเหาะขึ้นฟ้าไปไกลแล้ว เจาเฟยจึงหันมาบอกท่านพ่อท่านแม่ ขอเดินทางไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเพื่อทูลขอให้พระองค์ถอนพระบัญชานี้เสีย
“เป็นไปไม่ได้หรอกลูก พระบัญชาฝ่าบาทคือคำสั่งจากสวรรค์ เราจะขัดพระบัญชาสวรรค์ไม่ได้” ผู้เป็นพ่อบอกเตือน
“จริงอย่างพ่อเจ้าว่า อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
เจาเฟยเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ สายตาดูโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาทางช่วยน้องสาวของตนออกมาให้ได้ จะไม่ยอมให้เจาจวินต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในแดนปีศาจเช่นนั้นเป็นแน่
ทางด้านเจาจวินนั้นนั่งนิ่งสงบอยู่ภายในเกี้ยวหลังใหญ่ ไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ใบหน้างามเรียบเฉยคล้ายปลงตกในโชคชะตา กระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เสียงเรียกของซีห่าวก็ดังขึ้น
เจาจวินขานรับและเลิกม่านขึ้น กวาดสายตามองสถานที่โดยรอบ เห็นเป็นพระราชวังสูงใหญ่สุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ามึนครึ้มและมีเสียงฟ้าร้องคำรามตลอดเวลา
ไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้สักต้น ยามเท้าของนางแตะลงยังพื้นดินแข็ง ให้ความรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว บรรยากาศเงียบวังเวงคล้ายอยู่ในสุสานก็มิปาน
“อยู่ใกล้ข้าไว้”
เจาจวินเดินไปหยุดอยู่ทางด้านข้างของซีห่าวตามคำบอกทันที ทว่าซีห่าวกลับยกมือขึ้นลูบคาง ชำเลืองมองมาทางเจาจวินราวกำลังใช้ความคิด จากนั้นดีดนิ้วหนึ่งที อาภรณ์สีเขียวอ่อนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดพร้อมผ้าคลุมหน้าผืนแดงปกปิดใบหน้างามไว้
“เอาละ เจ้าพร้อมแล้ว”
ซีห่าวบอกให้เจาจวินจับแขนของตนไว้ ก่อนจะพานางไปทางประตู กล่าวแนะนำตนกับทหารยามและเอ่ยบอกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาเยือนที่นี่
ทั้งคู่ถูกพาตัวไปยังท้องพระโรง บัลลังก์ใหญ่ตั้งสูงตระหง่านพร้อมร่างบึกบึนในอาภรณ์สีดำสนิท แววตาคมวาวล้ำลึกดุจความมืดรัตติกาลหรี่ตามองแขกไม่ได้รับเชิญ
“ซีห่าว... เจ้าบอกทหารยามว่าเป็นสหายคนสนิทข้าหรือ”
ซีห่าวยิ้มตอบเสียงใส “แน่นอนสิ เราทั้งคู่ต่างเป็นที่ปรึกษาซ้ายและขวาขององค์จักรพรรดิ รู้จักกันมานานนับหมื่นปีเชียวหนา”
“ออเหรอ เพื่อนที่จับข้าขังคุกมืดน่ะหรือ”
“แม้ท่านพญามารละก็ เรื่องเก่าเก็บไม่น่าจดจำอย่ายกเอามาพูดกันเลย ตอนนี้ท่านก็กลับมาแล้ว ทั้งยัง...ดูสมบูรณ์แข็งแรงยิ่งกว่าเหมือนก่อนเสียอีก”
เวยเจียหลุนเบนสายตามาทางสตรีชุดแดง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “นี่คืออะไร”
ซีห่าวฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีรีบนำเสนอสตรีข้างกายทันที “ของขวัญต้อนรับการกลับมาของท่านอย่างไรเล่า บรรณาการจากองค์จักรพรรดิ”
“เอากลับไป ข้าไม่ต้องการ” เวยเจียหลุนตอบปฏิเสธทันควัน
“แหม อย่าเพิ่งพูดอย่างนั้นสิ บางทีหากท่านเปิดดู...”
“คิดว่าเอาสตรีมาบำเรอข้าแล้วจะหักล้างสิ่งที่พวกเจ้าทำไว้กันข้าได้หรือ หึ! ไม่มีวันเสียละ”
เวยเจียหลุนยกมือขึ้นสั่งทหารให้ลากตัวทั้งสองออกไปให้พ้นหน้า
“ดะ...เดี๋ยวสิ ฟังข้าก่อน”
ทหารสองนายเข้าคุมตัวซีห่าว ส่วนอีกคนเดินเข้ามาหมายจะจับไปที่แขนของสตรีชุดแดง ทว่านางกลับรีบสะบัดแขนหนี
“ข้าเดินเองได้!”
เวยเจียหลุนเบิกตากว้างทันที พุ่งตัวลงจากบัลลังก์และยืนประจันหน้ากับสตรีเบื้องหน้า ยกมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้าอย่างระวัง
“เจ้า!”
แสงสว่างเข้ามากระทบใบหน้ากะทันหัน ดวงตาหวานกะพริบถี่ เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น
“เลี่ยงซิ่ว”
เจาจวินเบ้ปาก เลี่ยงซิ่วอีกแล้ว เหตุใดพบหน้ากันทีไรเป็นต้องเรียกข้าว่าเลี่ยงซิ่วทุกที
“ท่านพญามาร ข้าชื่อเจาจวิน หาใช่เลี่ยงซิ่ว”
เวยเจียหลุนนิ่งไปสักพัก เมื่อหันกลับมามองทางซีห่าวก็เห็นบุรุษส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้พร้อมสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของทหารทั้งสอง
“ว่าอย่างไร ยินดีรับของขวัญชิ้นนี้หรือไม่”
เวยเจียหลุนสูดลมหายใจ ชำเลืองมองร่างบางแวบหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะ
ซีห่าวตบมือดังฉาด เดินเข้ามาตบไหล่ของพญามารอย่างมิเกรงกลัว จากนั้นหันมาอวยพรเจาจวินให้อยู่รอดปลอดภัย แม้ในใจจะรู้สึกผิดไม่น้อยที่นำนางมาบรรณาการพญามาร แต่ทว่า...นี่เป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้
เวยเจียหลุนไม่ได้เชิญซีห่าวร่วมดื่มชาหรือรับประทานอาหารด้วย ทั้งยังออกปากไล่ให้เขารีบไสหัวกลับไปได้แล้ว ซึ่งซีห่าวก็ไม่ขัดรีบโค้งศีรษะและเดินออกไปจากท้องพระโรงทันที
เจาจวินที่ถูกทิ้งไว้ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือทำสิ่งใดต่อ กระทั่งถูกเวยเจียหลุนช้อนตัวขึ้นอุ้ม สองมือรีบคล้องคอหนาไว้ ขณะบุรุษเริ่มใช้มนตร์เคลื่อนย้ายตัวมายังห้องพักแห่งหนึ่ง
เวยเจียหลุนวางเจาจวินลงอย่างเบามือ มองสำรวจใบหน้างามของนาง จากนั้นเชยคางเรียวขึ้น เจาจวินตกใจรีบหลับตาแน่น
“เจ้าถูกส่งมาบรรณาการข้ามิใช่หรือ ไยทำท่ากลัวข้าเช่นนั้นเล่า”
“...”
“อืม ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยเต็มใจนะ เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
เจาจวินลืมตาขึ้นหนึ่งข้าง ทว่าไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร มือสองข้างกำชายกระโปรงของตนแน่นพร้อมใจที่เต้นแรง
“ที่นี่คือหอฝั่งตะวันตก เจ้าพักอยู่ที่นี่ละกัน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป
เจาจวินถอนหายใจอย่างโล่งอก ทรุดตัวนั่งยังเตียงกว้าง มองสำรวจไปรอบห้องที่ทั้งกำแพงซ้ายและขวาเป็นสีดำสนิท เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะกว้างตัวยาวและตู้ขนาดใหญ่ด้านข้างเท่านั้น
นี่ไม่ใช่ห้องพัก แต่เหมือนคุกมากกว่า
เจาจวินเอนตัวลงนอน น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองอย่างอดไม่ได้ คิดถึงบ้าน คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ คิดถึงพี่ๆ ... ก่อนนางจะค่อยๆ เคลิ้มหลับไปในที่สุด
